วิสัยทัศน์ประเทศไทย 2020

พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทุกท่าน

วันเลือกตั้งกำลังจะมาถึง พี่น้องคงอยากจะทราบว่า พรรคการเมืองแต่ละพรรคที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศจะนำพี่น้องและประเทศของเรา ไปในทิศทางใด เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจลงคะแนน  ดิฉันจึงขอกราบเรียนเสนอวิสัยทัศน์ปี ค.ศ. 2020 ซึ่ง เป็นปีที่นานาประเทศที่เจริญเขาจะใช้เป็นปีเป้าหมายที่จะพัฒนาประเทศของเขาให้สามารถแข่งขันได้ นั่นคือ ภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทย ด้วยนโยบายที่นำเสนอในการเลือกตั้งครั้งนี้ หากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นปี ค.ศ. 2020  หรือ พ.ศ.  2563 สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นดังนี้

อนาคตของคนไทย 

1. รายได้ประชาชาติของไทย จะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคนไทยทั้งหมดจะมีรายได้เหนือเส้นความยากจน คนไทยทุกครอบครัวจะมีบ้านของตนเอง เกษตรกรทุกคนจะมีที่ทำกินเป็นของตนเอง

2. คนไทยจะมีค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 1,000 บาท และเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีขั้นเริ่มต้นที่ 30,000 บาท/เดือน

3. คนไทยจะมีสุขภาพดีถ้วนหน้าและปลอดยาเสพติด รับประทานอาหารปลอดภัย มีสถานพยาบาลที่ทันสมัย และที่ออกกำลังกายทั่วประเทศ

4.  เยาวชนไทยจะมีการศึกษาทั่วถึงทันโลก พรั่งพร้อมด้วยคุณธรรม และจริยธรรม

5. ไทยจะมีจำนวนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเป็น 2 เท่า

เป้าหมายการพัฒนาสู่ความสำเร็จ 

6. การคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ จะสะดวกยิ่งขึ้น เพราะรถไฟฟ้าจะเสร็จทั้ง 10 สาย มีการสร้างเมืองใหม่ และที่อยู่อาศัยออกไปตามเส้นทางรถไฟฟ้า

7. การคมนาคมขนส่งระบบราง จะครอบคลุมทั้งประเทศ มีทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อมเมืองสำคัญ รถไฟรางคู่ และระบบขนส่งเชื่อมโยงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะทำให้ค่าขนส่งสินค้า (Logistic Cost) ของไทยลดลงจากปัจจุบัน 25%

8. จะมีการปรับโครงสร้างการใช้พลังงาน โดยการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสีเขียวเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของพลังงานจากฟอสซิล

9. ประเทศไทยจะเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของเอเชีย ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะทำให้เด็กไทยเข้าถึงข้อมูลทั่วโลกได้ พร้อมทั้งระบบการเรียนการสอนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ  ทุกตำบลจะเป็นตำบลดิจิตอล

10. ไทยจะมีเมืองใหม่ ที่มีการวางผังเมืองมาตรฐานโลก พร้อมเขื่อนกั้นน้ำทะเลและระบบป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ

11. จะเกิดเมืองหลวงภูมิภาคขึ้นหลายแห่ง เนื่องมาจากการกระจายความเจริญ กระจายงบประมาณ กระจายรายได้ กระจายความมั่งคั่งสู่ภูมิภาค

12. ไทยต้องมีบทบาทนำในเวทีโลก คนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฐานะใด อาชีพใด ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความภูมิใจในความเป็นไทย

13. ดัชนีการคอรัปชั่นที่ประเมินโดยต่างประเทศจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ไม่น้อยกว่า 75 %

14. กระบวนการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม (Rule of Law) จะเป็นมาตรฐานสากล อันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ และไว้วางใจจากนานาประเทศ ซึ่งจะมีผลดีต่อการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ

อนาคตประเทศไทย

15. ไทยจะเป็นศูนย์กลางการบินของเอเชีย จะมีนักท่องเที่ยวเป็น 30 ล้านคนต่อปี สนามบินทั้งดอนเมือง และอู่ตะเภา จะถูกนำมาใช้เป็นสนามบินสากล

16. ไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงิน และการพลังงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

17. ไทยจะเป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพของเอเชีย

18. ไทยจะเป็นศูนย์ผลิตอาหารเลี้ยงโลก “ครัวไทย สู่ครัวโลก” ด้วยอาหารคุณภาพ (From Farm to Table)

19. สินค้าไทยจะเป็นสินค้าที่ทำรายได้จากการสร้างมูลค่า (Value Creation) มากกว่าการขายเพียงวัตถุดิบหรือรับจ้างทำของ

20. ไทยจะเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก แต่เคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนาของคนไทย

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเป้าหมายที่ต้องบรรลุ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดเพียงเท่านี้ ซึ่งดิฉันและทีมงานพรรคเพื่อไทยจะอธิบายในวันปราศรัยโค้งสุดท้าย วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม นี้ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ค่ะ

เป้าหมายเหล่านี้จะสำเร็จได้ หากคนไทยต้องมีความสามัคคีปรองดองกัน  ดิฉันจะไม่ทะเลาะกับใคร จะมุ่งมั่นให้วิสัยทัศน์ 2020 เป็นจริงให้ได้ และไม่ใช่จะขอเป็นนายกฯ ถึงปี 2563 เป็นเพียงต้องวางยุทธศาสตร์และลงมือตั้งแต่บัดนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยความเคารพรัก

ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร
29 มิถุนายน 2554


วาทกรรมตอแหลฉบับออนไลน์

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลัง ปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

ข้อความสรุปท้ายของบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 1 “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการใช้เฟซบุ๊คหรือสังคมออนไลน์ในทางการเมืองที่ได้ รับการตอบรับดีเกินคาด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการต่อสู้ทางการเมืองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

แต่บันทึกของนายอภิสิทธิ์ที่เขียน 3 ตอนนั้นไม่ใช่แค่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นความ จริงทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การจับขั้วทางการเมืองโดย “อำนาจพิเศษ” และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

พายเรือให้โจรนั่ง!

อย่างบันทึกตอนที่ 1 กล่าวถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และ “พายเรือให้โจรนั่ง” ว่าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมนายเนวินที่ตัดสินใจย้ายขั้วทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนั้นตนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านายเนวินตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ ประเทศเดินหน้าได้

ส่วนข้อกล่าวหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ไปปล้นอำนาจใคร แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา ทั้งไม่เคยติดต่อกับทหารคนใด และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้

ตุลาการ “วิบัติ”!

ในบันทึกตอนที่ 1 นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงช่วงก่อนการยุบพรรคพลังประชาชนว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย และได้ไปพบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

“คุณพสิษฐ์บอกผมว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและ ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายพสิษฐ์ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้นัดหมาย แต่ได้รับคำสั่งให้ไปพบนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยทราบก่อนเวลานัดไม่ถึง 1 ชั่วโมง และได้พูดเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนจริง โดยนายอภิสิทธิ์พูดว่า

“แม้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวก็ไม่ มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคง จับมือกันร่วมรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ในเฟซบุ๊ค หลังจากผมรับฟังจากท่านผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผมบอกว่าจะนำความกลับไปบอกผู้ใหญ่ให้ทราบถึงเป้าประสงค์ต่อไป”

นอกจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่ตรงกับนายพสิษฐ์แล้ว ยังทำให้เห็นชัดเจนว่ามี “ผู้ใหญ่” ที่ ไม่ได้เอ่ยนามเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆตามมาอีกหลาย พรรคหลังจากนั้น ซึ่งขณะนั้นคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” มีการพูดถึง อย่างมากมายเพื่อให้นำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมือง

แต่วันนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” กลับกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ พร้อมๆกับปฏิรูปการเมือง เพื่อหยุดปัญหา 2 มาตรฐานและการดึงสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

อำนาจพิเศษ!

