เอาดีใส่ตัว (อีกแล้ว)

ภารกิจแรกของ 7 แกนนำนปช.ที่เพิ่งพ้นออกมาจากเรือนจำ หลังศาลเมตตาให้ประกันตัวชั่วคราว

ประกาศจะร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงทวงความยุติธรรม 91 ศพต่อไป

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พูดเสียงดังฟังชัดทันทีที่ออกจากเรือนจำ

“พวกผมกลับมาแล้ว พร้อมจิตวิญญาณและอุดมการณ์ ผมจะออกมาร่วมต่อสู้เคียงข้างกับพี่น้องประชาชน สู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะการสูญเสียอิสรภาพน้อยนิด เทียบไม่ได้เลยกับผู้ที่เสียชีวิต 91 ศพ และบาดเจ็บอีก 2 พันคน”

หากย้อนกลับไปดูการให้ประกันตัว 7 แกนนำเสื้อแดงในครั้งนี้ มีพยานหลายปากขึ้นเบิกความสนับสนุนการปล่อยตัวชั่วคราว

ตั้งแต่ พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

ตำรวจให้เหตุผลว่าที่ผ่านมาการเจรจากับแกนนำนปช.ไม่ค่อยมีปัญหา พูดกันรู้เรื่อง

เสธ.หนั่นก็ยืนยันว่าการพบปะกัน 7 แกนนำต่างบอกว่าพร้อมที่จะปรองดอง

คนสุดท้ายคือนายคณิตเห็นว่าการขัง 7 แกนนำต่อไปก็ไม่มีทางที่เกิดความปรองดองขึ้นได้เลย

นี่คือเหตุผลว่าทำไมศาลพิเคราะห์แล้วจึงให้ประกันตัว

ที่น่าแปลกใจคือนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดันให้สัมภาษณ์ทำนองว่าการให้ประกันตัวครั้งนี้ เป็นผลงานของรัฐบาล (อีกแล้ว)!?

พูดออกมาได้ว่าเป็นเพราะนายคณิต ซึ่งเป็นคนที่รัฐบาลแต่งตั้งเป็นประธานคอป.

นายอภิสิทธิ์เข้าใจ อะไรผิดหรือเปล่า

นายคณิตขึ้นเบิกความแสดง เพราะไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลคัดค้านการประกันตัวมาตลอด

จะเห็นได้ว่าแกนนำนปช.ยื่นขอประกันตัวไม่รู้ กี่ครั้ง

กลับโดนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีคู่บารมีนายกฯ มาร์ค ยื่นคัดค้านทุกที

ยังมองเสื้อแดงเป็นศัตรูแบบนี้แล้วจะปรองดองกันยังไง

พอศาลให้ประกัน นายอภิสิทธิ์ก็หยิบมาเป็นความดีความชอบของตัวเอง

ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นกันอยู่ ให้ประกันคนเสื้อแดง 3-4 คนพ้นคุก แล้วก็จัดฉากให้เขียน จดหมายขอบคุณนายกฯ ซะงั้น

ถนัดจริงๆ เรื่องเอาดีใส่ตัว

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ 25 กุมภาพันธ์ 2554
คอลัมน์ : เหล็กใน

 


“อิสรภาพ” ของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เสริมพลัง “เสื้อแดง” และ “เพื่อไทย” “ตัวแปรใหม่” ในสนามเลือกตั้ง

ในที่สุดผู้พิพากษาก็อนุญาตให้ ปล่อยตัวชั่วคราว  7 แกนนำ และ 1 แนวร่วม ผลที่ตามมา ย่อมมีทั้ง “ด้านลบ” และ “ด้านบวก” สำหรับรัฐบาล “อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ”

ด้านหนึ่ง เป็นการลดเงื่อนไขเรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่เป็นชนวนเรียก “คนเสื้อแดง” ให้มาชุมนุมกันอย่างต่อเนื่อง เพราะการให้ประกันตัวทั้ง 8 คน ย่อมแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมมีมาตรฐานเดียว เมื่อให้แกนนำคนเสื้อเหลืองประกันตัว ก็ให้แกนนำคนเสื้อแดงประกันตัวเช่นกัน แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง “ความช้า-เร็ว” บ้างก็ตาม

นั่นคือ ผล “ด้านบวก” สำหรับรัฐบาล

แต่ใน “ด้านลบ” การปล่อยตัว 7 แกนนำออกมาย่อมเพิ่มพลานุภาพให้กับกลุ่มนปช.ในทันที เพราะแต่ละคนล้วนเป็น “แม่เหล็ก” บนเวทีปราศรัยทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นนายณัฐ วุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก

การลด “เงื่อนไข” แต่เพิ่ม “แม่เหล็ก” ให้เวทีชุมนุม เมื่อหักลบกันแล้ว  ดูเหมือนว่า “ด้านลบ” จะมากกว่า “ด้านบวก”

เชื่อได้ว่าเมื่อ “แกนนำ นปช.” เปิดเวทีปราศรัยครั้งต่อไปเมื่อไร “คนเสื้อแดง” จะมารับขวัญ 7 แกนนำกันเนืองแน่นอย่างแน่นอน และยิ่งในช่วงเวลาที่รัฐบาลอยู่ในภาวะ “ขาลง”

เจอทั้งเรื่อง “น้ำมันปาล์ม-อาหารแพง-ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้”

การเพิ่มพลังให้กับ “คนเสื้อแดง” จึงเป็นมรสุมลูกใหม่ของรัฐบาล

และคนที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดคือ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” “ซุป-ตาร์” ของ “คนเสื้อแดง” “ณัฐวุฒิ” เป็นคนที่มี “แฟนคลับ” มากที่สุดของ “นปช.”

“อิสรภาพ” ของเขาไม่เพียงแต่มีความหมายมากไม่เฉพาะสำหรับขบวนคนเสื้อแดง แต่ยังหมายถึง “พรรคเพื่อไทย” ด้วย

นี่คือ อีกมุมหนึ่งที่ “อภิสิทธิ์” อาจลืมไป

กลุ่มคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยนั้น ณ วันนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เหมือนคนเสื้อเหลืองกับพรรคประชาธิปัตย์

เพราะวันนี้ “คนเสื้อเหลือง” ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์  และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ซึ่งวันนี้ทั้ง 2 กลุ่มยืนอยู่คนละฝั่งกันแล้วอย่างสิ้นเชิง

ในขณะที่ “เสื้อแดง” และ “เพื่อไทย” ยังประสานมือกันแน่น

ดังนั้น “อิสรภาพ” ของ “ณัฐวุฒิ” นอกจากจะเพิ่มพลานุภาพให้กับ “คนเสื้อแดง” แล้ว ทันทีที่ปรับโหมดสู่การเลือกตั้ง  เขาก็จะกลายเป็น “แม่เหล็ก” ให้กับพรรคเพื่อไทยทันที

ที่ผ่านมา “เพื่อไทย” มี “นักปราศรัย” ที่เรียกคนบนเวทีหาเสียงอยู่เพียง 2 คน คือ ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง และนายจตุพร พรหมพันธุ์

ร.ต.อ.เฉลิม นั้นเป็น “มวยเก๋า” บนเวทีปราศรัย  แต่แรงดึงดูดของเขาก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ

ในขณะที่ “จตุพร” เป็น “มวยรุ่นใหม่” ที่สร้างชื่อจากเวทีคนเสื้อแดง ลีลาการปราศรัยที่ดุดันของเขาเรียกคนได้บนเวทีคนเสื้อแดงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

แต่บนเวทีหาเสียงที่ต้องการคะแนนนิยม “จตุพร” ยังมีข้อจำกัด

แตกต่างจาก “ณัฐวุฒิ” ที่มีลีลาการปราศรัยที่หลากหลาย ทั้งดุดัน กินใจ และอารมณ์ขัน

“แฟนคลับ” ของเขาเยอะมากและกินตลาดกว้างทุกระดับ

ดังนั้น “อิสรภาพ” ของ “ณัฐวุฒิ” จึงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพรรคเพื่อไทยในทันที โดยเฉพาะในพื้นที่ “คนเสื้อแดง” เขาจะเป็นคนที่เรียกคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยได้อย่างมาก

ในความเป็นจริงพลังของ “ณัฐวุฒิ” ในเวทีหาเสียงนั้น  อาจส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ในระดับหนึ่ง เพราะ “ประชาธิปัตย์” ไม่ได้มุ่งหวังพื้นที่ภาคอีสานมากนัก

แต่สำหรับพรรคภูมิใจไทยที่หวังส.ส.ในภาคอีสานนั้น “ณัฐวุฒิ” จะเป็น “ปิศาจ” ที่หลอกหลอน “เนวิน ชิดชอบ” อย่างแน่นอน

และจะส่งผลถึงคะแนนรวมของ “ประชาธิปัตย์+ภูมิใจไทย”

นี่คือ อีกมุมหนึ่งที่ “อภิสิทธิ์” คาดไม่ถึง

ที่มา : มติชนออนไลน์ 22 กุมภาพันธ์ 2554

 


สัญชาติ มาร์ค (อีกที)

ย้อนกลับ ไปเมื่อ 1 ก.พ. วันที่ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความนปช. วิดีโอลิงก์แถลงความคืบหน้าการนำคดี 91 ศพยื่นฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี

พร้อมกับเปิด ประเด็นสัญชาติของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ถึงวันนี้เวลาผ่าน ไป 3 สัปดาห์เต็ม

ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ ตอบคำถามนักข่าวไว้ 3-4 ครั้งด้วยกัน เกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของตนเอง

แต่ทุกคำตอบไม่เคยชัดเจนสักครั้งเดียว ไม่ชัดเจนก็เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ เอาแต่ตอบว่า ผมสัญชาติไทย ผมสัญชาติไทย และผมสัญชาติไทย

โดยเลี่ยงที่จะไม่ตอบว่าแล้วถือ สัญชาติอังกฤษด้วยหรือไม่

ใครว่านายกฯ อภิสิทธิ์ อาจจะไม่เข้าใจคำถามของนักข่าว ก็ไม่น่าใช่

เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ มีประวัติเป็นคนพูดจาฉาด ฉาน ฉลาดเฉลียว ไม่เคยจนมุมให้กับคำถามของนักข่าว หรือการไล่ต้อนของฝ่ายค้านในสภา

ทั้งยังมีดีกรีการศึกษาจบปริญญาจากออกซ์ฟอร์ด ถ้าถึงขนาดไม่เข้าใจคำถามง่ายๆ ของนักข่าวไทย คงสอบตกมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม

ล่าสุดในการชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จัดแจงงัดเอาใบเกิดของนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกโดยเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ขึ้นมาโชว์ให้ดูเป็นขวัญตา

เป็นการยืนยันสิ่งที่นายอัมสเตอร์ดัม นำออกมาแฉนั้น ไม่ได้เป็นการกล่าว หาลอยๆ แบบไร้หลักฐาน อย่างที่คนในรัฐบาลและลิ่วล้อพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต

ต้องย้ำอีกทีให้เข้าใจกันชัดๆ ว่าเรื่องการถือ 2 สัญชาติของนายกฯ อภิสิทธิ์นั้น ถ้าเป็นความจริงก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะมีผลต่อการนำคดี 91 ศพขึ้นฟ้องร้องต่อไอซีซี

เพราะในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 ก.พ. มีนักข่าวถามนายอัมสเตอร์ดัมว่า หากนายกฯ อภิสิทธิ์ ถือสัญชาติอังกฤษด้วยแล้ว จะมีผลอย่างไรกับคดี

นายอัมสเตอร์ดัม ตอบว่า เนื่องจากประเทศอังกฤษเป็นสมาชิกภาคีระหว่างประเทศของไอซีซี และถ้านายกฯ เป็นคนสัญชาติอังกฤษ จะเข้าข่ายผู้มีสัญชาติในคดี อาชญากรรมระหว่างประเทศ มาตรา 12 บี ระบุให้สามารถดำเนินคดีได้ทันทีกับจำเลยที่มีสัญชาติของประเทศที่เป็นสมาชิก

ทีนี้เข้าใจหรือยัง ทำไมใครบางคนถึงต้องตอบคำถาม นักข่าวแบบลดเลี้ยว

แกล้งมึนแม้กระทั่งเรื่องสัญชาติตัวเอง

ที่มา : ข่าวสดรายวัน 22 กุมภาพันธ์ 2554
คอลัมน์ : เหล็กใน



ทำไม “ม็อบแดง” เติบโต ทำไม “ม็อบเหลือง” ถดถอย จับตา 19 ก.พ. “สึนามิแดง” มาแล้ว

ต้องยอมรับว่าปริมาณผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในวัน อาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นมากจริงๆ

ถ้าถามแกนนำนปช. อาจบอกว่าเป็นแสน

แต่รายงานของตำรวจนั้นเป็นหลักหมื่น

การถกเถียงเรื่อง “ตัวเลข” นั้น ต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตัวเอง

แต่ภาพที่ปรากฏก็คือ จากเวทีตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว

“คนเสื้อแดง” เต็มถนนราชดำเนินตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงสี่แยกคอกวัว  ส่วนด้านหลังเวทีนั้นยาวเหยียดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสะพานผ่านฟ้า

มีบางส่วนล้นไปถึงจปร.

