วาทกรรมตอแหลฉบับออนไลน์

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลัง ปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

ข้อความสรุปท้ายของบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 1 “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการใช้เฟซบุ๊คหรือสังคมออนไลน์ในทางการเมืองที่ได้ รับการตอบรับดีเกินคาด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการต่อสู้ทางการเมืองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

แต่บันทึกของนายอภิสิทธิ์ที่เขียน 3 ตอนนั้นไม่ใช่แค่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นความ จริงทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การจับขั้วทางการเมืองโดย “อำนาจพิเศษ” และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

พายเรือให้โจรนั่ง!

อย่างบันทึกตอนที่ 1 กล่าวถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และ “พายเรือให้โจรนั่ง” ว่าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมนายเนวินที่ตัดสินใจย้ายขั้วทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนั้นตนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านายเนวินตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ ประเทศเดินหน้าได้

ส่วนข้อกล่าวหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ไปปล้นอำนาจใคร แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา ทั้งไม่เคยติดต่อกับทหารคนใด และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้

ตุลาการ “วิบัติ”!

ในบันทึกตอนที่ 1 นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงช่วงก่อนการยุบพรรคพลังประชาชนว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย และได้ไปพบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

“คุณพสิษฐ์บอกผมว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและ ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายพสิษฐ์ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้นัดหมาย แต่ได้รับคำสั่งให้ไปพบนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยทราบก่อนเวลานัดไม่ถึง 1 ชั่วโมง และได้พูดเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนจริง โดยนายอภิสิทธิ์พูดว่า

“แม้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวก็ไม่ มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคง จับมือกันร่วมรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ในเฟซบุ๊ค หลังจากผมรับฟังจากท่านผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผมบอกว่าจะนำความกลับไปบอกผู้ใหญ่ให้ทราบถึงเป้าประสงค์ต่อไป”

นอกจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่ตรงกับนายพสิษฐ์แล้ว ยังทำให้เห็นชัดเจนว่ามี “ผู้ใหญ่” ที่ ไม่ได้เอ่ยนามเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆตามมาอีกหลาย พรรคหลังจากนั้น ซึ่งขณะนั้นคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” มีการพูดถึง อย่างมากมายเพื่อให้นำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมือง

แต่วันนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” กลับกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ พร้อมๆกับปฏิรูปการเมือง เพื่อหยุดปัญหา 2 มาตรฐานและการดึงสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

อำนาจพิเศษ!

ส่วนบันทึกของนายอภิสิทธิ์ตอนที่ 2 “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง” ก็ถูกนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบโต้ว่านายอภิสิทธิ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังแฉหมดเปลือกว่าหากการตั้งรัฐบาลไม่มี “พลังที่ไม่สามารถเลี่ยงได้” บีบบังคับก็จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ซึ่งนายอภิสิทธิ์อ้างในบันทึกว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100% เพราะต้องทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ “ผมต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มี และดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

คำพูดของนายชุมพลจึงไม่เพียงตอกหน้านาย อภิสิทธิ์ว่าโกหก ยังยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลมี “อำนาจพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับนายชุม พล เพราะอีกไม่นานคงทราบว่าการเขียนของตนคืออะไร ทั้งจะไม่หยุดเขียน เพราะต้องการบันทึกความจริงเอาไว้

ถูกยัดเยียดฆ่าประชาชน

อย่างไรก็ตาม บันทึกทั้ง 2 ตอนไม่ฮือฮาเท่าบันทึกตอนที่ 3 โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “ขอเสนอความจริง” เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยระบุชนวนเหตุการณ์ปี 2553 มาจากศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และกล่าวหาว่าศาลตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงใช้วาทกรรม “2 มาตรฐาน” ปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าพยายามประนีประนอม โดยยึดหลักกฎหมายและความถูกต้อง ยอมนั่งเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 2 วัน 6 ชั่วโมง และเสนอทางออกจะยุบสภาช่วงปลายปี เพื่อให้เศรษฐกิจมั่นคงและการเมืองเป็นไปตามกติกา เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น แต่ก็เกิดความรุนแรงเดือน “เมษา-พฤษภา” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าเพราะกองกำลังติดอาวุธ

นายอภิสิทธิ์ระบุอีกว่ามีการวางแผนเป็นขั้นตอนตั้งแต่เหตุการณ์เมษายน 2552 ที่เอามวลชนมาล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และไล่ล่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งมีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์เพื่อให้เข้าใจว่าตน “สั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอม รับวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างสันติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา

“หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภา ไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แกนนำคนเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”

วาทกรรมตอแหล!

ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ยังกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการฝึกอาวุธที่บริเวณแนวชายแดนบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง แต่จนถึงวันนี้ยังจับกุม “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ได้เลย นอกจากการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง รวมถึง “ผังล้มเจ้า” แม้จะกลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว แต่ยังใช้มาตรา 112 กล่าวหาและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อยชีวิต

จนมีคำถามว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนของฝ่ายใดกันแน่ เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ชอบซื้ออาวุธหรือไม่? ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ “ดีแต่พูด” สร้างภาพด้วยวาทกรรมปรองดองและประนีประนอม แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบทาง การเมืองใดๆกับ 91 ศพ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดสั่งสอนนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านว่า

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ก็มักจะอ้างแนวทางการปรองดอง แต่กลับโจมตีว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะทำคือการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศชัดเจนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ปัญหาเศรษกิจและปัญหาปาก ท้องของประชาชน

ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 170 เสียงจะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ เพราะมั่นใจว่าได้มากกว่า 170 เสียงแน่นอน แต่ถ้าแพ้ยับต้องยกบ้านยกเมืองให้กับคนเผาบ้านเผาเมืองไป กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับไม่สามารถจับคนเผา ผู้ก่อการร้าย คนชุดดำได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ใช้กำลังแทบจะทั้งกองทัพ

เรยาการเมือง?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น “ลากไส้อภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งฉายา “เรยาการเมือง” เพราะไม่จริงใจสร้างความปรองดอง เอาประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นส่วนเล็กของปัญหามาทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “แก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น”

โดยเฉพาะบันทึกตอนที่ 3 นายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความ 13 ประเด็นผ่านเฟซบุ๊คตอบโต้บทความของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ความรุนแรงปี 2552 ที่พัทยาว่านายอภิสิทธิ์จงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินที่เป็นชาย ฉกรรจ์ผมสั้นเกรียน ซึ่งมีทั้งปืน มีด และไม้เป็นอาวุธ ดักทำร้ายคนเสื้อแดงระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือจนบาดเจ็บหลายราย หรือกรณีชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่เสียชีวิตเพราะเป็นเหยื่อของการชุมนุมนั้น ผ่านมากว่า 2 ปี คดีคืบหน้าไปถึงไหน ได้คนทำความผิดหรือยัง และทำไมไม่พูดถึงคนเสื้อแดง 2 คนที่กลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยน้ำเจ้าพระยา

ภาพปิศาจ “ทักษิณ”

ส่วนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับการวาดภาพปิศาจใส่ฝ่ายตรง ข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยกับการต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวน มาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว 16.00-17.00 น. ซึ่งโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่บอกว่าไม่ใช่การขอคืน พื้นที่ แต่เป็นการปราบปรามประชาชน ทั้งมีข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต้องให้จบในคืนนั้น” ไม่มีตรงไหนเลยที่อธิบายว่านายอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

“การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี 2553 เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภา ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้น คำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชา เรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า นปช. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ และอยากเห็นว่าเป็นใคร หรือคนที่รัฐบาลจับนั้นเอาไปขังไว้ที่ไหน คนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิต ระบุได้ว่าคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และ มีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจน ทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหน และตายไปแล้วดวงวิญญาณยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏ”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า แกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ หากผิดจริงในคดีก่อการร้ายก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหมที่มีทหารอาวุธครบมือ แล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพ

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีก ผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูดสบตาประชาชนบ้างนะครับ”

มารยาร้อยเล่มเกวียน

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทวีตข้อความตอบโต้นายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คนชุดดำนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนก็เกินพอที่ทำให้นายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนความเสียหายหลังจากนั้นย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกัน

โดยเฉพาะการใช้วาทกรรมสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หรือ “คืนความสุขให้ คนกรุงเทพฯ” และ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ไม่สามารถลบล้างภาพความรุนแรงที่เกิดจากการล้อม ปราบประชาชนด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ได้

ข้อหา “ฆาตกรฆ่าประชาชน” ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นการยัดเยียดให้กับตนนั้นแตกต่างจากที่นาย อภิสิทธิ์และ ศอฉ. โยนความผิดทั้งหมดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งวันนี้ยังจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้ง 91 ศพนั้นมีตัวตนชัดเจน คนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน มีจำนวนมากที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หลายคนต้องพิการ และยังมีผู้บริสุทธิ์อีกหลายร้อยคนถูกจับคุมขังโดยไร้หลักนิติธรรม

บันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” จึงยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ตาสว่าง” และเป็นการประจานตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่เพียงอ้างข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” และ “บิดเบือนข้อเท็จจริง” เท่านั้น ยังเป็นการ “พูดเองเออเอง” เพราะขี้ขลาดและกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย

Facebook ของนายอภิสิทธิ์จึง เป็นแค่ Fakebook ไร้คุณค่า ด้วยวาทกรรมตอแหล “ดีแต่แก้ตัว” ฉบับออนไลน์เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


อภิสิทธิ์ คุณคือ ‘นายกฯ 92 ศพ’