ส่วนบันทึกของนายอภิสิทธิ์ตอนที่ 2 “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง” ก็ถูกนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบโต้ว่านายอภิสิทธิ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังแฉหมดเปลือกว่าหากการตั้งรัฐบาลไม่มี “พลังที่ไม่สามารถเลี่ยงได้” บีบบังคับก็จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ซึ่งนายอภิสิทธิ์อ้างในบันทึกว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100% เพราะต้องทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ “ผมต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มี และดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

คำพูดของนายชุมพลจึงไม่เพียงตอกหน้านาย อภิสิทธิ์ว่าโกหก ยังยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลมี “อำนาจพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับนายชุม พล เพราะอีกไม่นานคงทราบว่าการเขียนของตนคืออะไร ทั้งจะไม่หยุดเขียน เพราะต้องการบันทึกความจริงเอาไว้

ถูกยัดเยียดฆ่าประชาชน

อย่างไรก็ตาม บันทึกทั้ง 2 ตอนไม่ฮือฮาเท่าบันทึกตอนที่ 3 โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “ขอเสนอความจริง” เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยระบุชนวนเหตุการณ์ปี 2553 มาจากศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และกล่าวหาว่าศาลตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงใช้วาทกรรม “2 มาตรฐาน” ปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าพยายามประนีประนอม โดยยึดหลักกฎหมายและความถูกต้อง ยอมนั่งเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 2 วัน 6 ชั่วโมง และเสนอทางออกจะยุบสภาช่วงปลายปี เพื่อให้เศรษฐกิจมั่นคงและการเมืองเป็นไปตามกติกา เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น แต่ก็เกิดความรุนแรงเดือน “เมษา-พฤษภา” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าเพราะกองกำลังติดอาวุธ

นายอภิสิทธิ์ระบุอีกว่ามีการวางแผนเป็นขั้นตอนตั้งแต่เหตุการณ์เมษายน 2552 ที่เอามวลชนมาล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และไล่ล่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งมีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์เพื่อให้เข้าใจว่าตน “สั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอม รับวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างสันติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา

“หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภา ไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แกนนำคนเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”

วาทกรรมตอแหล!

ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ยังกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการฝึกอาวุธที่บริเวณแนวชายแดนบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง แต่จนถึงวันนี้ยังจับกุม “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ได้เลย นอกจากการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง รวมถึง “ผังล้มเจ้า” แม้จะกลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว แต่ยังใช้มาตรา 112 กล่าวหาและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อยชีวิต

จนมีคำถามว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนของฝ่ายใดกันแน่ เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ชอบซื้ออาวุธหรือไม่? ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ “ดีแต่พูด” สร้างภาพด้วยวาทกรรมปรองดองและประนีประนอม แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบทาง การเมืองใดๆกับ 91 ศพ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดสั่งสอนนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านว่า

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ก็มักจะอ้างแนวทางการปรองดอง แต่กลับโจมตีว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะทำคือการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศชัดเจนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ปัญหาเศรษกิจและปัญหาปาก ท้องของประชาชน

ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 170 เสียงจะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ เพราะมั่นใจว่าได้มากกว่า 170 เสียงแน่นอน แต่ถ้าแพ้ยับต้องยกบ้านยกเมืองให้กับคนเผาบ้านเผาเมืองไป กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับไม่สามารถจับคนเผา ผู้ก่อการร้าย คนชุดดำได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ใช้กำลังแทบจะทั้งกองทัพ

เรยาการเมือง?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น “ลากไส้อภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งฉายา “เรยาการเมือง” เพราะไม่จริงใจสร้างความปรองดอง เอาประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นส่วนเล็กของปัญหามาทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “แก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น”

โดยเฉพาะบันทึกตอนที่ 3 นายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความ 13 ประเด็นผ่านเฟซบุ๊คตอบโต้บทความของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ความรุนแรงปี 2552 ที่พัทยาว่านายอภิสิทธิ์จงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินที่เป็นชาย ฉกรรจ์ผมสั้นเกรียน ซึ่งมีทั้งปืน มีด และไม้เป็นอาวุธ ดักทำร้ายคนเสื้อแดงระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือจนบาดเจ็บหลายราย หรือกรณีชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่เสียชีวิตเพราะเป็นเหยื่อของการชุมนุมนั้น ผ่านมากว่า 2 ปี คดีคืบหน้าไปถึงไหน ได้คนทำความผิดหรือยัง และทำไมไม่พูดถึงคนเสื้อแดง 2 คนที่กลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยน้ำเจ้าพระยา

ภาพปิศาจ “ทักษิณ”

ส่วนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับการวาดภาพปิศาจใส่ฝ่ายตรง ข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยกับการต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวน มาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว 16.00-17.00 น. ซึ่งโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่บอกว่าไม่ใช่การขอคืน พื้นที่ แต่เป็นการปราบปรามประชาชน ทั้งมีข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต้องให้จบในคืนนั้น” ไม่มีตรงไหนเลยที่อธิบายว่านายอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

“การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี 2553 เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภา ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้น คำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชา เรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า นปช. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ และอยากเห็นว่าเป็นใคร หรือคนที่รัฐบาลจับนั้นเอาไปขังไว้ที่ไหน คนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิต ระบุได้ว่าคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และ มีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจน ทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหน และตายไปแล้วดวงวิญญาณยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏ”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า แกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ หากผิดจริงในคดีก่อการร้ายก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหมที่มีทหารอาวุธครบมือ แล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพ

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีก ผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูดสบตาประชาชนบ้างนะครับ”

มารยาร้อยเล่มเกวียน

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทวีตข้อความตอบโต้นายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คนชุดดำนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนก็เกินพอที่ทำให้นายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนความเสียหายหลังจากนั้นย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกัน

โดยเฉพาะการใช้วาทกรรมสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หรือ “คืนความสุขให้ คนกรุงเทพฯ” และ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ไม่สามารถลบล้างภาพความรุนแรงที่เกิดจากการล้อม ปราบประชาชนด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ได้

ข้อหา “ฆาตกรฆ่าประชาชน” ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นการยัดเยียดให้กับตนนั้นแตกต่างจากที่นาย อภิสิทธิ์และ ศอฉ. โยนความผิดทั้งหมดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งวันนี้ยังจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้ง 91 ศพนั้นมีตัวตนชัดเจน คนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน มีจำนวนมากที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หลายคนต้องพิการ และยังมีผู้บริสุทธิ์อีกหลายร้อยคนถูกจับคุมขังโดยไร้หลักนิติธรรม

บันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” จึงยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ตาสว่าง” และเป็นการประจานตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่เพียงอ้างข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” และ “บิดเบือนข้อเท็จจริง” เท่านั้น ยังเป็นการ “พูดเองเออเอง” เพราะขี้ขลาดและกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย

Facebook ของนายอภิสิทธิ์จึง เป็นแค่ Fakebook ไร้คุณค่า ด้วยวาทกรรมตอแหล “ดีแต่แก้ตัว” ฉบับออนไลน์เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ แต่..

