1 ปี พฤษภาอำมหิต-“ณัฐวุฒิ” เตือนขบวนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ “รวมกันเฉพาะกิจ”

ผ่านไปแล้ว 1 ปีในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใจกลางเมือง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก หลังจากเจ้าหน้าที่้้เข้าปฏิบัติการกระชับพื้นที่ ซึ่งมีกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงมารวมตัวกันปักหลักอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์

นับจำนวนศพผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายที่สิ้นใจ รวม 93 ศพ อีก 2 พันกว่าคนบาดเจ็บ ถูกจองจำนับร้อย หลบลี้หนีหลายสิบคน และอีกนับหมื่นต้องบอบช้ำทางจิตใจ

มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงเหตุการณ์จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ครบรอบ 1 เดือน จนกระทั่งครบ 1 ปี  แม้คนตายไม่อาจฟื้นมาร่วมได้ แต่คนเป็นไม่ว่าจะญาติพี่น้องพ่อแม่ลูก กลายเป็นตัวแทนเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ขึ้นมาปรากฏตัวอยู่แถวหน้าของเวที ร่วมต่อสู้เรียกร้องเพื่อคนตาย

การต่อสู้ของคนเสื้อแดงจึงเริ่มเข้มข้นและเข็มแข็งขึ้นโดยภาคประชาชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้หลุดพ้นจากวังวนความรุนแรง ซึ่งเป็นบทเรียนที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เหมือนไม่มีใครจำได้

ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 53  ที่ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่ได้เผชิญกับตัวเอง ถึงนาทีนี้ก็คงลืมไม่ลง แม้เจ็บปางตาย ถูกกักขังในเรือนจำ แต่คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยยังคงหยัดยืนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องกับ ขบวนการประชาชนอีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ถูกกวาดต้อนให้กลับบ้าน ท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด ร่างคนเจ็บคนตายทยอยผ่านเข้ามาศพแล้วศพเล่า จนแกนนำบางคนไม่อาจจะยืนหยัดต่อสู้ขึ้นปราศรัยกับผู้ชุมนุมได้อีกต่อไป หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครทราบได้   และมีเพียงแกนนำไม่กี่คนที่กล้าขึ้นเวทีไปกล่าวอำลาเวทีประกาศยุติการชุมนุม ในขณะที่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่พร้อมจะสู้ แต่เมื่อหัวสั่งถอยหางก็ต้องยอมถอน แม้จะไม่เต็มใจนัก

เหตุการณ์ในครั้งนั้น “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” คือ แกนนำคนสุดท้ายที่ยังสามารถขึ้นเวทีกล่าวกับผู้ชุมนุมให้ล่าถอยกลับบ้าน เมื่อประเมินกำลังดูแล้วว่าไม่อาจต้านทานฝ่ายที่เหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง ได้ “ณัฐวุฒิ ” ให้เล่าถึงวินาทีประกาศยุติการชุมนุม ขอให้คนเสื้อแดงกลับบ้านในวันที่  19 พ.ค.ว่า

คนสูญเสียมากและเราเห็นว่าเขาพร้อมจะฆ่า คนเป็นพันคน เราไม่อยากให้มีความสูญเสียอะไรอีก ทั้งที่สูญเสียมาแล้ว เห็นชัดเจนว่าเขาไม่เสียดายชีวิตประชาชน เราก็ต้องหยุด  ต้องเอาตัวไปให้เขาขัง ถึงจะเป็นการหยุด ถ้าหยุดแล้วโดยหลบไปหมด มันก็คือไม่หยุด แต่ถ้าหยุด คือ การเอาไปคุมขัง ส่วนหนึ่งเห็นว่าต้องหนีก็หลบไปไม่ว่ากัน