ปริมาณผู้ชุมนุมมากกว่าครั้งก่อนที่ผ่านมา

ในขณะที่ “ม็อบเสื้อเหลือง” ที่ยืนหยัดมานานหลายวันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กลับมีจำนวนเพียงแค่หลักพันในช่วงค่ำ และหลักร้อยในช่วงกลางวัน

ยิ่ง “ม็อบ 2 สี” มาประชันกันในวันเดียวกัน  ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของ “มวลชน” ที่สนับสนุน

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไม “ม็อบเสื้อเหลือง”จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ

และทำไม “ม็อบเสื้อแดง” จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งถูกปราบครั้งใหญ่ไปเมื่อ 8 เดือนก่อน

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมี “เอเอสทีวี” และสื่อในเครือจำนวนมากเป็น “นางกวัก” เรียกคน

แต่ดูเหมือนว่าพลานุภาพของ “สื่อ” ในเครือจะลดความศักดิ์สิทธิ์

ในขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกนเรียกคนหน้าจอให้ “ออกมา…ออกมา…”

แต่ “คนหน้าจอ” กลับนิ่งเฉย

ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ “พันธมิตร” ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้

หรืออีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะปริมาณคนดูเอเอสทีวี ลดน้อยลง

มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ทำให้ “ม็อบเสื้อเหลือง” ลดลงมาจาก 3 สาเหตุ

สาเหตุแรก คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวแบบ “รักชาติ” อย่างรุนแรง ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสำหรับคนไทยในพ.ศ.นี้ ปริมาณคนเข้าร่วมจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารไทย ปะทะกับทหารกัมพูชา ทั้งที่การปะทะกันครั้งนี้น่าจะสร้างกระแส “คลั่งชาติ” เรียกคนมาร่วมชุมนุมได้อย่างถล่มทลาย แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ “พันธมิตร” ในเรื่องนี้

สาเหตุที่สอง มาจาก “คู่ต่อสู้” คือ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์

“ม็อบเสื้อเหลือง” ในอดีตที่เข้มแข็งและมีปริมาณมาก  มาจากการหนุนช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” เลือกที่จะปะทะกับ “อภิสิทธิ์” เขาจึงรู้ว่า “ม็อบพันธมิตร” ที่คิดว่าขึ้นตรงกับเขานั้น แท้จริงแล้วมี “ใคร” ชักใยอยู่เบื้องหลัง

แต่กว่าทั้งคู่จะรู้  พล.ต.จำลองและนายสนธิก็ถลำมาไกลเกินกว่าจะถอยหลัง

สาเหตุที่สาม  การเคลื่อนไหวของ “ม็อบพันธมิตร” ครั้งนี้ “เบาบาง” มากในเชิง “มวลชน” แต่ “รุนแรง” มากใน “เนื้อหา” การปราศรัยบนเวที

สนธิทำลาย “มิตร” ในอดีตแบบไม่ไว้หน้า  ไม่ว่าจะเป็น “เปลว สีเงิน” ของไทยโพสต์ “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” หรือแม้แต่ “อัญชลี  ไพรีรักษ์” ที่เข้าไปช่วยงาน “จุติ ไกรฤกษ์” ในกระทรวงไอซีที

โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯที่ไม่ยอมออกมาชุมนุมว่าหลงความหล่อของ “อภิสิทธิ์”

โจมตี พล.ต.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างรุนแรง ฯลฯ

เขาใช้กลยุทธ์เก่าที่เคยได้ผลมาก่อนในอดีต คือ ทำให้ทุกคน “กลัว” ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์  โดยลืมไปว่าพลานุภาพของ “มวลชน” และสื่อในเครือนั้นไม่เหมือนเดิม

ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็ยิ่งทำลายตัวเองลงเรื่อยๆ

ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็รู้แล้วว่าใครคือ “เส้นใหญ่” ตัวจริง

ในอีกด้านหนึ่ง  กลุ่ม “คนเสื้อแดง” กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

การระดมคนเป็นหมื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา

แกนนำนปช.ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ลด “ความรุนแรง” ลง และใช้วิธี “รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง” สร้างแนวร่วมมากขึ้น

ที่สำคัญเรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อนำสิ่งที่แกนนำ นปช.ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมาเทียบกับแกนนำ “ม็อบพันธมิตร” ที่เจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกัน  แต่ได้ประกันตัวและออกมานำการเคลื่อนไหวได้

เป้าหมายของ นปช.นั้นต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น “เท่าตัว” ทุกครั้ง

และ 2 ครั้งที่ผ่านมา เขาทำสำเร็จ

การชุมนุมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ แกนนำ นปช.ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกเท่าตัว

แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการคุยคำโต  แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทว่า “เป็นไปไม่ได้”

การเติบโตของ “ม็อบเสื้อแดง” และการถดถอยของ “ม็อบเสื้อเหลือง” นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสวนทางกัน “ม็อบเสื้อเหลือง” ในอดีตเคยมีฐานมวลชนหลักคือ “คนกรุงเทพ” “ต่างจังหวัด” เป็นส่วนเสริม

ในขณะที่ “ม็อบเสื้อแดง” นั้นต้องพึ่งพาจากคนต่างจังหวัด

การชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 “คนเสื้อแดง” จึงต้องระดมคนอีสานและภาคเหนือเข้ามาในกทม. เพราะรู้ว่าฐานสนับสนุนในเมืองกรุงนั้นไม่มากนัก

แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไป

“คนกรุง” หนุน “ม็อบเสื้อเหลือง” น้อยลง  สังเกตได้จากปริมาณคนในช่วงเย็นวันธรรมดา ซึ่งตามปกติเคยเนืองแน่น  แต่วันนี้กลับมาจำนวนคนเพิ่มน้อยมาก

ในขณะที่ “ม็อบเสื้อแดง” ที่ชุมนุมในช่วงหลังแบบบ่ายไปดึกกลับ ล้วนแต่เป็นคนกรุงและจังหวัดใกล้เคียง

เขาไม่ได้ระดมคนอีสานและภาคเหนือลงมาเลย

แต่วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ “จตุพร” ประกาศบนเวทีว่าจะระดม “คนเสื้อแดง” จากภาคเหนือและอีสานมาร่วมด้วย

ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง”ต่อจากนี้ไปจะเดินไปอย่างไร

แม้แต่ “แกนนำ นปช.” เอง

เหตุการณ์ในตูนีเซีย และอียิปต์ ทำให้ “คนเสื้อแดง” ฮึกเหิมขึ้น

เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่บอกว่าอะไรที่ทุกคนคิดว่า “เป็นไปไม่ได้”

แท้จริงแล้ว “เป็นไปได้”

“อภิสิทธิ์” ที่เคยชนะในเดือนพฤษภาคม 2553 ก็อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน

นี่คือ สึนามิการเมืองลูกเดิมระลอกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

 


‘คุยข้ามคุก’ แกนนำนปช.

แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องข้อหาทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ สะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความ วุ่นวายในบ้านเมือง วันนี้ถูกคุมขังมาแล้วกว่า 6 เดือน แม้จะยื่นคำร้องขอประกันตัวแต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาจะหลบหนี “โลกวันนี้” จึง “คุยข้ามคุก” เพื่อสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของแกนนำ นปช. แต่ละคนว่ายังมีจิตใจที่เข้มแข็งและพร้อมจะต่อสู้กับคนเสื้อแดงเพื่อให้ได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมา

นพ.เหวง โตจิราการ ประเทศไทยไม่มีความยุติธรรมและใช้ความรุนแรงกับประชาชน

“ทุกวันนี้ผมวิ่งออกกำลังกายวันละ 10 กิโลเมตร เพื่อรักษาสุขภาพให้ดีขึ้นและออกมาต่อสู้หาความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวมากที่สุดคือความจริงของเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจะถูกเปิดเผยออกมา เนื่องจากใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือสังหารประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ราย บาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย แต่คนที่ถูกกระทำกลับต้องเข้าคุก ส่วนคนทำยังลอยหน้าลอยตาในสังคมต่อไป ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยไม่มีความ ยุติธรรมและใช้ความรุนแรงกับประชาชน”

นายนิสิต สินธุไพร หัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่

“ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะตลอด 6 เดือนที่อยู่ในนี้ทำให้มีเวลาคิดอะไรมากขึ้น ตอนนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้นเพราะได้ออกกำลังกายทุกวัน โดยจะขึ้นเวทีซ้อมมวยกับณัฐวุฒิและเจ๋ง ดอกจิก จากนั้นก็ดูทีวี.และอ่านหนังสือที่ทางเรือนจำมีไว้ให้ ก็สบายดีและยังแข็งแรงอยู่

แต่ขอยืนยันว่าสิ่งที่ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ทำคือสิ่งที่ถูกต้อง และมั่นใจว่าเราทำเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อบ้านเพื่อเมือง เป็นการทำหน้าที่ตามสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่บัญญัติไว้ตามรัฐ ธรรมนูญ เราไม่ใช่ผู้ต้องหาตามที่รัฐบาลกล่าวหา เราเป็นเพียงกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองเท่านั้น เพราะในทางการเมืองเห็นต่างกันได้ เราไม่ได้เป็นคนสร้างความแตกแยกให้กับชาติบ้านเมือง

ผมเชื่อว่าเมื่อไรที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรมก็จะตามมา ดังนั้น วันนี้ที่ผมอยู่ในนี้ก็เพียงแต่ไม่มีอิสรภาพเท่านั้น แต่ความคิดและหัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่ ผมอยากบอกว่ารัฐบาลจะทำอะไรกับพวกผม ผมไม่กลัว เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