คนไทยส่วนใหญ๋รับไม่ได้กับทักษิณที่มีส่วนในหุ้นชิน แต่รับได้กับมาร์คทีมีลุงนั่งกรรมการ True มีพ่อนั่งกรรมการ CP แล้ว True ได้ทำ 3G ไปแบบผู้บริหาร TOT ลาออกไปครึ่ง อีกทั้งคนไทยกลับรับได้ที่กรณ์มีญาตินั่งกรรมการ Loxley ในขณะที่ตัวเองออกมาปั่นหุ้นหวยออนไลน์

คนไทยรับไม่ได้กับแม้วที่ซื้อขายที่ดินรัชดา แต่กลับรับได้กับสุรยุทธ์ที่เอาที่ดินเขายายเที่ยงไปฟรีๆแค่คืนก็จบโดยไม่ คิดคุกอะไรเลย ถ้าคนตำแหน่งขนาดนั้นอ้างว่าไม่รู้ ผมว่าแม้วก็อ้างได้ครับว่าไม่รู้ หรือแม้กระทั้งเทพเทือกกับลูกชาย ฮุบเขาเป็นลูกๆ คนไทยก็รับได้

คนไทยรับไม่ได้ที่ดาวเทียมไทยคมตัวสำรองดีกว่าตัวหลัก แต่คนไทยรับได้ที่กรณ์อออกมาปั่นหุ้นโดยบอกว่าเรื่องนี้ผิด ดาวเทียมสำรองต้องห่วยเท่าตัวเดิม ดีกว่าตัวเดิมไม่ได้ พอปั่นหุ้นกันจนอิ่มแล้วเรื่องก็เงียบไป ที่สำคัญตอนรํฐบาลสุรยุทธ์เป็นนายก สิริโชค โสภาบอกเองว่าเอากลับไม่ได้ พอตัวเองเป็นรัฐบาล เล่นข่าวว่าจะเอากลับมาเป็นของคนไทยซะงั้น

คนไทยรับไม่ได้กับพวกเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับเพิกเฉยต่อคำให้การของทีมนักดับเพลิงและทีมงานของห้าง Central world ที่ออกมาบอกว่าพวกคนในเครืองแบบกันไม่ให้เข้าไปดับเพลิง

คนไทยรับไม่ได้กับพสิษฐ์ที่ออกมาปล่อยคลิปทนาย ปชป เข้าพบศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับรับได้ที่ทนายปชปมีการนัดพบคุยกันกับศาล รธน ก่อนตัดสินยุบพรรค ปชป ที่สำคัญคนไทยรับได้ถ้าจะเปิดพจนานุกรมเพื่อสนองเจตนารมณ์ของกฎหมายในการเอา ผิดสมัคร แต่รับไม่ได้ถ้าจะอ้างเจตนารมณ์ของกฎหมายในการยุบ ปชป

คนไทยรับไม่ได้ที่ corruption ของแม้วสูงมาก แต่คนไทยกลับรับได้ว่าช่วงยุคมาร์ค corruption index สูงกว่าช่วงแม้วเป็นนายก แถมบางเรื่องของกองทัพมันชัดเจน แต่คนไทยก็ยังรับได้ เช่น CTX คนไทยบอกว่าทักษิณโกงต้องลงโทษ แต่ GT200, รถถังหุ้มเกราะ รถดับเพลิง กทม ไม่เป็นไร โกงแบบนี้รับได้

คนไทยรับไม่ได้ที่จะใช้กฎหมายย้อนหลังเอาผิด ปชป ในกรณี ปรส หรือสปก 4-01 แต่คนไทยรับได้ที่จะออกกฎหมายย้อนหลังเอาผิดแม้ว

คนไทยรับไม่ได้ที่คนไทยจำนวนมากจะเลือกเพื่อไทยมานิรโทษกรรมแม้ว แต่คนไทยรับได้ถ้าทหารจะปฏิวิติเข้ามาแล้วนิรโทษกรรมตัวเอง

คนไทยรับไม่ได้ที่ต้องใช้น้ำมันแพงในยุคแม้วซึ่งขณะนั้นราคาน้ำมันดิบโลก 140 USD/Barrel แต่คนไทยรับได้ที่จะใช้น้ำมันราคาเดียวกันในยุคมาร์คในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ โลกอยู่ที 100 USD/Barrel รับได้ที่มาร์คโกหกว่าจะยกเลิกกองทุนน้ำมันใน 90 วัน

คนไทยรับไม่ได้กับประชานิยมแม้ว แต่กลับรับได้กับประชานิยมมาร์คซึ่งทำเยอะกว่าแม้วอีก เข้ามาเป็นรัฐบาลก็แจกเงินก่อนเลยสองพันที่สำคัญคือแจกคนมีอันจะกินที่มีใน รายชื่อประกันสังคม ทั้งยังช่วยแก้หนี้บัตร credit ก่อนยุบสภาให้คนมีอันจะกินอีกทำ KTB, KTC หุ้นร่วงเลย

ผมอยากจะบอกแค่ว่ามันไม่มีใครดีใครเลวไปซะทั้งหมด คนไทยอยากได้ใครก็เลือกเอา แต่การที่กรณ์หาเสียงโดยการ discredit คนอื่นโดยที่ไม่พยายามชูนโยบายที่ซื้อใจคน ผมว่าไม่แมนเท่าไหร่ครับ

กับตำแหน่งขุนคลังโลก ผมยังเฉยๆครับ ถ้าตราบใดยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจในบ้านตัวเองไม่ได้ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีในประเทศ ภาคเอกชนเค้าก็ดิ้นรนกันเองล้วนๆ ไม่เห็นนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลชุดนี้ในการเปิดตลาดใหม่ๆให้กับภาคเอกชนเลย

ข้อความจากคุณเชิงชาย รัตนพลแสนย์


นักเลงเขาไม่ทำกัน!

“พอเธอ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ตัดสินใจมาเล่นการเมืองแบบ นี้ มันมีความเสี่ยงติดหลังอยู่เยอะ และเป็นปัญหาใน อนาคตได้ เมื่อตัดสินใจแล้วต้องพร้อมรับผิดชอบ ในซีกของผู้มีอำนาจ คุณมีเวลาที่จะดำเนินคดีตั้งเป็นปี คุณก็ไม่ทำอะไร ถ้าคุณขืนมาทำตอนนี้ ผมขอเตือน คุณอย่าทำ มันจะเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง มันอธิบายไม่ได้ มันเฉยมาเป็นปี พอลงสมัครแล้วก็มากล่าวโทษเขาอะไรต่ออะไรพวกนี้ มาใช้อำนาจ อย่างนี้มันไม่ได้ พูดตรงๆ นักเลงเขาไม่ทำกัน”

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2554 โดยให้ความเห็นเรื่องคุณสมบัติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งยังเน้นคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่จะนำเรื่องนี้มาเล่นงานกันทางการเมือง

กกต. ฟันธง “ยิ่งลักษณ์” ไม่ผิด

ขณะที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันว่า คดียึดทรัพย์ไม่กระทบคุณสมบัติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเรื่องยึดทรัพย์ไม่ใช่คดีอาญา แต่ถ้าถูกจำคุกมีผลแน่ ส่วนการให้การเท็จแล้วมีการดำเนินการเป็นคดีอาญาขึ้นมา ถ้าศาลพิพากษาให้จำคุกก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวถึงคุณสมบัติของตนว่า ทำตามกฎกติกาทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย “ก็อยากขอโอกาสดิฉันกับทีมพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาแก้ปัญหาให้พี่น้อง ซึ่งเป็นปัญหาปากท้องที่เราอยากจะเห็น รวมถึงการสร้างรายได้ให้พี่น้องในระยะยาว”

ยอมรับเป็น “ขาประจำ”?