ท้ายบทความชื่อ “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” (เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊ก Abhisit Vejjajiva) คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปว่า

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลังปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

เจอบทสรุปแบบนี้ผม “โดน” เลย เออใช่ๆ!! นี่แหละคือ “ตัวตนที่แท้จริง” ของอภิสิทธิ์ เขาคือจอมแถ กะล่อน เบี่ยงเบนประเด็นด้านๆ ภายใต้มาดที่ดูใสซื่อ ดูเหมือนสุภาพบุรุษ มีหลักการอะไรทำนองนั้น

โปรดดูความใสซื่อของเขานะครับ เช่น คำพูดที่ว่า

“…ใครจะคุยกับทหารอย่างไรผมไม่ทราบ เพราะผมไม่เคยติดต่อกับทหารท่านใดเลย แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส.ได้…”

มีใครเชื่อไหมครับว่าอภิสิทธิ์รับเป็นนายกฯ โดยไม่ทราบจริงๆ ว่าสุเทพคุยกับทหารว่าอย่างไร เชื่อไหมครับว่าการประกาศ “ปกป้องสถาบัน” ของเนวินไม่มี “ทหารแก่ไม่เคยตาย” อยู่เบื้องหลัง และอานิสงส์แห่งการประกาศนั้นไม่ได้ส่งผลให้เขารอดจากคดีทุจริตกล้ายาง อาจไม่มีใครบังคับ ส.ส.ได้ใช่ไหมครับ แต่ถ้าจัดแบ่งผลประโยชน์ลงตัวสามฝ่าย “รัฐบาลอำมาตย์อุ้ม” ก็เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นเห็นๆ เฮือกสุดท้ายแล้วยังดันทุรังโกหกตัวเองอยู่ทำไมไม่ทราบ!

หรือบางข้อความของอภิสิทธิ์ที่ว่า

“…คำพูดที่คุณเนวินฝากไปถึงคุณ ทักษิณที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” ด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้าคงจะยังเป็นบาดแผลในใจคุณเนวินมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าคนจะมองคุณเนวินในภาพอย่างไร แต่ในวันนั้นผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า คุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้”

คือขนาดว่าเขาโดนเนวินต่อรองขอกระทรวงเศรษฐกิจไปหมด เขาก็ยัง “เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ” เป็นไปได้อย่างไรครับที่คนจบอ๊อกฟอร์ด เป็นนักการเมืองอาชีพมาอย่างยาวนานจะใสซื่อบริสุทธิ์ขนาดนั้น!

ทีนี้ลองดู “หลักการ” ของเขาบ้าง อภิสิทธิ์เขียนว่า

“…แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ไม่ปกติ โดยเริ่มต้นจากความขัดแย้งที่เกิดจากนายกฯสมัคร เปิดประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เกิดกระแสต่อต้านรุนแรงจากประชาชนที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองกลายเป็น อาชีพเดียวที่อยู่เหนือกฎหมายได้ เพราะสามารถใช้เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายล้างความผิดตัวเองได้ ในความผิด เช่น การทุจริต คอรัปชั่น ซึ่งถือเป็นวิธีการที่สั่นคลอนความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นอย่างยิ่ง”

จริงๆ แล้วอภิสิทธิ์ก็รู้ว่าในประเทศนี้ “ใคร” อยู่เหนือกฎหมายได้จริงๆ ทหารทำรัฐประหารซึ่งมีโทษประหารชีวิต พวกเขาเคยรับผิดตามกฎหมายหรือไม่ หากอภิสิทธิ์ยอมรับว่า “รัฐประหารไม่ถูกต้อง” กระบวนการเอาผิดที่สืบเนื่องจากรัฐประหารย่อมไม่ชอบธรรมด้วย ฉะนั้น นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหารย่อมมีความชอบธรรมที่จะต่อสู้เพื่อคืนความ ยุติธรรมให้กับตนเอง

ที่สำคัญคือ การต่อสู้ของนักการเมืองก็ต่อสู้ตามวิถีทางประชาธิปไตย คือผ่าน “การเลือกตั้ง” และ “กระบวนการรัฐสภา” ทำไมกรณีที่ตัวเองเป็นนายกฯ อภิสิทธิ์จึงอ้างกระบวนการรัฐสภาซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ทั้งที่เป็นที่รู้กันว่าโดยพฤตินัยไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร) การออกกฎหมายนิรโทษกรรมก็ผ่านกระบวนการรัฐสภาเช่นกัน แต่อภิสิทธิ์กลับอ้างว่า “เป็นวิธีการที่สั่นคลอนความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นอย่างยิ่ง”

แล้วกระบวนการ “สองมาตรฐาน” ที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร การแต่งนิทานเด็กเลี้ยงแกะ “ผังล้มเจ้า” เพื่อล้อมปราบคนเสื้อแดง เป็นวิธีการรักษาความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างไรไม่ทราบ!