นายก่อแก้ว พิกุลทอง คุณอภิสิทธิ์เป็นคนตอแหล

“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว แม้ว่าตอนแรกๆอาจปรับตัวยากหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีอะไร วันๆก็ดูทีวี. อ่านหนังสือ แล้วก็ออกกำลังกายบ้าง ไม่มีอะไรมาก ทีแรกที่เคยบอกว่าทำใจยากเพราะผมถูกส่งไปอยู่แดน 8 ซึ่งเป็นแดนที่มีนักโทษเด็ดขาดและเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น ก็ทำใจยากหน่อย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว บอกได้อย่างเดียวว่าคิดถึงลูกมาก แต่ก็ดีที่แม่เขามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ก็หายคิดถึงกันบ้าง

ผมอยากบอกดีเอสไอที่กล่าวหาพวกผมเป็นผู้ก่อการร้ายว่า ดีเอสไอทำงานรับใช้การเมือง ดังนั้น ดีเอสไอจะทำอะไรกับพวกเราก็เป็นเรื่องที่ทำเพื่อรับใช้การเมืองเท่านั้นเอง แต่คุณอภิสิทธิ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีบอกว่าการจะปล่อยแกนนำ นปช. เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ผมก็ไม่ได้หวังอะไร สำหรับผมไม่ฟังคุณอภิสิทธิ์มานานแล้ว เพราะคุณอภิสิทธิ์เป็นคนตอแหล เป็นคนปากพูดอย่างแต่สมองคิดอีกอย่าง พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น การออกมาบอกว่าต้องการปรองดอง แต่พอเอาเข้าจริงก็เป็นเพียงแค่พูดไปวันๆเท่านั้น เพราะความเป็นจริงคุณเองต่างหากที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก เมื่อคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้แล้วบ้านเมืองจะปรองดองได้อย่างไร”

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กองทัพเอาอาวุธมาฆ่าพี่น้องเรา

“ขอยืนยันว่าตอนนี้แม้ผมต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็มาจากการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ผมยืนยันว่าจะสู้ต่อไปเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ผมยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เรามาทำหน้าที่ของเรา แต่เมื่อรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นผู้ก้อการร้าย ผมก็ยังงงว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไรในเมื่อผมไม่ได้ไปฆ่าใคร มีแต่กองทัพที่เอาอาวุธมาฆ่าพี่น้องเรา มีการใช้กำลังทหารกับเรา

ตอนนี้ผมกำลังฟิตหุ่นให้แข็งแรง ออกกำลังกายทุกวัน เพื่อเตรียมตัวออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกับพี่น้องเสื้อแดงอีก ครั้ง ส่วนที่ดีเอสไอบอกว่าเราฆ่ากันเอง ผมอยากถามว่าคิดได้อย่างไร และการที่ดีเอสไอคิดอะไร ทำอะไร ก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ผมไม่ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพราะดีเอสไอวันนี้ทำงานเอาใจนักการเมืองเท่านั้น อยากบอกว่าคนเสื้อแดงที่อยู่ในนี้ยังคิดถึงพี่น้องเสื้อแดงทั่วประเทศ หากมีโอกาสจะมาพบกันอีกครั้งหลังจากประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่า นั้น”

นายขวัญชัย ไพรพนา ต่อสู้เพื่อทวงถามประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินเกิด

“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แม้ตอนแรกจะทำใจไม่ได้ก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาทำใจลำบากเพราะไม่เคยอยู่ในคุก แต่มาถึงตรงนี้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว ดีเสียอีกเพราะจะได้ออกกำลังกายมากขึ้น ตอนนี้น้ำหนักลดลงไปกว่า 10 กิโลกรัมแล้ว หุ่นดีขึ้นเยอะ

เรื่องกำลังใจจึงไม่ต้องห่วง เพราะมีพี่น้องเสื้อแดงจากอุดรธานีและจังหวัดอื่นๆมาเยี่ยมผมเป็นจำนวนมาก เขามาเราก็ดีใจ และฝากบอกไปด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะรักษาตัวให้ดีที่สุดเพื่อกลับไปหาพี่น้องเสื้อแดงทุกคน อยากบอกว่าผมไม่เคยเสียใจที่ต้องมาอยู่ในนี้ แต่ผมภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้ร่วมกันต่อสู้กับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง ต่อสู้เพื่อทวงถามประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินเกิด”

นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย เราเดิมพันชีวิตเราไว้แล้ว

“ตอนนี้ผมแข็งแรงดีเพราะออกกำลังกายทุกวัน และยังมีใจสู้อยู่ตลอดเวลา เพราะถ้ามองว่าไม่เป็นธรรมมันก็ไม่เป็นธรรม แต่ผมว่าก็ดีไปอย่างเพราะทำให้เรามีเวลาในการทำงานอย่างอื่นมากขึ้น ได้ดูแลร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น ตอนนี้หากมีเวลาว่างก็จะฝึกสมาธิมากขึ้น