**แกนนำทิ้งมวลชนไว้ข้างหลังจึงเข้ามอบตัวเพราะกลัวโดนสไนเปอร์

“ที่เสี่ยงตาย มันเสี่ยงกว่าวันนั้นหลายครั้ง ผมหลบออกไปเจรจาในวันที่มืดหมดทั้งกรุงเทพฯก็ทำมาแล้ว กลับเข้ามาก็เสี่ยงออกไปเจรจาก็เสี่ยง  ทีแรกคุยกับ ส.ว.ค่ำวันที่ 18 พ.ค. จะหยุดอยู่แล้ว เพราะบอกว่าจะมีการเจรจาวันที่ 19 พ.ค. แต่กลับไม่มีการเจรจาจริง พอไม่ใช่อย่างนั้นกลายเป็นการฆ่ากันอย่างรุนแรง มันมีการสูญเสียมากขึ้นๆ กว่าจะมาถึงแกนนำคนไม่รู้ต้องตายอีกเท่าไร มันจึงต้องยุติ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเอาชีวิตมาแลกกับความอำมหิต ไม่รู้ต้องแลกอีกเท่าไร”

**แกนนำหนีเอาตัวรอดหรือเปล่า

“ไม่ครับ ถ้าพวกผมไม่เข้ามอบตัว เขาจะมองว่า สถานการณ์ไม่หยุดลง จะลุกล่า เข้ามาเพื่อจับตัวแกนนำ เพราะมันก็เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนั้น ขนาดมอบตัวยังยิงเพิ่มอีก 6 ศพในวัด ถ้ากำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้ามา พวกผมหายไปหมดแล้ว มวลชนก็ ไม่รู้อะไรแล้วจะให้ขึ้นไปประกาศได้อย่างไรว่า ” พี่น้องผมหนีก่อน”  ถ้าหลบไปเลยมวลชนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  นึกว่าแกนนำถูกอุ้มไปแล้ว มวลชนก็ต้องไปปะทะกับทหารมากขึ้นไปอีก พอตายกันมากๆก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้ายจะเกิดการฆ่ากันมหาศาล เพราะเขาไม่คิดว่า นั่นเป็นการหยุด เพราะพวกผมยังไม่ยุติ”

**การมอบตัวคิดว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

คือประกาศว่า หยุดแล้ว เดินเข้าไปตารางเพื่ออธิบายว่าเราได้ยุติแล้ัว ถูกขัง 6 เดือน ยังไม่รู้เลยว่าไปมอบตัวแล้วจะเจออะไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะเอาไปขังหรือไปยิง ในสถานการณ์แบบนั้นที่เสธ.แดง(พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) ถูกยิงหัวกลางถนน จะมั่นใจหรือว่าคืนนั้นจะปลอดภัย ไม่มีอะไรอธิบายเรื่องความปลอดภัยได้เลยในตอนนั้น

**ขบวนการต่อสู้ของมวลชนเสื้อแดงระหว่างการเลือกตั้ง ?

มวลชนเสื้อแดงก็จะต่อสู้ให้ชนะการเลือก ต้ั้ง เพราะเขาเห็นแล้วว่า มีแต่รัฐบาลของประชาชนเท่านั้นที่จะให้ความเป็นธรรมและให้ความจริง ต่อสังคมกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่จะเยียวยาผู้บาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น ตราบใดที่รัฐบาลไม่ได้เป็นของประชาชนก็เป็นปัญหานี้มาตลอด

“ขบวนประชาชนเติบโตตลอดเวลา วันหนึ่งประชาชนอาจจะเห็นว่าเราเล็กเกินไป กว่าที่จะยืนอยู่ข้างหน้า แต่ผมก็จะเข้าไปในขบวน เพราะมันไม่ใช่การต่อสู้ของผม มันเป็นการต่อสู้ของประชาชน หน้าที่ ของผม คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนเติบโตและได้ชัยชนะ  ถ้าเขาชนะ ผมก็ชนะด้วย ในวันที่เขาชนะ ผมอยู่ตรงไหน ไม่ใช่ปัญหาของเรา ปัญหาของเราวันนี้ คือ มีการลิดลอนสิทธิเสรีภาพ มีความไม่เสมอภาคเท่าเทียม”