ถามจริงๆ เถอะครับ หากตอนนี้มีการใช้กองทัพยึดอำนาจอภิสิทธิ์ไป แล้วฝ่ายที่ยึดอำนาจนั้นก็เป็นโจทย์กล่าวหาว่า คุณเป็น “ฆาตกร 92 ศพ” ทำให้ประชาชนบาดเจ็บร่วม 2,000 คน แล้วก็ตั้ง “คตส.2” ขึ้นมาสอบสวนเอาผิดเอง ส่งฟ้องศาลได้เอง มีนักวิชาการ และสื่อจำนวนหนึ่งที่เกลียดคุณร่วมเป็นคณะกรรมการ “คตส.2” และเป็นพยานด้วย และศาลก็ตัดสินตามที่พวกเขาชงขึ้นมา อย่างนี้คุณอภิสิทธิ์โอเคไหมครับ เป็นการดำเนินการที่ปกป้องความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไหมครับ?

คุณอภิสิทธิ์อย่าเถียงผมนะครับว่าเรื่องของคุณเป็นแค่เรื่องสมมติ เพราะ 92 ศพ กับบาดเจ็บร่วม 2,000 คน คือเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยของประชาชนไทย (และไม่มีวันลบเลือนไปจาก “ความทรงจำ” ของคุณ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะสูญเสีย “ความเป็นมนุษย์” จนหมดสิ้นแล้ว!)

อีกข้อความของอภิสิทธิ์ คือ

“ถ้าคิดในทางกลับกันผมไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับคุณเนวินและพรรคอื่นๆ เพียงเพราะกลัวเปลืองตัว ปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายเดินหน้าไม่ได้ ผมก็ลอยตัวไม่ต้องมาอยู่ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตก็ไม่ต้องเสี่ยงจากความรุนแรงที่เริ่มปรากฏให้เห็นในการแข่งขันทางการเมือง แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในฐานะนักการเมืองที่ต้องแก้ปัญหาให้ประชาชน”

ถ้าคุณคิดว่า “การร่วมรัฐบาลกับเนวิน” เป็น “ความรับผิดชอบ” ที่ปฏิเสธไม่ได้ ของนักการเมือง “ผู้มีอุดมการณ์” ไม่เคยเปลี่ยนอย่างคุณ ถามว่าแล้ว 92 ศพ และบาดเจ็บร่วม 2,000 ที่เกิดจาก “ความผิดพลาด” (ไม่ได้ว่าคุณจงใจทำอย่างบ้าอำนาจนะ) ของการสลายการชุมนุมโดยรัฐบาลคุณ เป็นเรื่องที่นักการเมืองผู้มีอุดมการณ์ไม่ควรรับผิดชอบเลยเช่นนั้นหรือ?

ผมไม่เข้าใจจริงๆ ครับว่า “มาตรฐาน” ของ “ความรับผิดชอบ” ของนักการเมืองผู้มีอุดมการณ์อย่างคุณอภิสิทธิ์ มันคืออะไรกันแน่?

เท่าที่ผมพอจะเข้าใจได้ มีแต่ “ฆาตกร” เท่านั้น ที่มีพฤติกรรมปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการฆ่าเพื่อนมนุษย์อย่างเลือดเย็น!

ที่มา : เว็บไซต์ ประชาไทย


ผังล้มเจ้า ใบอนุญาตฆ่าคนบริสุทธิ์ ?

คำสารภาพของ พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะจำเลย ต่อศาลในคดีหมิ่นประมาท อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ว่า ผังล้มเจ้าไม่มีจริง ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน ไม่มีมูลความจริงใดๆเลย ช็อคความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศ (รายละเอียดข่าว)

เพราะคนไทยไม่เชื่อว่า คนระดับโฆษกกองทัพบก ในนาม ศอฉ. จะเอาเรื่องร้ายแรงอย่างนี้มาโกหกออกทีวีเป็นทางการครั้งแล้วครั้งเล่า สื่อหลักประโคมข่าวไปทั่วประเทศ ตราหน้าว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกล้มเจ้า สร้างความเกลียดชังระหว่างคนไทยด้วยกัน

เป็นบาดแผลร้าวลึกจนยากจะประสาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เพราะรัฐบาลมาจากการอุ้มของทหาร ไม่ได้มาจากเสียงประชาชน รัฐบาลสั่งใช้กำลังทุกอย่างที่มี ใช้ตำรวจจากทั่วประเทศ ใช้ทหาร ร.อ. จำนวนนับพันนาย อาวุธเต็มพิกัด เพื่อกดดันให้คนเสื้อแดงเลิกชุมนุม