พวกเราได้เข้ามาอยู่ในนี้อีกครั้งเพราะต้องการประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลให้ไม่ได้ การอยู่ในนี้เป็นการจำกัดอิสรภาพของเราเท่านั้น เราไม่เสียใจในการทำหน้าที่ของประชาชนคนไทยที่ต้องการให้ประเทศชาติเป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะการร่วมกันสู้หมายถึงเราเดิมพันชีวิตเราไว้แล้ว ดังนั้น แม้จะถูกขังคุกก็ยังสูญเสียน้อยกว่าพี่น้องประชาชนที่มีอุดมการณ์ร่วมกับเรา ที่สูญเสียทั้งชีวิต บางคนสูญเสียอวัยวะ บางคนต้องเสียตา เสียแขน เสียขา เราเพียงแค่ติดคุก ซึ่งก็มีวันออก

ทั้งๆที่ความเป็นจริงเราไม่น่าจะเข้ามาอยู่ในนี้ แต่เป็นเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้พวกเราได้แสดงความคิดเห็นที่เป็น ประชาธิปไตย แต่เรายังคงมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำมานั้นถูกต้อง เราต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ไม่มีความยุติธรรมและความจริงเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็จะเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นให้ได้”

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม

“ตอนแรกที่เข้ามาก็เครียดบ้างเพราะไม่เคยอยู่ในนี้ อย่างผมเป็นคนบันเทิง มีอิสระ มีเสรีภาพ เข้ามาใหม่ๆจึงลำบากหน่อย แต่พอนานไปก็ทำใจได้ ตอนนี้ก็สบายขึ้น ออกกำลังกายทุกวัน คือทุกวันผมจะวิ่งในเรือนจำกับพี่นิสิต วิ่งมาราธอนกันเลย ผมบอกเลยว่าที่ต้องเข้ามาอยู่ในนี้ผมไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม เพราะผมมีความเชื่อมั่นที่จะสร้างประชาธิปไตยในบ้านเมืองของเราให้เกิดขึ้น ให้ได้ เพียงแต่รู้สึกไม่ดีที่ไม่มีความเป็นธรรมในสังคมไทย

การที่ผู้มีอำนาจตั้งข้อกล่าวหาเราเกินจริง ทั้งยังไม่ให้ประกันตัวอีก อ้างว่าจะหลบหนี ทั้งที่ความเป็นจริงเราเข้าไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่เอง หากเราตั้งใจจะหลบหนีจะมอบตัวทำไม เรามอบตัวตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นความไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรมของผู้มีอำนาจ ทุกวันนี้สิ่งที่แกนนำทุกคนที่อยู่ในนี้ทำคือการรักษาตัวและรักษาสุขภาพให้ แข็งแรงเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ในวันข้างหน้า”

นายสมชาย ไพบูลย์ คุณก็หนีความจริงไม่พ้น

“ผมยังยืนยันว่าจะสู้ต่อไป แม้จะอยู่ในนี้ผมก็ไม่มีวันท้อ แต่กลับเพิ่มกำลังใจมากขึ้นอีกเพราะได้รับความห่วงใยจากพี่น้องประชาชนทั่ว ประเทศ เราได้รับความไม่ยุติธรรมจากผู้มีอำนาจทั้งที่เราเรียกร้องประชาธิปไตย เหมือนทุกที่ในโลก ถ้าเขาเห็นว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยก็ต้องออกมาเรียกร้องตามสิทธิที่ พึงกระทำได้ แต่เขาไม่ใช้กำลังกับประชาชน ผิดกับรัฐบาลนี้ที่ใช้ทั้งทหารและอาวุธมาห้ำหั่นประชาชน ยิงประชาชนจนตายเกือบ 100 ศพ แต่รัฐบาลกลับบอกว่าไม่ได้ทำ อยากบอกนายอภิสิทธิ์ว่าความจริงคือความจริง ยังไงก็หนีความจริงไม่พ้น วันนี้คุณยังมีอำนาจ คุณทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อคุณหมดอำนาจ วันนั้นจะรู้เองว่าความจริงคืออะไร เพราะประชาชนคงไม่ให้อภัยคนที่ฆ่าพี่น้องเขาแน่นอน”

อย่ามาทำตีแค่สำนวนโวหาร

นายสมหวัง อัสราษี แกนนำ นปช. ที่ทำหน้าที่ดูแลแกนนำ นปช. ที่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

“หลังจากแกนนำถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษฯ ในช่วงแรกมีคนรับไม่ได้ที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ โดยเฉพาะนายขวัญชัย ไพรพนา ถึงกับหลั่งน้ำตา เพื่อนๆก็ได้แต่ปลอบใจ แต่หลังจากอยู่ได้สักระยะตอนนี้ก็สบายใจขึ้น รวมทั้งได้รับกำลังใจจากคนเสื้อแดงที่ไปเยี่ยมทุกวัน เดี๋ยวนี้มีความสุขมากขึ้น ที่นายขวัญชัยกลัวมากเนื่องจากต้องไปอยู่ในแดน 8 ซึ่งเป็นแดนที่เป็นนักโทษเด็ดขาดเข้าออกคุกเป็นว่าเล่นและมีคดีร้ายแรงทั้ง นั้น สำหรับคนอื่นๆก็มีการแยกขัง ไม่ได้อยู่รวมกัน ตั้งแต่แดน 4-8

“เรื่องอาหารผมใช้วิธีสั่งจากสโมสรของเรือนจำให้ไปรับประทานทุกวัน ซึ่งทางเรือนจำค่อนข้างเข้มงวดเรื่องนี้ แต่ดีที่สั่งอาหารจากที่นี่ได้ทำให้ไม่กังวลเรื่องนี้ ผมเองก็เข้าไปทุกวัน จัดน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกไปให้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะเจ้าหน้าที่ให้ความสะดวกในการเยี่ยมและส่งของ ซึ่งแกนนำที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไร ปฏิบัติตัวเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ

แต่ที่ผมอยากถามรัฐบาลคือ การใช้อำนาจทั้งกำลังทหารและการออกมาขู่ไม่ให้ประกันตัวแกนนำ นปช. นั้นมาจากสาเหตุอะไร หรือเป็นเพราะกลัวว่าความจริงที่กระทำกับประชาชนในวันที่ 19 พฤษภาคม จะถูกเปิดเผยออกมา อย่ากลัวความจริง เพราะความจริงใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำนั้นแน่นอน การที่รัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามมาปราบปรามประชาชนไม่มีประเทศไหน ในโลกทำกัน

“ตอนนี้กลุ่ม นปช. กำลังจับตาดูว่ากรณีกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องขึ้นศาลในคดีก่อการร้ายเช่นกันจะ ได้รับการประกันตัวหรือไม่ เพราะกรณีของกลุ่ม นปช. ศาลเกรงว่าจะหลบหนี แต่กลุ่มพันธมิตรฯอยากไปไหน ไปทำอะไรก็ได้ หากได้รับการประกันตัวก็จะเป็นการตอกย้ำเรื่อง 2 มาตรฐาน ซึ่งจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับสังคมมากขึ้น ผมอยากเรียกร้องรัฐบาลว่าหากอยากให้เกิดความปรองดองจริงต้องทำให้ความ ยุติธรรมที่แท้จริงปรากฏขึ้น อย่ามาทำตีแค่สำนวนโวหาร เพราะไม่ต่างอะไรกับลมปากที่พ่นแต่ความเหม็นเน่าออกมา”

พงศ์เทพ เทพกาญจนา สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย

วันนี้

วันนี้ 19 พฤศจิกายน 2553 ผมคิดถึงวีรบุรุษ วีรสตรีชาวไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชนภายใต้ชื่อการกระชับพื้นที่

จนถึงวันนี้ 6 เดือนผ่านไป สาธารณชนไม่ทราบว่าการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนตามที่กฎหมายกำหนดมีการดำเนินการหรือไม่

จนถึงวันนี้ ไม่มีการดำเนินคดีกับบุคคลในเครื่องแบบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน

จนถึงวันนี้ สิ่งที่เห็นคือผู้เรียกร้องประชาธิปไตยถูกสอบสวน ถูกดำเนินคดี ถูกขัง ไม่ได้ประกันแม้ความผิดที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดไม่ร้ายแรง

จนถึงวันนี้ ประชาชนผู้บริสุทธิ์และสูญเสียยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

จนถึงวันนี้ ประชาชนรับทราบข่าวการทุจริต คอร์รัปชัน ความทรามของผู้ใช้อำนาจรัฐที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จนถึงวันนี้ หลายคนแปลกใจว่าองค์กรต่างๆที่เคยทำหน้าที่ได้ดี เคยเป็นที่เชื่อถือ ไฉนเปลี่ยนไปเพียงนี้

จนถึงวันนี้ หลายคนแปลกใจว่าผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายอดทนกันได้อย่างไร

จนถึงวันนี้ เมื่อย้อนถามตัวเอง หลายคนคิดเหมือนกันว่าเราอดทนอยู่ได้ เรายังอยู่ได้ก็ด้วยความหวังว่าอรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเท่า เทียมกัน มีความเสมอภาค กลไกต่างๆของประเทศทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาด้วยความเที่ยงธรรม กำลังรอเราอยู่

จนถึงวันนี้ ผมยังรอวันพรุ่งนี้และจะรอต่อไป

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 287 วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 18-19 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย วัฒนา อ่อนกำปัง