แต่เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน นายแก้วสรร อติโพธิ และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน (กลุ่มคนเสื้อหลากสี) กลับออกมาเคลื่อนไหวในนามของ “เครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ (คนท.)” ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ขอให้ติดตามการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการกำกับหลัก ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งจะเข้าร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้สอบสวนคุณสมบัติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าแจ้งเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้การเท็จต่อ คตส. และเบิกความเท็จต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายแก้วสรรอ้างถึงเหตุผลที่ออกมาเคลื่อน ไหวในขณะนี้ว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่ผู้สมัครถูกพาดพิงในช่วงการเลือกตั้งถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสี ไม่ใช่การรังแก น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยอ้างว่าที่ก่อนหน้านี้ไม่ยื่นเรื่องเพราะยังไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอใครเป็น นายกรัฐมนตรี ทั้งยังมองไปถึงจุดการเลือกตั้งว่าเป็นขั้นหนึ่งของประชามติที่จะกลายมาเป็น กฎหมู่ของตระกูลชินวัตร หากได้เสียงข้างมากก็จะผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสู่สภา เมื่อ มีความชัดเจนว่าเดินหน้าแผนหนึ่ง เราก็กล่าวโทษทันที เพื่อสกัดไม่ให้ใครมาออกกฎหมายนิรโทษกรรม เรื่องแบบนี้ไม่ต้องรอให้เลือกตั้งเสร็จ

นายแก้วสรรยอมรับว่าเป็น “ขาประจำ” ที่จะต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณประกาศ มาตลอดว่าจะพาตัวเองกลับบ้านภายใน 6 เดือน แต่หากจะนิรโทษกรรมให้คนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์นั้น สามารถทำได้ เพื่อให้บ้านเมืองสงบและมีความปรองดอง

เช่นเดียวกับ นพ.ตุลย์ที่ยอมรับว่าเป็น “ขาประจำ” เพราะถือว่ากำลังล้างส้วมให้สะอาด จึงต้องมีคนลงมือทำ หากกลัวว่าจะโดนด่าแล้วไม่ทำก็ต้องเข้าห้องน้ำที่สกปรกต่อไป จึงยินดีจะทำ ใครจะด่าก็ด่าไป

“สนธิ” ชี้ผลงาน ปชป.

อย่างไรก็ตาม คำพูดของนายแก้วสรรกลับเป็นการประจานตัวเองว่าสับปลับ ปลิ้นปล้อน หรือ “เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า” เพราะวันที่ 20 พฤษภาคม พูดอย่างหนึ่งว่านักเลงเขาไม่ทำกัน แต่วันที่ 7 มิถุนายนกลับพูดอีกอย่างหนึ่งว่าต้องทำเพื่อบ้านเมือง จนมีการตั้งคำถามว่ามีเบื้องหลังหรือทำเพื่อฝ่ายใดพรรคใดหรือไม่

ขนาดที่ว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ยังกล่าวว่า ไม่แปลกใจที่นายแก้วสรร นพ.ตุลย์ รวมถึงนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยอ้างเรื่องการนิรโทษกรรม เพราะล้วนเป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์

แต่นายแก้วสรรตอบโต้ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลโดยสิ้นเชิง ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ทำในฐานะประชาชนของแผ่นดิน ในฐานะที่ทำคดีมากับมือจึงรู้ว่าจริงหรือเท็จ มีความจริงมากมายที่พูดไม่ได้ “บอกได้เพียงว่าหากเขากลับมาฉิบหายแน่” ทั้งย้อนถาม นายสนธิว่าเหตุใดจึงผูกขาดว่าต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นจึงจะไม่เห็น ด้วยกับพรรคเพื่อไทย ส่วนที่ออกมาเคลื่อนไหวเพราะไม่เชื่อว่าพรรค ประชาธิปัตย์สามารถทำได้ หากพรรคประชาธิปัตย์กล้าทำจริงเรื่องคงไม่บานปลายมาถึงวันนี้

ปชป. ไล่บี้ “สนธิ”?

ด้านนายอภิสิทธิ์ออกมาปฏิเสธคำกล่าวหาของนายสนธิว่า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อน ไหวของนายแก้วสรรและ นพ.ตุลย์ พร้อมถามกลับนายสนธิว่า “คิดแบบนี้เดี๋ยวคนก็ถามคุณสนธิบ้างว่ากลับไปอยู่กับคุณทักษิณแล้วหรือเปล่า ถึงพยายามให้คนที่ไม่เอาคุณทักษิณแล้วโหวตโน ถ้าเกิดถามก็วุ่นวายไปกันใหญ่ อย่าจินตนาการมากไปเลยครับ”

แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กลับสนับสนุนนายแก้วสรรและ นพ.ตุลย์ว่าเป็นสิทธิของประชาชน ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้นายสนธิชี้แจงประชาชนด้วยว่าอยู่ดีๆทำไมจึงกลับลำ ไปสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเมื่อก่อนชวนคนมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณ แต่วันนี้มาพูดเข้าข้าง น.ส.ยิ่งลักษณ์เพราะมีอะไรหรือไม่ คนที่เดินตามหลังนายสนธิก็ต้องสงสัย แต่ตนไม่สงสัยอะไรและไม่อยากยุ่งกับนายสนธิ

การเรียงหน้าออกมาตอบโต้นายสนธิของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพไม่ใช่เรื่อง แปลก แต่จะทำให้คนทั่วไปเชื่อหรือไม่ว่าการออกมาเคลื่อนไหวของ นายแก้วสรรและ นพ.ตุลย์ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ยอมรับว่ารู้จักทั้ง 2 คนดี

ขณะที่โพลต่างๆก็ระบุว่ากระแสของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ยังนำหน้านายอภิสิทธิ์ และกระแสตอบ รับยังแรงไม่ตก ไม่ว่าจะเป็นด้านนโยบายของพรรค หรือภาพลักษณ์ที่หาเสียงกับประชาชน ส่วนนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวช่อง 3 ได้นำภาพที่ตีพิมพ์ในสื่อแต่ละฉบับมาเปรียบเทียบกันและสรุปความเห็นว่าภาพ ลักษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดูดีหรือดีกว่านายอภิสิทธิ์ แม้นายอภิสิทธิ์จะลงทุนดำนา แต่ภาพลูกชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ป้อนอาหารให้แม่ก็ให้ความรู้สึกประทับใจมากกว่า

สื่อนอกชี้บทบาทกองทัพ?

ขณะที่มุมมองและการวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศอย่างสำนักข่าวบีบีซีก็ ตั้งคำถามว่าทหารจะยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ พร้อมสรุปว่าอาจคาดเดายากว่าทหารคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆผลงานที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเดิมพันของกองทัพขึ้นอยู่กับ อะไร ซึ่งตั้งแต่การรัฐประหารกองทัพได้งบประมาณเพิ่มขึ้น 50% นอกจากนี้ยังนำกฎหมายความมั่นคงภายในกลับมาใช้อย่างสม่ำเสมอ กองทัพจึงได้กลับมาอยู่ในศูนย์กลางอำนาจการเมืองไทยอีกครั้ง และคงจะไม่ออกไปในระยะเวลาอันใกล้

ด้านนิตยสารอีโคโนมิสต์ลงบทความวิเคราะห์ว่า การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมถือเป็น “ศึกสุดท้ายของทักษิณ” โดยระบุว่ากองทัพย่อมไม่สบายใจแน่ หาก พ.ต.ท.ทักษิณชนะการเลือกตั้ง เพราะแกนนำเสื้อแดงหลายคนต้องการให้เอาผิดกับบุคคลที่สั่งและดำเนินการปราบ ปรามคนเสื้อแดง ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณแม้จะอยู่ในต่างประเทศอย่างสุขสบาย แต่ก็ต้องการกลับประเทศมากที่สุด