เมื่อเห็นว่าคนเสื้อแดงไม่มีทีท่าจะหยุดชุมนุม ทหารก็วางแผนสลายการชุมนุม ด้วยการตั้งหน่วยล่าสังหาร สไนเปอร์ เตรียมเก็บเสื้อแดง

แต่ทหารเหล่านี้เป็นคนไทย ไม่อยากฆ่าคนไทยด้วยกัน พ.อ.สรรเสริญ จึงสร้างเรื่องผังล้มเจ้ามาล้างสมองทหารพวกนี้ ว่าเสื้อแดงมาชุมนุมเพื่อล้มเจ้า ทั้งๆที่เขาต้องการแค่ยุบสภา

ทหารถูกล้างสมองจนเชื่อ จึงกรีธาทัพเข้าบดขยี้ผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่ง ลอบยิงคนไม่มีอาวุธจากระยะไกลเหมือนล่าสัตว์ในป่า ไม่เลือกผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ แม้แต่พยาบาล หน่วยกู้ภัย ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ก็ไม่เว้น

คนหนีตายซมซานเข้าไปในวัดก็ยังตามไปยิงอย่างเลือดเย็น ทั้งหมดทั้งปวงเกิดจาก ผังล้มเจ้า ที่กองทัพบกโกหกคนไทยทั้งประเทศ

ผังล้มเจ้า จึงเปรียบเหมือน ใบอนุญาตฆ่าคนไทยผู้บริสุทธิ์อย่างเลือดเย็น การอ้างสถาบันเพื่อทำร้ายประชาชนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า การขออนุญาตฆ่าประชาชนยังจะเกิดขึ้นอีกต่อไป

หยุดออกใบอนุญาตทำร้ายประชาชนด้วยครับ บาปกรรม

ที่มา : ไทยอีนิวส์ 28 พฤษภาคม 2554


1 ปี พฤษภาอำมหิต-“ณัฐวุฒิ” เตือนขบวนเสื้อแดงไม่ใช่แค่ “รวมกันเฉพาะกิจ”

ผ่านไปแล้ว 1 ปีในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใจกลางเมือง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก หลังจากเจ้าหน้าที่้้เข้าปฏิบัติการกระชับพื้นที่ ซึ่งมีกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงมารวมตัวกันปักหลักอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์

นับจำนวนศพผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายที่สิ้นใจ รวม 93 ศพ อีก 2 พันกว่าคนบาดเจ็บ ถูกจองจำนับร้อย หลบลี้หนีหลายสิบคน และอีกนับหมื่นต้องบอบช้ำทางจิตใจ

มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงเหตุการณ์จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ครบรอบ 1 เดือน จนกระทั่งครบ 1 ปี  แม้คนตายไม่อาจฟื้นมาร่วมได้ แต่คนเป็นไม่ว่าจะญาติพี่น้องพ่อแม่ลูก กลายเป็นตัวแทนเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ขึ้นมาปรากฏตัวอยู่แถวหน้าของเวที ร่วมต่อสู้เรียกร้องเพื่อคนตาย

การต่อสู้ของคนเสื้อแดงจึงเริ่มเข้มข้นและเข็มแข็งขึ้นโดยภาคประชาชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้หลุดพ้นจากวังวนความรุนแรง ซึ่งเป็นบทเรียนที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เหมือนไม่มีใครจำได้

ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 53  ที่ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่ได้เผชิญกับตัวเอง ถึงนาทีนี้ก็คงลืมไม่ลง แม้เจ็บปางตาย ถูกกักขังในเรือนจำ แต่คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยยังคงหยัดยืนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องกับ ขบวนการประชาชนอีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ถูกกวาดต้อนให้กลับบ้าน ท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด ร่างคนเจ็บคนตายทยอยผ่านเข้ามาศพแล้วศพเล่า จนแกนนำบางคนไม่อาจจะยืนหยัดต่อสู้ขึ้นปราศรัยกับผู้ชุมนุมได้อีกต่อไป หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครทราบได้   และมีเพียงแกนนำไม่กี่คนที่กล้าขึ้นเวทีไปกล่าวอำลาเวทีประกาศยุติการชุมนุม ในขณะที่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่พร้อมจะสู้ แต่เมื่อหัวสั่งถอยหางก็ต้องยอมถอน แม้จะไม่เต็มใจนัก

เหตุการณ์ในครั้งนั้น “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” คือ แกนนำคนสุดท้ายที่ยังสามารถขึ้นเวทีกล่าวกับผู้ชุมนุมให้ล่าถอยกลับบ้าน เมื่อประเมินกำลังดูแล้วว่าไม่อาจต้านทานฝ่ายที่เหนือกว่าด้วยประการทั้งปวง ได้ “ณัฐวุฒิ ” ให้เล่าถึงวินาทีประกาศยุติการชุมนุม ขอให้คนเสื้อแดงกลับบ้านในวันที่  19 พ.ค.ว่า

