วาทกรรมตอแหลฉบับออนไลน์

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลัง ปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

ข้อความสรุปท้ายของบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 1 “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการใช้เฟซบุ๊คหรือสังคมออนไลน์ในทางการเมืองที่ได้ รับการตอบรับดีเกินคาด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการต่อสู้ทางการเมืองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

แต่บันทึกของนายอภิสิทธิ์ที่เขียน 3 ตอนนั้นไม่ใช่แค่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นความ จริงทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การจับขั้วทางการเมืองโดย “อำนาจพิเศษ” และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

พายเรือให้โจรนั่ง!

อย่างบันทึกตอนที่ 1 กล่าวถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และ “พายเรือให้โจรนั่ง” ว่าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมนายเนวินที่ตัดสินใจย้ายขั้วทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนั้นตนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านายเนวินตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ ประเทศเดินหน้าได้

ส่วนข้อกล่าวหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ไปปล้นอำนาจใคร แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา ทั้งไม่เคยติดต่อกับทหารคนใด และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้

ตุลาการ “วิบัติ”!

ในบันทึกตอนที่ 1 นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงช่วงก่อนการยุบพรรคพลังประชาชนว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย และได้ไปพบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

“คุณพสิษฐ์บอกผมว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและ ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายพสิษฐ์ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้นัดหมาย แต่ได้รับคำสั่งให้ไปพบนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยทราบก่อนเวลานัดไม่ถึง 1 ชั่วโมง และได้พูดเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนจริง โดยนายอภิสิทธิ์พูดว่า

“แม้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวก็ไม่ มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคง จับมือกันร่วมรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ในเฟซบุ๊ค หลังจากผมรับฟังจากท่านผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผมบอกว่าจะนำความกลับไปบอกผู้ใหญ่ให้ทราบถึงเป้าประสงค์ต่อไป”

นอกจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่ตรงกับนายพสิษฐ์แล้ว ยังทำให้เห็นชัดเจนว่ามี “ผู้ใหญ่” ที่ ไม่ได้เอ่ยนามเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆตามมาอีกหลาย พรรคหลังจากนั้น ซึ่งขณะนั้นคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” มีการพูดถึง อย่างมากมายเพื่อให้นำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมือง

แต่วันนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” กลับกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ พร้อมๆกับปฏิรูปการเมือง เพื่อหยุดปัญหา 2 มาตรฐานและการดึงสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

อำนาจพิเศษ!

ส่วนบันทึกของนายอภิสิทธิ์ตอนที่ 2 “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง” ก็ถูกนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบโต้ว่านายอภิสิทธิ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังแฉหมดเปลือกว่าหากการตั้งรัฐบาลไม่มี “พลังที่ไม่สามารถเลี่ยงได้” บีบบังคับก็จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ซึ่งนายอภิสิทธิ์อ้างในบันทึกว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100% เพราะต้องทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ “ผมต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มี และดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

คำพูดของนายชุมพลจึงไม่เพียงตอกหน้านาย อภิสิทธิ์ว่าโกหก ยังยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลมี “อำนาจพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับนายชุม พล เพราะอีกไม่นานคงทราบว่าการเขียนของตนคืออะไร ทั้งจะไม่หยุดเขียน เพราะต้องการบันทึกความจริงเอาไว้

ถูกยัดเยียดฆ่าประชาชน

อย่างไรก็ตาม บันทึกทั้ง 2 ตอนไม่ฮือฮาเท่าบันทึกตอนที่ 3 โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “ขอเสนอความจริง” เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยระบุชนวนเหตุการณ์ปี 2553 มาจากศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และกล่าวหาว่าศาลตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงใช้วาทกรรม “2 มาตรฐาน” ปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าพยายามประนีประนอม โดยยึดหลักกฎหมายและความถูกต้อง ยอมนั่งเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 2 วัน 6 ชั่วโมง และเสนอทางออกจะยุบสภาช่วงปลายปี เพื่อให้เศรษฐกิจมั่นคงและการเมืองเป็นไปตามกติกา เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น แต่ก็เกิดความรุนแรงเดือน “เมษา-พฤษภา” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าเพราะกองกำลังติดอาวุธ

นายอภิสิทธิ์ระบุอีกว่ามีการวางแผนเป็นขั้นตอนตั้งแต่เหตุการณ์เมษายน 2552 ที่เอามวลชนมาล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และไล่ล่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งมีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์เพื่อให้เข้าใจว่าตน “สั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอม รับวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างสันติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา

“หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภา ไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แกนนำคนเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”

วาทกรรมตอแหล!

ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ยังกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการฝึกอาวุธที่บริเวณแนวชายแดนบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง แต่จนถึงวันนี้ยังจับกุม “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ได้เลย นอกจากการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง รวมถึง “ผังล้มเจ้า” แม้จะกลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว แต่ยังใช้มาตรา 112 กล่าวหาและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อยชีวิต

จนมีคำถามว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนของฝ่ายใดกันแน่ เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ชอบซื้ออาวุธหรือไม่? ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ “ดีแต่พูด” สร้างภาพด้วยวาทกรรมปรองดองและประนีประนอม แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบทาง การเมืองใดๆกับ 91 ศพ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดสั่งสอนนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านว่า

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ก็มักจะอ้างแนวทางการปรองดอง แต่กลับโจมตีว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะทำคือการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศชัดเจนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ปัญหาเศรษกิจและปัญหาปาก ท้องของประชาชน

ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 170 เสียงจะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ เพราะมั่นใจว่าได้มากกว่า 170 เสียงแน่นอน แต่ถ้าแพ้ยับต้องยกบ้านยกเมืองให้กับคนเผาบ้านเผาเมืองไป กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับไม่สามารถจับคนเผา ผู้ก่อการร้าย คนชุดดำได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ใช้กำลังแทบจะทั้งกองทัพ

เรยาการเมือง?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น “ลากไส้อภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งฉายา “เรยาการเมือง” เพราะไม่จริงใจสร้างความปรองดอง เอาประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นส่วนเล็กของปัญหามาทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “แก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น”

โดยเฉพาะบันทึกตอนที่ 3 นายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความ 13 ประเด็นผ่านเฟซบุ๊คตอบโต้บทความของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ความรุนแรงปี 2552 ที่พัทยาว่านายอภิสิทธิ์จงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินที่เป็นชาย ฉกรรจ์ผมสั้นเกรียน ซึ่งมีทั้งปืน มีด และไม้เป็นอาวุธ ดักทำร้ายคนเสื้อแดงระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือจนบาดเจ็บหลายราย หรือกรณีชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่เสียชีวิตเพราะเป็นเหยื่อของการชุมนุมนั้น ผ่านมากว่า 2 ปี คดีคืบหน้าไปถึงไหน ได้คนทำความผิดหรือยัง และทำไมไม่พูดถึงคนเสื้อแดง 2 คนที่กลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยน้ำเจ้าพระยา

ภาพปิศาจ “ทักษิณ”

ส่วนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับการวาดภาพปิศาจใส่ฝ่ายตรง ข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยกับการต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวน มาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว 16.00-17.00 น. ซึ่งโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่บอกว่าไม่ใช่การขอคืน พื้นที่ แต่เป็นการปราบปรามประชาชน ทั้งมีข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต้องให้จบในคืนนั้น” ไม่มีตรงไหนเลยที่อธิบายว่านายอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

“การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี 2553 เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภา ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้น คำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชา เรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า นปช. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ และอยากเห็นว่าเป็นใคร หรือคนที่รัฐบาลจับนั้นเอาไปขังไว้ที่ไหน คนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิต ระบุได้ว่าคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และ มีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจน ทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหน และตายไปแล้วดวงวิญญาณยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏ”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า แกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ หากผิดจริงในคดีก่อการร้ายก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหมที่มีทหารอาวุธครบมือ แล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพ

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีก ผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูดสบตาประชาชนบ้างนะครับ”

มารยาร้อยเล่มเกวียน

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทวีตข้อความตอบโต้นายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คนชุดดำนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนก็เกินพอที่ทำให้นายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนความเสียหายหลังจากนั้นย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกัน

โดยเฉพาะการใช้วาทกรรมสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หรือ “คืนความสุขให้ คนกรุงเทพฯ” และ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ไม่สามารถลบล้างภาพความรุนแรงที่เกิดจากการล้อม ปราบประชาชนด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ได้

ข้อหา “ฆาตกรฆ่าประชาชน” ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นการยัดเยียดให้กับตนนั้นแตกต่างจากที่นาย อภิสิทธิ์และ ศอฉ. โยนความผิดทั้งหมดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งวันนี้ยังจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้ง 91 ศพนั้นมีตัวตนชัดเจน คนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน มีจำนวนมากที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หลายคนต้องพิการ และยังมีผู้บริสุทธิ์อีกหลายร้อยคนถูกจับคุมขังโดยไร้หลักนิติธรรม

บันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” จึงยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ตาสว่าง” และเป็นการประจานตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่เพียงอ้างข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” และ “บิดเบือนข้อเท็จจริง” เท่านั้น ยังเป็นการ “พูดเองเออเอง” เพราะขี้ขลาดและกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย

Facebook ของนายอภิสิทธิ์จึง เป็นแค่ Fakebook ไร้คุณค่า ด้วยวาทกรรมตอแหล “ดีแต่แก้ตัว” ฉบับออนไลน์เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


จากใจ ‘จตุพร’ ถึง ‘อภิสิทธิ์’

วันที่ 23 มิ.ย. 2554 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกถอนการประกันตัวอยู่ในเรือนจำ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยลายมือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ใจความว่า

ผมนายจตุพร ผู้ถูกคุมขังจากการกล่าวหาของเจ้าหน้าที่รัฐในความผิดฐานก่อการร้าย ได้มีโอกาสรับทราบบันทึกของนายอภิสิทธิ์เรื่อง “จากใจนายอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” รวม 5 ตอนที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ค ตลอดจนคำสัมภาษณ์ คำปราศรัยหาเสียงของนายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยกล่าวถึงเรื่องการสลายการชุมนุมของประชาชน “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ทั้งบริเวณสี่แยกคอกวัวและสี่แยกราชประสงค์ มีผู้เสียชีวิตจำนวน 91 ศพ บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน และในวันที่ 23 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะไปปราศรัยที่ราชประสงค์

“อภิสิทธิ์” ลืมความเป็นนายกฯ

พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ในช่วงระยะเวลานี้ นายอภิสิทธิ์คงลืมฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีและความเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนการ ยุบสภา เพราะความเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ในเวลานี้ นายอภิสิทธิ์คงคิดแต่เพียงอย่างเดียวว่าทำอย่างไร “พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง” เท่านั้น

แต่หากนายอภิสิทธิ์ไม่ลืมฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์คงไม่พูดในลักษณะยัดเยียดข้อหาเผาบ้านเผาเมือง หรือข้อหาก่อการร้ายให้กับใครหรือพรรคการเมืองใด เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารไม่ควรชี้นำกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล อีกทั้งรัฐธรรมนูญก็คุ้มครองว่า “ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อ บุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” นายอภิสิทธิ์คิดเช่นนี้คงไม่เผยแพร่เฟซบุ๊คกล่าวหาใคร และนายอภิสิทธิ์ต้องบอกกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้มาเปิดปราศรัยใหญ่ที่แยก ราชประสงค์

พูดอะไรไว้เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2551

แต่เพราะเหตุที่นายอภิสิทธิ์มุ่งชนะการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นหัวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่สนใจ ไม่นำพาต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และไม่สนใจต่อคำพูดของตนเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2551 ที่กล่าวหานายกรัฐมนตรีในอดีตท่านหนึ่งว่า

“ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ บัดนี้เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก พฤติกรรมอย่างนี้ไม่มีทางนำพามาซึ่งความสมานฉันท์ ความปรองดอง”