ส่วนสำนักข่าวรอยเตอร์ทำรายงานพิเศษในพื้นที่อีสาน ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของทั้งประเทศ ปรากฏว่ากว่า 300 หมู่บ้านติดธงแดงที่ “นิยมทักษิณ” ซึ่งวันนี้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคเพื่อไทย และส่วนใหญ่เป็นคนรายได้ต่ำ การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมจึงถือว่าเป็นการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเพื่อให้ได้ความยุติธรรมและ ประชาธิปไตย อย่างกลุ่มเสื้อแดงมหาสารคามจะปล่อยโคมแดงจากทุกหมู่บ้านในวันที่ 2 กรกฎาคม เพื่อประกาศให้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ปิศาจแดงจะออกอาละวาด พร้อมใจกันออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. อย่างพร้อมเพรียง

ขณะที่นายอันโนนิโอ แอล รัปปา หัวหน้าฝ่ายศึกษาด้านความมั่นคงและการจัดการแห่ง UniSim Business School ของสิงคโปร์ วิเคราะห์การเลือกตั้งครั้งนี้ว่าอาจจะเกิดการเปลี่ยน “ดุลอำนาจ” และโครงสร้างทางการเมืองใหม่ เพราะไม่ว่าพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ชนะก็จะมีผลต่อปัจจัยหลายด้าน เช่น การประท้วง เศรษฐกิจ และช่องว่างระหว่างกลุ่มคนร่ำรวยและยากจน ซึ่งอาจจบลงด้วยการประท้วงบนท้องถนนและความรุนแรงในอนาคต ขณะที่กองทัพก็ยังจับตามองอย่างใกล้ชิด

วาทกรรมถนัดของ ปชป.

ดังนั้น ยิ่งการหาเสียงเข้าใกล้โค้งสุดท้าย พรรคประชาธิปัตย์ก็ยิ่งต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้คะแนนนิยมกลับมา หรือทำลายความนิยมหรือความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีอยู่จุดเดียวในขณะนี้คือการทำลายความน่าเชื่อถือของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยพุ่งไปที่การนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ แม้จะเป็นการสร้างข่าวขึ้นมาเองก็ตาม เพราะการขุดคุ้ยเรื่องครอบครัวก็ล้มเหลวตั้งแต่ยกแรกแล้ว ทั้งยังทำให้คะแนน น.ส.ยิ่งลักษณ์พุ่งกระฉูดอีก ขณะเดียวกันกลับส่งผลกระทบถึงแกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคน โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย ที่เจอโพสต์ในโลกไซเบอร์จนกระหน่ำกรณีคุณแม่ของสุรบถ

ด้านนโยบายหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกวิจารณ์ว่าสู้พรรคเพื่อไทยไม่ ได้ ไม่มีอะไรใหม่และไม่โดนใจเท่าพรรคเพื่อไทย การโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยดึง พ.ต.ท.ทักษิณให้อยู่ในเกมจึงเป็นยุทธวิธีที่ได้ผลมากที่สุด รวมถึงการตอกย้ำกล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นพวกป่วนเมืองและเผาบ้านเผาเมือง

การออกมาเคลื่อนไหวของนายแก้วสรรและ นพ.ตุลย์จึงสอดรับอย่างดีกับกระแสของพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังลดลง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางและถูกปั่นหัวจนเกลียดทักษิณเข้ากระดูกดำจะออก มาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้นและไม่ “โหวตโน” ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ในกรุงเทพฯอย่างน้อย 25 คนขึ้นไป หรือชนะอย่างถล่มทลาย โอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคเพื่อไทยก็มีสูง แม้โพลต่างๆยังระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส. มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม แต่จะขาดลอยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่กรุงเทพฯด้วย

อย่างที่นายคณวัฒน์ วศินสังวร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย รองหัวหน้าพรรค เพื่อไทย เปิดเผยหลังผู้ช่วยทูตฝ่ายการเมืองสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐเข้าพบเพื่อหารือ ถึงสถานการณ์การเลือกตั้งและประเมินว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสชนะเลือกตั้งแบบ แลนด์สไลด์มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่พื้นที่กรุงเทพฯ หากได้ 15-22 ที่นั่ง โอกาสที่จะชนะแบบถล่มทลายก็มีมาก

กลับไปนุ่งกระโปรง

การออกมาเคลื่อนไหวของนายแก้วสรรในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมอาจเป็นจุดสำคัญทางการเมืองได้หากมีการขานรับจากกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐ เป็นลูกโซ่ อย่างกรณีตุลาการภิวัฒน์ ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ขณะที่นายแก้วสรรก็ยอมรับว่าต้องการดักทางไม่ให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ผลการเลือก ตั้งประชาชนจะเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ตาม โดยวันที่ 18 มิถุนายนจะล่ารายชื่อประชาชนเพื่อกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนจะยื่นให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษในวันที่ 21 มิถุนายน

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณโพสต์ข้อความทางวอยซ์ทีวีว่า ไม่แปลกใจที่นายแก้วสรร นพ.ตุลย์ และนายเจิมศักดิ์ ตั้ง คนท. โดยบอกว่า “เขาเรียก กันว่าขาประจำครับ พวกนี้ไม่ต้องการให้บ้านเมืองปรองดอง เพราะได้รับประโยชน์และมีความสำคัญจากการขัดแย้ง โดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม”

ดังนั้น พฤติกรรมและคำพูดของนายแก้วสรร จึงบ่งบอกตัวตนที่แท้จริงได้ดีว่าเป็นคนประเภทใด และมีแรงจูงใจหรือเบื้องหลังอย่างไร โดยเฉพาะฉวยโอกาส “กล่าวหาใส่ร้ายผู้หญิง” ซึ่งมีความกล้าเดินเข้าสู่การเมืองตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าควรจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยมาแก้ ปัญหาบ้านเมืองหรือไม่

ซึ่ง ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประณามพวกจ้องทำลาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยยกคำของพระพยอม กัลยาโณ มาเปรียบเทียบว่าเป็นพวก “สมองหมา ปัญญาควาย” สมองหมาคือพวกคนบ้า ไม่มีเหตุผล ปัญญาควายคือพวกคนโง่ เมื่อมีทั้งสมองหมาปัญญาควายรวมกันยิ่งน่ากลัวต่อประเทศไทย

นายแก้วสรรน่าจะตอบตัวเองได้ดีที่สุดว่าวันนี้ยังมีศักดิ์ศรีและจริยธรรมความเป็นนักวิชาการ (ไม่ขายวิญญาณ) อีกหรือไม่?

ไม่รู้ว่านายแก้วสรรเป็นใครกันแน่?

ระหว่าง “สุภาพบุรุษใจนักเลง” กับ “แก้วหน้าม้าใส่ผ้าถุง”

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 314 วันที่ 11-17 มิถุนายน 2554 พ.ศ. 2554 หน้า 18
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


ใบตองแห้งออนไลน์: มันส์พะยะค่ะ! (มันส์โคตรโคตร)

มันส์พะยะค่ะ มันส์หยดติ๋ง มันส์โคตรโคตร มันส์ chip หาย… ผมอุทานเป็นภาษาวัยรุ่นหลากยุค เมื่อเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาสัมภาษณ์พิเศษกับช่อง 5 ช่อง 7 อย่างที่ไทยโพสต์เอาไปพาดหัวตรงเป้าว่า “เลือกเพื่อสถาบัน ผบ.ทบ.ปลุกล้มก๊วนคนชั่ว”

แม้ไก่อูจะพยายามแก้ต่างว่า ผบ.ทบ.ไม่ได้สนับสนุนพรรคไหน หรือต่อต้านพรรคไหน แต่ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบนะครับ ฟังแล้วไม่ได้ต่างกันเลยกับ กนก รัตน์วงศ์สกุล เขียนลงเฟซบุคว่า “อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย”