คนสูญเสียมากและเราเห็นว่าเขาพร้อมจะฆ่า คนเป็นพันคน เราไม่อยากให้มีความสูญเสียอะไรอีก ทั้งที่สูญเสียมาแล้ว เห็นชัดเจนว่าเขาไม่เสียดายชีวิตประชาชน เราก็ต้องหยุด  ต้องเอาตัวไปให้เขาขัง ถึงจะเป็นการหยุด ถ้าหยุดแล้วโดยหลบไปหมด มันก็คือไม่หยุด แต่ถ้าหยุด คือ การเอาไปคุมขัง ส่วนหนึ่งเห็นว่าต้องหนีก็หลบไปไม่ว่ากัน

**แกนนำทิ้งมวลชนไว้ข้างหลังจึงเข้ามอบตัวเพราะกลัวโดนสไนเปอร์

“ที่เสี่ยงตาย มันเสี่ยงกว่าวันนั้นหลายครั้ง ผมหลบออกไปเจรจาในวันที่มืดหมดทั้งกรุงเทพฯก็ทำมาแล้ว กลับเข้ามาก็เสี่ยงออกไปเจรจาก็เสี่ยง  ทีแรกคุยกับ ส.ว.ค่ำวันที่ 18 พ.ค. จะหยุดอยู่แล้ว เพราะบอกว่าจะมีการเจรจาวันที่ 19 พ.ค. แต่กลับไม่มีการเจรจาจริง พอไม่ใช่อย่างนั้นกลายเป็นการฆ่ากันอย่างรุนแรง มันมีการสูญเสียมากขึ้นๆ กว่าจะมาถึงแกนนำคนไม่รู้ต้องตายอีกเท่าไร มันจึงต้องยุติ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเอาชีวิตมาแลกกับความอำมหิต ไม่รู้ต้องแลกอีกเท่าไร”

**แกนนำหนีเอาตัวรอดหรือเปล่า

“ไม่ครับ ถ้าพวกผมไม่เข้ามอบตัว เขาจะมองว่า สถานการณ์ไม่หยุดลง จะลุกล่า เข้ามาเพื่อจับตัวแกนนำ เพราะมันก็เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนั้น ขนาดมอบตัวยังยิงเพิ่มอีก 6 ศพในวัด ถ้ากำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้ามา พวกผมหายไปหมดแล้ว มวลชนก็ ไม่รู้อะไรแล้วจะให้ขึ้นไปประกาศได้อย่างไรว่า ” พี่น้องผมหนีก่อน”  ถ้าหลบไปเลยมวลชนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  นึกว่าแกนนำถูกอุ้มไปแล้ว มวลชนก็ต้องไปปะทะกับทหารมากขึ้นไปอีก พอตายกันมากๆก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้ายจะเกิดการฆ่ากันมหาศาล เพราะเขาไม่คิดว่า นั่นเป็นการหยุด เพราะพวกผมยังไม่ยุติ”

**การมอบตัวคิดว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

คือประกาศว่า หยุดแล้ว เดินเข้าไปตารางเพื่ออธิบายว่าเราได้ยุติแล้ัว ถูกขัง 6 เดือน ยังไม่รู้เลยว่าไปมอบตัวแล้วจะเจออะไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะเอาไปขังหรือไปยิง ในสถานการณ์แบบนั้นที่เสธ.แดง(พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) ถูกยิงหัวกลางถนน จะมั่นใจหรือว่าคืนนั้นจะปลอดภัย ไม่มีอะไรอธิบายเรื่องความปลอดภัยได้เลยในตอนนั้น

**ขบวนการต่อสู้ของมวลชนเสื้อแดงระหว่างการเลือกตั้ง ?

มวลชนเสื้อแดงก็จะต่อสู้ให้ชนะการเลือก ต้ั้ง เพราะเขาเห็นแล้วว่า มีแต่รัฐบาลของประชาชนเท่านั้นที่จะให้ความเป็นธรรมและให้ความจริง ต่อสังคมกับเรื่องที่เกิดขึ้น ที่จะเยียวยาผู้บาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น ตราบใดที่รัฐบาลไม่ได้เป็นของประชาชนก็เป็นปัญหานี้มาตลอด

“ขบวนประชาชนเติบโตตลอดเวลา วันหนึ่งประชาชนอาจจะเห็นว่าเราเล็กเกินไป กว่าที่จะยืนอยู่ข้างหน้า แต่ผมก็จะเข้าไปในขบวน เพราะมันไม่ใช่การต่อสู้ของผม มันเป็นการต่อสู้ของประชาชน หน้าที่ ของผม คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนเติบโตและได้ชัยชนะ  ถ้าเขาชนะ ผมก็ชนะด้วย ในวันที่เขาชนะ ผมอยู่ตรงไหน ไม่ใช่ปัญหาของเรา ปัญหาของเราวันนี้ คือ มีการลิดลอนสิทธิเสรีภาพ มีความไม่เสมอภาคเท่าเทียม”