ทำไมไม่สำนึกถึงที่กล่าวหาคนอื่น

ถามว่าการที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนพูดปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์คงมิใช่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะหากสำนึกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้วก็จะต้องสำนึกถึงคำพูดของ ตนที่เคยกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่น โดยเฉพาะคำพูดของตนที่ว่า “บัดนี้เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก” และอยากจะถามว่าการที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนปราศรัยยัดเยียดข้อหาให้กับผู้สูญ เสีย แล้วนายอภิสิทธิ์โชคดีได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ถามว่านายอภิสิทธิ์จะนำพาความสมานฉันท์ ความปรองดองให้เกิดกับสังคมตามที่ตนเคยพูดไว้อย่างไร เมื่อนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจที่จะเลือกปราศรัยที่สี่แยก ราชประสงค์ ผมก็มีคำถามถึงนายอภิสิทธิ์ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี (ซึ่งนายอภิสิทธิ์คงลืมไปแล้วในเวลานี้) มิใช่ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดังนี้

ทหารยังกล้ารับอยู่บนรางรถไฟฟ้า

1.“ใครฆ่าประชาชน”

(1) ชายชุดดำที่นายอภิสิทธิ์กล่าวอ้างตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษนับแต่เกิดเหตุเป็นใคร ทำไมถึงจับกุมไม่ได้ และในเวลาที่อ้างชายชุดดำเป็นผู้ก่อการร้ายมีทหารจำนวนมาก แต่ทำไมไม่สามารถจับกุมชายชุดดำ ผู้ก่อการร้ายได้แม้แต่คนเดียว

(2) การฆาตกรรมหมู่ที่วัดปทุมวนารามจำนวน 6 ศพ “เขตอภัยทานของวัด” ทำไมทั้งคุณและนายสุเทพได้ตอบอภิปรายในสภาอันทรงเกียรติไม่ยอมรับว่าในวัน ที่ 19 พ.ค. 2553 หลังจากเวลา 18.30 น. แล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่บนรางรถไฟบีทีเอสอย่างแน่นอนและเด็ดขาด ข้างล่างก็ถอน ข้างบนก็ถอน ไปตั้งหลักอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม และยืนยันว่าการปะทะอยู่ที่มุมซ้าย ไม่ใช่ที่หน้าประตูวัด รายละเอียดปรากฏตามบันทึกรายงานการประชุมสภาหน้า 251-253 และนายสุเทพยังอ้างตอบอภิปรายว่า “สงสัยว่ายิงกันเอง” รายละเอียดปรากฏตามรายงานการประชุมสภาหน้า 257 ส่วนตัวคุณเองยังอ้างอีกว่าเป็นการยิงจากแนวราบ ไม่ใช่เป็นการยิงจากที่สูง คำพูดของคุณในฐานะนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่ตอบญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาอันทรงเกียรติแตกต่างกับคำพูดหรือ คำให้การของทหารกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี ได้แก่ 1.จ.ส.อ.สมยศ ร่มจำปา 2.ส.อ.เดชากร มาขุนทศ 3.ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง 4.ส.อ.สุนทร จันทร์งาม 5.ส.อ.ชัยวิชิต สิทธิวงษา 6.ส.อ.เกรียงศักดิ์ สีบุ 7.ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ แม้จะเป็นนายทหารชั้นประทวนก็ยังกล้ารับว่าในวันที่ 19 พ.ค. 2553 พวกตนปฏิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนาราม ขึ้นปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีสนามกีฬาไปยังสถานีสยาม โดยมี พ.ต.นิมิตร วีระพงศ์ เป็นหัวหน้าภารกิจป้องกันหน่วยทหาร ร.31 พัน 2 รอ. ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนาราม จึงถามว่าคำพูดของพวกคุณกับนายสุเทพที่ปฏิเสธว่าในวันที่ 19 พ.ค. 2553 ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารบนรางรถไฟฟ้านั้นจะให้เลือกเชื่อพวกคุณหรือทหารดัง กล่าวที่ให้การไว้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ใครต้องรับผิดชอบมีคำสั่งชัดเจน

(3) หลักฐานสำคัญที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมมา ได้แก่

3.1 การที่กองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. ที่นายอภิสิทธิ์ตั้งขึ้น โดยมีนายสุเทพเป็น ผอ.ศอฉ. ร่วมกับพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่ 44/2553 เรื่องให้กำลังพลปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของ ศอฉ. ตั้งแต่ 8 เม.ย. 2553 จนจบภารกิจ “หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ” เป็นหน่วยทหารที่ขึ้นตรงต่อกองทัพบก อย่างนี้แล้วพลเอกอนุพงษ์และพลเอกประยุทธ์คงจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น ส่วนนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในฐานะผู้กำกับควบคุมดูแล ศอฉ. ไม่ต้องพูดถึง หนีความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานที่ว่าปรากฏตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่ 44/2553 คุณจะยังปฏิเสธว่าคุณมิได้สั่งการให้ทหารมาใช้กำลังอีกหรือไม่