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์พูดอย่างที่แปลเนื้อหาได้ชัดเจนว่า “อย่าให้พวกล้มเจ้ายึดประเทศไทย” ซึ่งเมื่ออนุมานตาม “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ.ที่ทำให้ไก่อูกลายเป็นไก่เนื้อแดงดินประสิว ท่านจะหมายถึงใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่มวลชนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่ยืนตรงข้ามพวกท่านมาตลอดตั้งแต่ รัฐประหาร

แถมท่านยังออกมาพูดตอนที่พรรคเพื่อไทยนำลิ่วในโพลล์ จน ปชป.ดิ้นพล่าน และต้องมีขบวนการเตะตัดขาต่างๆ นานา

แถมท่านยังออกมาพูดวันเดียวกับที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าไปพบ แต่ไก่อูยังอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ไป

โธ่ๆๆๆ จะให้ชาวบ้านเชื่อใครระหว่างไก่อูกับนักข่าว ในเมื่อเดาะยกบทกวี “เพียงหวังจักเฟื่องฟุ้ง หรือจึงมุ่งมาศึกษา…” ไก่อูยังปล่อยกระต๊ากๆ เต็มกองทัพบก ว่าเป็นพระราชนิพนธ์ ร.6 ทั้งที่เป็นบทกวีของนเรศ นโรปกรณ์ เขียนไว้ก่อนปี 2500 ก่อนถูกจับเข้าคุกยุคเผด็จการสฤษดิ์ในข้อหาคอมมิวนิสต์

ให้ตาย อับอายขายขี้หน้าไปทั้งสถาบัน จปร.น่าจะเรียกตัวกลับไปติววิชาวรรณคดีไทยใหม่ ขืนปล่อยไประวังขวัญใจสาวเฟซบุคจะบอกว่า “สาวเอยจะบอกให้” เป็นงานเขียนของหลวงวิจิตรวาทการ

ขวัญใจจริตตก
สถานการณ์การเลือกตั้งมาถึงวันนี้ ต้องซูฮกยกนิ้วให้ยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ว่าซูดด…ยอดจริงๆ ครับ จากที่เสื้อแดงประณามรัฐบาล ปชป.ฆ่าประชาชน เป็นร่างทรงอำมาตย์ ครบรอบปีพฤษภาอำมหิต พรรคเพื่อไทยกลับพลิกไปหาเสียงด้วยการชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และชูคำขวัญ “ไม่คิดแก้แค้นแต่จะแก้ไข” พร้อมกับเปิดตัวยิ่งลักษณ์ ซึ่งพร้อมทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นร่างทรงพี่ชาย อีกด้านเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนนิ่มนวล ไม่ก้าวร้าวเหมือนทักษิณ แสดงท่าทีพร้อมจะ “ปรองดอง” เพื่อความสงบ

ตอนแรกผมก็หงุดหงิด บ่นว่าทำไมไม่พูดเรื่อง “โค่นอำมาตย์” คืนประชาธิปไตย คืนความเป็นธรรม แก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปศาล ปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ แต่อย่างว่า ผมไม่ใช่นักการเมือง พรรคเพื่อไทยมองออกว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการในวันนื้คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความสงบ

เรื่องแก้เศรษฐกิจ ที่จริงนโยบายพรรคเพื่อไทยก็ไม่โดดเด่นอะไร เพียงแต่ ปชป.อยู่มาสองปีกว่า โชว์ความไร้ประสิทธิภาพจนชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายแล้ว

พรรคเพื่อไทยแค่หาเสียงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทุกอย่างก็เข้าล็อก เป็นไปตามสัจธรรมที่พวกพันธมิตรรู้ซึ้ง จนทำป้ายประชดชีวิต “เลือกพรรคไหนก็แพ้ทักษิณ” (Vote No เสียดีกว่า แม้แต่ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ก็ยังรู้ว่าสู้ทักษิณไม่ได้ จึงต้อง Vote No)

พอโพลล์นำลิ่ว กระแสขึ้น ทุกอย่างก็มาเอง แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ฝ่ายตรงข้ามกลับเริ่มก่อน ตั้งแต่แก้วสรร-หมอตุลย์ ซึ่งพอโผล่มาในช่วงที่เพื่อไทยติดลมบนซะแล้ว ในสายตาสาธารณะ ก็กลับถูกมองว่า “ตามรังควาน” “เล่นไม่เลิก” และกลับไปทำให้ยิ่งลักษณ์ได้คะแนนสงสารเห็นใจมากขึ้น

ปชป.ก็ดิ้นพล่าน โดยเฉพาะเมื่อเจอยุทธการอันกล้าหาญชาญชัยของมวลชนเสื้อแดง ไปชูป้าย 91 ศพ และ “ของแพง” “ดีแต่พูด” อยู่กลางมวลชนประชาธิปัตย์ ทำเอาขวัญใจจริตนิยมจิตตก ปรี๊ดแตก เหลือเชื่อว่านายกฯ ผู้ดีอังกฤษศิษย์ออกซ์ฟอร์ด ไปยืนโต้วาทีเอาชนะคะคานชาวบ้านอยู่กลางตลาด

“พี่ผู้ชายที่มายกป้ายดีแต่พูด ผมเข้าใจว่าคงไม่มีลูกจึงไม่ได้เรียนฟรี มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายหรือเปล่า เพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุครบถ้วนทุกคนแล้ว”

โห แปะ แปะ แปะ ขอปรบมือให้ ท่านนายกฯ รูปหล่อ ชนะการดีเบทขาดลอย สง่างามเหลือเกิน

เท่านั้นไม่พอ ไม่รู้ว่ามีปมอะไรในใจนักหนา แทนที่จะเก๊กหน้าหล่อไปเดินหาเสียงกับแม่ยก กลับเอาเวลาไปเขียนความในใจลงเฟซบุค เขียนออกมา 3 ภาค เป็นเรื่องทั้ง 3 ภาค โดยเฉพาะภาค 2 ที่ทำให้ชุมพล ศิลปอาชา ออกมาสวนว่า ถ้าไม่โดนบีบโดย “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ก็คงไม่ร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์

ถึงแม้ชุมพลออกมาขอโทษและกลบเกลื่อน แต่ใครจะเชื่อ ในเมื่อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

จำได้ไหมครับก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์ก็บอกว่าทำตามที่บรรหารต้องการทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ไม่ได้พาลูกเมียไปเที่ยวบึงฉวาก ตกลงจะพูดจาหามิตรหรือจะโต้วาทีเอามันปาก โง่หรือแกล้งฉลาด ไม่เข้าใจ

เอ้า พอเลขา กลต.ออกมาแถลงกรณียิ่งลักษณ์ ทั้งกรณ์ ทั้งมาร์คก็เต้น เรื่องถูกผิดโต้กันได้ แต่ทำไมต้องไปกล่าวหาเขาว่าทำตามโพล ทำงานให้เข้าตาใครบางคน หรือเตือนว่าข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลาง ทั้งที่ตลอด 2 ปีกว่า เลขา กลต.ก็ทำงานกับ รมว.คลังมาด้วยดี

ทำใจให้กว้างกว่าอวัยวะมดบ้างสิครับ ทำอย่างนี้มันแสดงว่าพวกคุณหมกมุ่นกับเรื่องเอาผิดยิ่งลักษณ์ มัวแต่ลุ้นแก้วสรร-หมอตุลย์ มากกว่าจะสู้กันในสนามเลือกตั้งอย่างแฟร์ๆ

ท้ายที่สุด พอเห็นว่าหมดทางสู้ วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ก็กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ปลุกเรื่อง “เผาบ้านเผาเมือง” ปลุกเรื่องนิรโทษกรรมทักษิณ แบบนี้จะเหลืออะไร้ ยิ่งเข้าทางเข้าไปใหญ่ เพราะมันแปลว่าพวกคุณนั่นแหละไม่ยอมให้สังคมสงบ