**มีความพยายามจะช่วยคนที่ยังติดอยู่ในคุกมั้ย

“ยื่นประกันไปแล้ว ที่จังหวัดอุบลราชธานียกมือไหว้ศาลกันกลางบัลลังก์ศาลก็ทำมาแล้วบอกว่าพี่ น้องผมที่นั่งอยู่ 20 กว่าคน พวกเขาไม่ใช่อาชญากรแต่เป็นผู้ถูกกระทำทางการเมือง จึงต้องออกมาต่อสู้ ถ้าไม่มีเหตุบ้านการเมือง คนพวกนี้เป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวบ้าน คนธรรมดา แต่สถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องมาสู้ ไปยื่นก็หลายครั้งไม่รู้จะทำยังไงแล้ว

ชาวบ้านหัวใจยิ่งใหญ่มาก การต่อสู้เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง ผม ไม่รู้ว่าฝ่ายเผด็จการในประเทศนี้ประเมินขบวนการเสื้อแดงไว้อย่างไร แต่ผมอยากจะบอกว่า คุณกำลังเจอของจริง เจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม  และ14ตุลาคม   เป็นขบวนการต่อสู้รวมกันเฉพาะกิจ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นักศึกษา มันลึกลงไปถึงระดับตำบล หมู่บ้าน แล้ววันนี้คนเสื้อแดงนั่งรถรถโรลส์รอยซ์ คนไม่มีรองเท้าใส่ก็มี แต่คนพวกนี้ใส่เสื้อสีเดียวกันแล้ว มีจิตวิญญาณต่อสู้กัน”

วันนี้สถานการณ์มันเดินไปถึงขั้นที่ว่า รู้ไหมว่าวันนี้ประชาชนต่อสู้กับใคร   ขบวน การนี้มันค่อยๆเติบโต วันหนึ่งอาจเติบโตจนไม่ต้องการใครมายืนแถวหน้าอีกต่อไป แต่ต้องการคนที่เดินร่วมกันไปเป็นขบวนแล้วนำพาไปสู่ชัยชนะได้ การเยียวยา แน่นอนว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล  ต้องเรียกร้องกันต่อ เสนอว่ามอบเงินเยียวยาให้แก่ผู้เสียชีวิตรายละ 10 ล้าน รวม 91 ชีวิต เป็นเงิน 900 กว่าล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับงบประมาณใช้ในการจัดการกับผู้ชุมนุมใช้เงินไปกว่า 6 พันล้านบาท มันไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป

“วันนี้ประเทศจะให้ตกอยู่ในฝันร้าย แล้วเป็นฝันดีของประชาชนไม่ได้  ฝันร้ายของประชาชนคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนออกมาต่อสู้จะตายทุกที กลายเป็นบาดแผลในประวัติศาสตร์ รบกันทีมาร้องไห้ทีก็จบ  ฉะนั้นเราต้องนำพาประเทศไทยให้พ้นจากสถานการณ์นี้ ต้องหยุดการฆ่า ด้วยการทำความจริงให้ปรากฏ ไม่เช่นนั้นจะตายกันอีก”

ไม่ได้บอกว่าต้องอาฆาตแค้นไล่ล่ากันตลอด ชีวิต ถ้าไม่รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อธิบาย สังคมมันจะกลายเป็นแผลอักเสบ ไม่มีวันรักษา คนถูกฆ่าตายกลางเมืองหลวงเกือบร้อยคน คิดว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรือ มันไม่ใช่สมัยโบราณที่ใครชนะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์  ถ้าคิดว่าประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยผู้ชนะขอให้คิดใหม่ วันนี้ประวัติศาสตร์ของผู้แพ้อยู่ในเฟซบุ๊ค อยู่ในเว็บไซต์  ทีวีดาวเทียม วีซีดี และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าจะมาอธิบายว่า ฆ่าไปก่อนแล้วค่อยมาเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ วันนี้ประวัติศาสตร์ของผู้แพ้กำลังไล่ล่าความอำมหิตของผู้ชนะอยู่เหมือนกัน

วันนี้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีไม่สำคัญเท่ากับเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ระหว่างของประชาชนกับอำมาตย์ ฝ่ายอำมาตย์ได้กวาดต้อนพรรคการเมืองหมดแล้ว เหลือพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว  “ผมไม่มีทางเลือกอื่น” ณัฐวุฒิกล่าวทิ้งท้ายถึงการเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

ที่มา : มติชนออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2554
โดย : ชฎา ไอยคุปต์


มือที่มองเห็น!