กระสุนบ่งชี้ใครยิง 6 ศพในวัด

3.2 หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่ฆาตกรได้นำมาฆาตกรรมหมู่ประชาชนจำนวน 6 ศพที่วัดปทุมฯคือกระสุนหัวเขียว ในร่างผู้ตายหลายศพมีเศษหัวกระสุนหัวเขียวฝังอยู่ในร่าง ซึ่ง พ.ต.นิมิตรได้ให้การไว้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษว่ากระสุนปืนของชุดปฏิบัติการ ที่ใช้เป็นขนาด 5.56 มม. โดยเป็นชนิด M855 โดยจะแตกต่างจากกระสุนปืนอย่างอื่นคือ ที่บริเวณหัวกระสุนจะเป็นสีเขียว สามารถมองเห็นได้ชัด และเบิกจ่ายให้กับชุดปฏิบัติการของ พ.ต.นิมิตรด้วย โดยเบิกกระสุนปืนดังกล่าวมาจากต้นสังกัดที่ลพบุรี นอกจากนี้ในรายงานการชันสูตรพลิกศพผลการตรวจวิถีกระสุนจำนวน 3 ศพ บ่งชัดว่าเป็นการยิงจากด้านบนลงด้านล่าง ไม่เป็นไปตามที่คุณพูดว่าเป็นการยิงในแนวราบ เช่นนี้คุณจะยังปฏิเสธว่าการตายของประชาชนที่วัดปทุมวนารามมิใช่การตายจาก ทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไปหรือไม่

ทำไมไม่ชันสูตรศพตามกฎหมาย

3.3 เหตุใดการตายทั้ง 91 ศพไม่ผ่านกระบวนการในการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 150 ว่า “ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้” แม้แต่การตายของพันเอกร่มเกล้าก็ไม่มีการชันสูตรพลิกศพ นับแต่มีเหตุตายเป็นเวลาปีเศษแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การกำกับ ควบคุม ดูแลของคุณและนายสุเทพก็โยนกันไปมา ไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลทำการไต่สวนตามกฎหมาย ถามว่าทำไมจึงไม่ให้ศาลไต่สวน พวกคุณกลัวอะไร ถ้าให้ผมตอบคุณคงกลัวว่าหากศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าการตายเกิดจากการกระทำของ เจ้าหน้าที่รัฐพวกคุณต้องรับผิดชอบใช่หรือไม่ ทุกวันนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงไม่กล้าทำอะไรกับพวก คุณหรอก ในทางกลับกันเมื่อพวกคุณไม่ให้มีการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนตามกฎหมาย ถามว่าแล้วคุณมีสิทธิอะไรมายัดเยียดข้อกล่าวหาว่าใครเป็นคนฆ่าใคร หลักฐานหามีไม่ คนที่เสียชีวิตก็ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ พวกคุณก็ยังยัดเยียดข้อหาให้เขาอีก มันอยู่ในหลักนิติธรรมหรือไม่

อย่าสรุปเองใครเผาเมือง

2.กรณีการวางเพลิง

การวางเพลิงโดยเผาเซ็นทรัลเวิลด์หรือตามจุดต่างๆของประเทศไทย ขณะนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาคดี แต่ทำไมคุณและนายสุเทพจึงมาพูดใส่ร้ายผู้ชุมนุมเป็นผู้เผา ทั้งๆที่คุณและนายสุเทพทราบบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดีว่าก่อนมีคำ พิพากษาคดีอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ การที่พวกคุณในฐานะเป็นผู้กุมอำนาจฝ่ายกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมและพวกผมเป็นผู้ ก่อให้เกิดการวางเพลิง ทั้งๆที่ยังไม่มีการพิพากษาคดี พวกคุณจึงกล่าวหาเองและสรุปเองทั้งสิ้น จึงมีคำถามดังนี้