แต่เชื่อได้เลยว่า 2 สัปดาห์โค้งสุดท้าย สงครามข่าวสารจะเข้มข้น วันก่อนกรุงเทพธุรกิจก็พาดหัวถล่มนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย พวกขาประจำที่แอบแฝงอยู่ในคราบสื่อ นักวิชาการ หรือผู้มีชื่อเสียงทางสังคม จะทยอยกลับออกมาแสดงบทบาท เช่น คืนก่อน บรรเจิด สิงคะเนติ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์รายการเจิมศักดิ์ แบบคุยกันเองเออออกันเองแล้วก็หันไปต้าน Vote No

ถ้าเพื่อไทยชนะ ประยุทธ์ต้องลาออก
หันกลับไปที่กองทัพ พรรคเพื่อไทยพลิกกลยุทธ์ ยิ่งลักษณ์ขอเข้าพบ ผบ.ทบ.แน่นอน ทบ.ปฏิเสธอย่างมีเหตุผล เพราะจะยอมให้พรรคใดพรรคหนึ่งเข้าพบก็น่าเกลียด

ยกเว้นสุเทพเข้าพบ ซึ่งข่าวทุกสำนักยืนยันว่าจริง เพียงแต่อาจจะผิดไปหน่อยเรื่องเวลา คือสุเทพไปพบหลังจาก ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์พิเศษแล้ว (นี่แก้ต่างให้นะครับ) แต่ข่าวก็บอกว่า สุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์พบกันอยู่บ่อยๆ

แม้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เข้าพบ แต่อย่าลืมว่าภาพที่ออกไปทางสาธารณชนคือ “นารีขี่ม้าขาว” ยื่นมือเสนอไมตรี ทบ.ไม่รับก็ไม่เป็นไร แต่กลับตามมาด้วยการแจ้งจับผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าข่มขู่ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ ฉก.315

เรื่องนี้เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.นะครับ แต่ไหง ทบ.เพิ่งขุดขึ้นมาก็ไม่ทราบ

เรื่องที่ไก่อูเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่ผมไม่เชื่อ แต่ขำ คือถ้าเป็นเราชาวบ้านตาดำๆ มีลูกน้องนักการเมืองมาเลิกชายเสื้อให้ดูปืน เขาเรียกว่าข่มขู่ เป็นใครก็กลัวหัวหด แต่นี่เป็นทหารอาวุธครบมือกับรถฮัมวี่ ฉะนั้นไอ้การที่ลูกน้องนักการเมืองเลิกชายเสื้อให้ดูปืน มันไม่ใช่ข่มขู่ ภาษานักเลงเขาเรียกว่า “กรูไม่กลัวเมริง”

นักเลงแถวบ้านผมยังบอกว่าน่านับถือหัวจิตหัวใจมัน เจ๋งจริงๆ มีแค่ปืนสั้น ยังบังอาจไป “ข่มขู่ขัดขวางการปฏิบัติงาน” ของทหารทั้งหมู่

แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ฉก.ปราบยาเสพย์ติดประสาอะไร ขี่รถฮัมวี่ตระเวนไปในหมู่บ้านชานเมืองให้ผู้คนแตกตื่น ยาเสพย์ติดมันวางแผงขายอยู่ข้างถนนหรือครับ ถึงคิดจะทะเล่อทะล่าเข้าไปจับง่ายๆ

ตอนนั้น ผบ.ทบ.ก็ทำท่าแข็งกร้าว ยอมไม่ได้ ถ้าใครขวาง จะส่งกำลังเพิ่มเป็นชุดละ 50-100 นาย ดูซิว่าจะมีใครมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า ใครขัดขวางอาจจะมีส่วนร่วมกับพ่อค้ายาเสพย์ติด

เออ แปลกดีนะครับ ยกทหารเข้าไปตั้งเป็นร้อย ยังกะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องแจ้งให้ กกต.ทราบด้วย ทหารมีอำนาจทำได้ถึงขนาดนี้ ก็น่าจะทำเสียทุกหมู่บ้านในประเทศไทย รวมทั้งหมู่บ้านเสื้อแดงด้วย ผมเพียงแต่สงสัยว่าที่ท่านบอกว่าทำมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา เคยจับคนค้ายาเสพย์ติดได้มั่งหรือเปล่า เพราะถ้าเข้าไปทำให้ชาวบ้านแตกตื่นอย่างนี้ คนขายยาก็หนีหมด เผลอๆ จะจับได้แต่คนขายยาใส่เสื้อแดง

“ผมให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผมสงบปากสงบคำไปเยอะ พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในการเลือกตั้ง อยากจะโฆษณาอะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าท่านมาพาดพิงทหาร และมารังแกทหาร ผมรับไม่ได้”

สงบปากสงบคำที่ไหนกัน เพราะไม่กี่วันถัดมาก็ออกอากาศทั่วประเทศ อ้างว่ามีกลุ่มบุคคลไม่หวังดี ทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน สถานการณ์ภายนอกกดดันกองทัพ กองทัพถูกรังแก ฯลฯ ขอความเป็นธรรมให้กองทัพ

ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ท่านพูดเหมือนกับกองทัพอยู่เฉยๆ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยไปยุ่งกับใคร ก็ไอ้ความปั่นป่วนวุ่นวายวิกฤตทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเกิดเพราะกองทัพทำตัวเป็นโจรปล้นประชาธิปไตยเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ใช่หรือ จนบัดนี้ยังไม่เคยมีผู้นำเหล่าทัพรายไหนขอโทษประชาชน ขอขมาว่าทำผิดไปแล้ว จะไม่ทำอีก จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เห็นแต่ลอยหน้าลอยตายืนกรานว่าตัวเองทำถูกทุกอย่าง ทำเพื่อปกป้องชาติราชบัลลังก์ แล้วก็บานปลายมาจนต้องเดินตามแผนบันได 4 ขั้นตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร กระทั่งปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต

ผมยังมองคนในแง่ดี ผมคิดว่าท่านเสียใจจริง ท่านไม่อยากให้มีคนตาย แต่ท่านจะโทษใครล่ะ อย่าเอาแต่โทษคนอื่น กองทัพก่อกรรมแล้วก็ต้องรับ พวกคุณผิดมาตั้งแต่รัฐประหารแล้วก็ต้องรับผลพวงที่เกิดขึ้น เหมือนที่ในหลวงตรัสว่ากลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกมันก็ผิดหมด

ไก่อูอ้างว่าท่านไม่ได้พูดให้ประชาชนไม่เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แล้วที่ท่านเรียกร้องไม่ให้เลือกคนทำผิดกฎหมาย คนที่ใช้กริยาไม่เหมาะสม ท่านหมายถึงใครล่ะ นอกจากพรรคเพื่อไทยซึ่งมีแกนนำ นปช.สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อยู่สิบกว่าคน ซึ่งท่านพูดเป็นนัยอยู่แล้วก่อนหน้านี้ว่าให้มาสู้กันตามกระบวนการของกฎหมาย

ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน โดยพูดถึงคดีหมิ่นและข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ท่านพูดถึง อ.ใจ พูดถึงจักรภพ แม้ท่านไม่พูดถึงจตุพร พรหมพันธ์ คนฟังก็เข้าใจได้ จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์ พรรคเพื่อไทย ซึ่งท่านเองเป็นคนให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งจับ จนวันนี้ก็ยังถูกคุมขังไม่ได้ประกัน

ฉะนั้นที่ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน ก็ไม่มีทางตีความเป็นอื่นไปได้ นอกจากบอกให้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