ครบ 1 ปีจากวาทกรรม “ขอพื้นที่คืน” ในเหตุการณ์ “10 เมษายนเลือด” ทำให้มี 26 ชีวิตที่สังเวยไปอย่างน่าอนาถ หลังจากนั้นก็มีศพแล้วศพเล่าที่ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม เลือดเย็น ในวันฟ้าสีเลือด “19 พฤษภาอำมหิต” รวม 91 ศพ

แต่จนถึงวันนี้ทั้ง “91 ศพ” ก็ยังถูก “แช่แข็ง” โดยเฉพาะ “ไพร่” ที่ส่อจะ “ตายฟรี” เพราะ “ดีแต่ไอ” ไม่ใช่แค่อ้างไม่มี “หลักฐาน” หรือไม่มี “พยาน” จะระบุว่า “ใครสั่ง-ใครฆ่า”

แต่ “ดีแต่ไอ” กลับแสดงความเป็นอัจฉริยะด้วยการออกมายืนยันว่า หลายศพที่ถูกฆ่าตายไม่ได้เป็นฝีมือของ “คนมีสี” ทั้งที่ไม่มี “หลักฐาน” และ “พยาน” ชัดเจนเป็นทางการเช่นกัน

โดยเฉพาะร่างที่ไร้วิญญาณของ “2 สื่อต่างชาติ” ที่รัฐและญาติผู้ตายยังเกาะติดไม่ยอมให้ “ตายฟรี” ทั้งคนทั่วโลกรู้ว่า “ใครสั่ง-ใครฆ่า” แต่นอกจาก “ดีแต่ไอ” และ “ฆาตกร” จะไม่ละอายต่อบาปกรรมแล้ว ยังออกมาโกหกตอแหลครั้งแล้วครั้งเล่า

1 ปี “เมษา-พฤษภาอำมหิต” จึงเป็นตราบาปและความอัปยศประจานให้คนทั้งโลกรู้ว่าทำไม “สยามไม่ยิ้ม” เป็น “รัฐโจร” ไม่ใช่ “รัฐอธิปไตย”?

วันนี้จึงไม่มีใครเชื่อว่าจะไม่มี “คนอุบาทว์” ที่จะทำให้เกิด “วงจรอุบาทว์” อีก และไม่เชื่อว่า “สัตว์การเมือง” ที่กำลังวิ่งกันพล่านเพื่อ “ลากตั้ง” นั้นจะรักษาคำพูด ซื่อสัตย์สุจริตตามที่หาเสียงกับ “ไพร่”

ไม่มีใครเชื่อว่า “บิ๊กมีสี” จะไม่ “กระดิกหาง” หรือ “ขยิบตา” ตามคำสั่งของ “อีแอบ”!

มหกรรม “ลากตั้ง” ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่สงครามระหว่าง “สัตว์การเมือง” ที่ “สันหลังหวะ” ในบ่อน้ำเน่าเท่านั้น แต่จะเป็นการพิสูจน์ “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” ทั้งความเป็น “คน” และ “บิ๊กมีสี”

เพราะเกือบ 8 ทศวรรษที่ผ่านมาได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า “คนอุบาทว์” ไม่เคยมี “ศักดิ์ศรี-เกียรติยศ” มีแต่ “ของกูและพวกกู”

โดยเฉพาะ “สัตว์การเมือง” จะยอมทำทุกอย่างเพื่อสนอง “กิเลส-ตัณหา” แม้แต่เข่นฆ่า “ไพร่” ที่เป็นเจ้าของประเทศที่ “สัตว์การเมือง” เคยกราบไหว้วิงวอนเพื่อขอความเมตตา

ดังนั้น ตราบใดที่ “อีแอบ” ยังมี “มือที่มองไม่เห็น” ที่ใหญ่คับแผ่นดิน “ความจริง” ก็ไม่มีวันปรากฏ “ความชั่ว” ก็ยังปกคลุม “สยามไม่ยิ้ม” ต่อไป!

แต่ไม่มีใคร “อยู่ค้ำฟ้า” ไม่มีใครเอา “ใบบัวมาปิดช้างตายทั้งตัว” ได้ เหมือน “ไพร่ไม่มีเส้น” ที่วันนี้ “ตาสว่าง” และไม่ได้ “กินหญ้า” เหมือน “สัตว์การเมือง” บางคนบางก๊วนที่ยอมขายตัวขายวิญญาณให้กับ “อีแอบ”

มหกรรม “ลากตั้ง” เร็วๆนี้ ไม่ว่าจะเป็น “จำอวด” หรือ “ลิเกน้ำเน่า” แต่อย่างน้อยก็เป็นโอกาสให้ “มือที่มองเห็น” ของ “ไพร่” และ “สัตว์การเมือง” ที่ยังมีความเป็น “คน” ต่อสู้กับ “มือที่มองไม่เห็น” ของ “อีแอบ” ที่เห็น “ไพร่” เป็นแค่ “ทาส”!

ที่มา : โลกวันนี้ รายวัน 8 เมษายน 2554