**มีความพยายามจะช่วยคนที่ยังติดอยู่ในคุกมั้ย

“ยื่นประกันไปแล้ว ที่จังหวัดอุบลราชธานียกมือไหว้ศาลกันกลางบัลลังก์ศาลก็ทำมาแล้วบอกว่าพี่ น้องผมที่นั่งอยู่ 20 กว่าคน พวกเขาไม่ใช่อาชญากรแต่เป็นผู้ถูกกระทำทางการเมือง จึงต้องออกมาต่อสู้ ถ้าไม่มีเหตุบ้านการเมือง คนพวกนี้เป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวบ้าน คนธรรมดา แต่สถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องมาสู้ ไปยื่นก็หลายครั้งไม่รู้จะทำยังไงแล้ว

ชาวบ้านหัวใจยิ่งใหญ่มาก การต่อสู้เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง ผม ไม่รู้ว่าฝ่ายเผด็จการในประเทศนี้ประเมินขบวนการเสื้อแดงไว้อย่างไร แต่ผมอยากจะบอกว่า คุณกำลังเจอของจริง เจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม  และ14ตุลาคม   เป็นขบวนการต่อสู้รวมกันเฉพาะกิจ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นักศึกษา มันลึกลงไปถึงระดับตำบล หมู่บ้าน แล้ววันนี้คนเสื้อแดงนั่งรถรถโรลส์รอยซ์ คนไม่มีรองเท้าใส่ก็มี แต่คนพวกนี้ใส่เสื้อสีเดียวกันแล้ว มีจิตวิญญาณต่อสู้กัน”

วันนี้สถานการณ์มันเดินไปถึงขั้นที่ว่า รู้ไหมว่าวันนี้ประชาชนต่อสู้กับใคร   ขบวน การนี้มันค่อยๆเติบโต วันหนึ่งอาจเติบโตจนไม่ต้องการใครมายืนแถวหน้าอีกต่อไป แต่ต้องการคนที่เดินร่วมกันไปเป็นขบวนแล้วนำพาไปสู่ชัยชนะได้ การเยียวยา แน่นอนว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล  ต้องเรียกร้องกันต่อ เสนอว่ามอบเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียชีวิตรายละ 10 ล้าน รวม 91 ชีวิต เป็นเงิน 900 กว่าล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับงบประมาณใช้ในการจัดการกับผู้ชุมนุมใช้เงินไปกว่า 6 พันล้านบาท มันไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป

“วันนี้ประเทศจะให้ตกอยู่ในฝันร้าย แล้วเป็นฝันดีของประชาชนไม่ได้  ฝันร้ายของประชาชนคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนออกมาต่อสู้จะตายทุกที กลายเป็นบาดแผลในประวัติศาสตร์ รบกันทีมาร้องไห้ทีก็จบ  ฉะนั้นเราต้องนำพาประเทศไทยให้พ้นจากสถานการณ์นี้ ต้องหยุดการฆ่า ด้วยการทำความจริงให้ปรากฏ ไม่เช่นนั้นจะตายกันอีก”

ไม่ได้บอกว่าต้องอาฆาตแค้นไล่ล่ากันตลอด ชีวิต ถ้าไม่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อธิบาย สังคมมันจะกลายเป็นแผลอักเสบ ไม่มีวันรักษา คนถูกฆ่าตายกลางเมืองหลวงเกือบร้อยคน คิดว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรือ มันไม่ใช่สมัยโบราณที่ใครชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์  ถ้าคิดว่าประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้ชนะขอให้คิดใหม่ วันนี้ประวัติศาสตร์ของผู้แพ้อยู่ในเฟซบุ๊ค อยู่ในเว็บไซต์  ทีวีดาวเทียม วีซีดี และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าจะมาอธิบายว่า ฆ่าไปก่อนแล้วค่อยมาเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ วันนี้ประวัติศาสตร์ของผู้แพ้กำลังไล่ล่าความอำมหิตของผู้ชนะอยู่เหมือนกัน

วันนี้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีไม่สำคัญเท่ากับเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ระหว่างของประชาชนกับอำมาตย์ ฝ่ายอำมาตย์ได้กวาดต้อนพรรคการเมืองหมดแล้ว เหลือพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว  “ผมไม่มีทางเลือกอื่น” ณัฐวุฒิกล่าวทิ้งท้ายถึงการเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

ที่มา : มติชนออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2554
โดย : ชฎา ไอยคุปต์



Leave a comment