แต่ทั้งหมดนี้ ผมขำอยู่อย่าง คือท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ถึงได้พูดออกทีวี แล้วคิดว่าจะมีคนดู แล้วคิดว่าจะมีคนฟังคนเชื่อท่าน ท่านเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาจากไหน (สมัยนี้ ต่อให้เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตคนเขาก็ยังไม่ฟังเลย) ท่านเป็นคนดีมีจิตใจสูงส่งมาจากไหน ก็แค่หัวหน้าส่วนราชการ ที่เลื่อนขั้นมาตามลำดับ ไม่ใช่สิ ข้ามลำดับด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหาร 49 ป่านนี้อย่างเก่งท่านก็เป็นแค่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เผลอๆ อาจเป็นแค่ที่ปรึกษากองทัพบกหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ใบเดียวไปทำงาน

ประชาชนเขามีความจำเป็นอะไรต้องฟังท่าน ต้องเชื่อท่าน ถ้าอย่างนั้น ประชาชนจำเป็นต้องฟังต้องเชื่อปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงไอซีที ปลัดกระทรวงเกษตร ฯลฯ ด้วยไหม (แล้วทำไมหัวหน้าส่วนราชการอื่นๆ ไม่มีสิทธิออกทีวีเรียกร้องให้ประชาชนเลือกคนดีบ้าง)

ไอ้ที่คนเขาฟังท่าน ก็เพียงเพราะเขาอยากรู้ท่าทีของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีปืน มีรถถัง มีกำลังพล (และมีรถฮัมวี) ที่มีศักยภาพพอจะแทรกแซงการเลือกตั้ง หรือพอจะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้

นั่นคือสิ่งที่ทูตานุทูตที่เสวนากันอยู่บ้านทูตนอรเวย์เขาฟัง นั่นคือสิ่งที่สำนักข่าวต่างประเทศเขาฟัง

ฉะนั้นคำพูดของท่านจึงไม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียง อาจส่งผลลบด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญคือส่งผลต่อความหวาดวิตกของประชาชนว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกเข้ามามากที่สุด ตามมติมหาชน กองทัพก็อาจเข้าไปแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลอีก และจะส่งผลให้บ้านเมืองไม่สงบ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ กองทัพก็จะเป็นหอกข้างแคร่ และทำให้ประเทศยิ่งวิกฤต อย่างที่บรรดานักลงทุนต่างชาติเขาวิตกกังวลกันอยู่

ท่านพูดแล้วจึงต้องรับผิดชอบนะครับ เพราะท่านพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เขาก็มีสิทธิที่จะเชิญท่านหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ไปนั่งประจำสำนักนายก รัฐมนตรี อย่างมีความชอบธรรมด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ท่านพูดเรื่องสถาบัน อ้างสถาบัน เข้ามาชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกไม่เลือก (ทั้งที่ กกต.ออกระเบียบห้ามพรรคการเมืองหาเสียง แต่ ผบ.ทบ.กลับเอาสถาบันมาหาเสียงหน้าตาเฉย) ถ้าสมมติว่าผลการเลือกตั้งออกมาวันที่ 3 ก.ค.แล้วพรรคเพื่อไทยยังชนะถล่มทลาย landslide ได้คะแนนเสียงใกล้เคียงครึ่ง ท่านจะแปลความหมายว่าอย่างไร แปลว่าคนครึ่งประเทศไม่เอาสถาบันอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย-ไม่ใช่ เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอย่างท่าน เรื่องสถาบันก็อยู่ส่วนสถาบัน นี่คนเขาเลือกพรรคการเมืองเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และคืนความสงบ คืนความยุติธรรมให้สังคม ท่านต่างหากที่เอาสถาบันมาขีดแบ่ง

ฉะนั้นถ้าคืนวันที่ 3 ก.ค.ผลออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะเกินครึ่ง ท่านควรจะเก็บกระเป๋าเขียนใบลาออกได้เลย แสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายชาติทหาร ทั้งรับผิดชอบต่อสถาบัน และเสียสละตัวเองเพื่อความสงบสุขของสังคม

หรือถ้าพรรคเพื่อไทยได้ใกล้เคียงครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาลได้ ท่านก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี

ไม่ต่างกับที่กนกต้องรับผิดชอบ คือคุณจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่กลับไปแสดงในเนชั่นทีวี (หรือมหาวิทยาลัยโยนกทีวี-ฮิฮิ) ไม่ควรมาออกจอทีวีของรัฐอีก

เรื่องมาตรา 112 ผมไม่ทราบว่าท่านพูดเพื่ออะไร เพราะถ้าจะมีการแก้ไขกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องของกองทัพ ที่จะต้องมาเสนอความเห็น ถ้าบอกว่าเป็นหน่วยงานหนึ่ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือกรมส่งเสริมการส่งออก ก็ควรเสนอความเห็นได้ด้วยเช่นกัน เพราะสถาบันไม่ใช่ของกองทัพ สถาบันเป็นของทุกคน

อย่างไรก็ดี ต้องขอขอบคุณท่าน ผบ.ทบ.ที่ช่วยยกประเด็นโต้แย้งเรื่องควรจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ ให้กลายเป็นประเด็นระดับชาติ เพราะนี่เป็นครั้งแรกนะครับ ที่เรื่องมาตรา 112 ได้ออกทีวีช่อง 5 ช่อง 7 ไปทั่วประเทศ เราพูดกันมานาน แต่ก็ยังอยู่เฉพาะในแวดวงนักคิดนักเขียนนักวิชาการ อยู่แค่ในเว็บไซต์ แต่ท่านช่วย “จุดพลุ” ให้เป็นประเด็นดีเบทระดับชาติ ขอขอบพระคุณยิ่ง

เพียงแต่ท้วงติงอีกนิดเดียว ที่ท่านพูดถึง อ.ใจ และจักรภพ ทั้งสองคนเขายังไม่มีความผิดนะครับ ศาลยังไม่ได้ตัดสิน เขาแค่หลบหนีเพราะเกรงจะไม่ได้ประกันและเกรงจะมีภัยคุกคาม

สรุปแล้วผมเลยไม่ทราบว่าท่าน ผบ.ทบ.ออกมาพูดเพื่ออะไร หรือถูกใครกดดันให้ออกมาพูด แต่ท่านพูดแล้วไม่ได้เป็นผลดีทั้งต่อตัวเองและต่อสถานการณ์ บอกแล้วไงครับ พรรคเพื่อไทยเขาวางยุทธศาสตร์อย่างฉลาด แสดงท่าทีพร้อมจะปรองดอง แล้วปล่อยให้ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามออกมาเต้นเอง ออกมาเต้น เอ้า! ออกมาเต้น (เด็ดขาดลีลาไปเล้ย)

เอาแค่ที่ท่านประกาศว่าจะให้ กอ.รมน.ดูแลสื่อสองขั้วที่ยั่วยุ ก็โดนสนธิ ลิ้ม ไล่ไปลงนรกแล้ว (ขณะที่ทักษิณห้ามพรรคเพื่อไทยตอบโต้ อยู่เฉยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ)

เห็นเกมอย่างนี้แล้วผมถึงได้ร้องว่ามันส์พะยะค่ะ มันส์สุดสุด มันส์โคตรโคตร มัน chip หาย แล้วคอยดูต่อไปว่าจะดิ้นกันอย่างไรอีก

เชื่อได้เลยว่า เดี๋ยวจะต้องมีบุคคลระดับสูงกว่าประยุทธ์ ออกมาเรียกร้องให้เลือกคนดี เลือกเพื่อสถาบันอีก

อดรนทนไม่ได้กันนักก็เรียงหน้าออกมาเล้ย

ที่มา : ประชาไท
โดย : ใบตองแห้งออนไลน์