ทำไมไม่รอการตัดสินของศาล

2.1 คุณในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าฝ่ายบริหาร ก้าวล่วงตุลาการหรือไม่ เพราะคดีเรื่องวางเพลิง คุณในฐานะหัวหน้ารัฐบาลใช้กลไกกล่าวหาผู้ชุมนุมและพวกผม ทำไมคุณไม่ปล่อยให้ศาลพิจารณาหรือพิพากษาคดีให้ถึงที่สุดเสียก่อน หากเป็นเช่นนี้ถามว่าคุณก้าวล่วงและละเมิดต่อการพิจารณาโดยการชี้นำกระบวน การยุติธรรมใช่หรือไม่

2.2 การเผาเซ็นทรัลเวิลด์มีชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายทหาร มีอาวุธครบมือ โดยมีระเบิดข่มขู่ใส่เจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บหลายคน เพื่อไล่ให้ออกจากศูนย์การค้า คนเหล่านั้นเป็นใคร กล้าจับหรือไม่ คุณต้องตอบคำถามนี้

ไม่มีการ์ดเสื้อแดงในห้างที่ถูกเผา

2.3 คุณต้องตอบคำถามของพันตำรวจโทชุมพล บุญประยูร เลขาธิการสมาคมอาสาบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย ที่กล่าวว่า “ตลอดเวลา 2 เดือนเต็มเราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมนุมมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารไม่กล้าแตะ ถามว่าทำไมคุณและนายสุเทพไม่สืบสวนจับกุมคนพวกนี้ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่าง แต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้”

ทำไมตำรวจต้องถอนออกจากห้าง

2.4 เวลา 16.30 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถืออาวุธครบมือได้เข้าไปในเซ็นทรัลเวิลด์แต่ต้องถอย ร่น เนื่องจากมีผู้บุกรุกที่แต่งกายคล้ายทหาร มีทั้งอาวุธและลูกระเบิด เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมความปลอดภัยของเซ็นทรัลเวิลด์รายงานให้ผู้บริหารทราบ แต่ทำไมกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเข้ามารักษาความสงบในศูนย์การค้าต้อง ถอนตัวออกไปจากศูนย์การค้า และถามว่าทำไมทหารที่สี่แยกราชประสงค์ที่มีอยู่จำนวนมากในเวลานั้นไม่เข้ามา รักษาความปลอดภัยในศูนย์การค้า

ภาพกล้องวงจรปิดหายไปไหนหมด

2.5 ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐ หรือคุณ หรือนายสุเทพ ที่มีหน้าที่ต้องสืบสวนสอบสวนหาความจริงจึงไม่ตรวจสอบหรือเรียกดูกล้องซีซี ทีวี. (CCTV) จากห้างเกสรพลาซ่าจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและโรงพยาบาลตำรวจมาตรวจสอบ บริเวณที่เกิดเหตุ เพราะกล้องทุกตัวสามารถมองเห็นเซ็นทรัลเวิลด์และถนนโดยรอบเซ็นทรัลเวิลด์ได้ ทำไมไม่ตรวจสอบ หรือกลัวว่าตรวจสอบแล้วจะกล่าวหาผู้ชุมนุมไม่ได้ การตรวจสอบนี้รวมถึงคำถามไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยว่ากล้องซีซีทีวี. (CCTV) ที่บันทึกเหตุการณ์ในอาคารของเซ็นทรัลเวิลด์เอาไปเก็บไว้ทำไม และเหตุใดจึงไม่รักษาสิทธิของตน กลัวอะไรจะเกิดขึ้น เพราะกล้องซีซีทีวี. (CCTV) จากฝั่งเกสรพลาซ่าสามารถจับภาพตอนอาคารทางเชื่อมของเซ็นทรัลเวิลด์ยุบถล่ม อย่างต่อเนื่อง และมีภาพนาทีอาคารถล่มเท่านั้นที่ปรากฏสู่สาธารณะ ถามว่าภาพก่อนหน้านั้นตั้งแต่เช้า สาย บ่าย และเย็นของวันนั้นเกิดอะไรขึ้นจึงไม่อาจปรากฏสู่สาธารณชน ทำไมความจริงในบางขณะเวลาจึงหายไป หรือมีอะไรอยู่ในภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นที่สามารถบ่งบอกชี้วัดได้ว่าใครเป็น ผู้เผาเซ็นทรัลเวิลด์ พวกคุณและนายสุเทพจึงไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐสอบสวน

ถ้าเสื้อแดงเผาคงตายเกลื่อนห้าง

2.6 จริงหรือที่คนเสื้อแดงถูกฆ่าตายเพราะไปเผาบ้านเผาเมือง คำถามที่คุณต้องตอบคือ ทำไมคุณไม่สอบสวนว่าใครไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ใครไม่ให้นักดับเพลิงเข้าไปดับไฟ เพราะถ้าเป็นคนเสื้อแดงเผาจริงคงต้องถูกปราบปราม และหากจับไม่ได้ก็คงเป็นศพเกลื่อนในศูนย์การค้าแล้ว แต่นี่ไม่สามารถจับผู้วางเพลิงที่แท้จริงได้ ส่วนที่ถูกดำเนินคดีอยู่ที่ศาลความจริงแล้วน่าจะเป็นแพะ ผมจึงถามคุณและนายสุเทพว่าจริงหรือไม่ที่มีการกล่าวว่า “ประเทศไทยของเราอย่าให้ใครมาเผา (แล้วห้ามเข้าไปดับ) อีก”

หวังสุดท้ายความจริงปรากฏ

ผมหวังว่าแม้ในช่วงเวลานี้เป็นความยากลำบากในชีวิตของผมที่ถูกเจ้า หน้าที่รัฐภายใต้การกำกับดูแลของพวกคุณมากล่าวหาผม แต่ผมก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้ผมจะต้องถูกจองจำ ชีวิตผม ครอบครัวของผม ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงของผมต้องมีความลำบากในชีวิตไปพร้อมกับผม แต่ผมหวังว่าในที่สุดแล้วความจริงและความยุติธรรมในสังคมก็หวังว่าจะเป็น ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งผมจะรอวันนั้นด้วยความอดทน แต่ระหว่างที่รอพวกคุณควรจะได้ตอบคำถามที่ผมถามคุณด้วย

ที่มา : โลกวันนี้ 24 มิถุนายน 2554


อภิสิทธิ์ – พรรคประชาธิปัตย์ กับเวทีปราศรัยที่ราชประสงค์

ส่วนที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าร้องไห้ทั้งคืน ในวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น ไม่ทราบว่าร้องไห้ด้วยเหตุผลอะไรแน่ แต่คุณอภิสิทธิ์ควรทราบด้วยว่ามีประชาชนอีกมากมายที่ร้องไห้ไปอีกนานกว่าคุณอภิสิทธิ์

สวัสดีทุกท่านครับ วุ่นเสีย 2-3 วัน ไม่ได้แวะเข้ามาเลย

ได้ติดตามข่าวการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่ราชประสงค์แล้ว และดูความเห็นของสำนักข่าวต่างประเทศบางแห่งก็พอเห็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่จุดพลิกผันของการหาเสียงแน่

ที่ไม่สามารถเป็นจุดพลิกผันได้ เพราะเนื้อหาที่นำเสนอทั้งหมดเป็นเรื่องที่เคยพูดกับประชาชนมาหมดแล้ว รวมทั้งประเด็นกล่าวหาในช่วงหาเสียงครั้งนี้

สิ่งที่เพิ่มเติมคือ การพยายามทำเรื่องนี้ให้สะเทือนใจด้วยการเล่าว่าคุณอภิสิทธิ์ร้องไห้ทั้งคืน ในวันที่ 10 เมษายน 2553 และการร้องไห้บนเวทีของนายสุเทพ

นอกจากนั้นก็มีการเสนอวาทกรรมที่ว่า มาช่วยกันถอนพิษทักษิณ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นประเด็นที่จุดขึ้น เพราะคนได้ทำความเข้าใจเชิงเหตุผลกันมามากแล้ว

จุดอ่อนที่สำคัญๆของการปราศรัยครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์  อันดับแรกคือ การเลือกสถานที่ที่ผิด เพราะในเชิงสัญลักษณ์เท่ากับต้องการท้าทาย  ตอกย้ำและยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง รวมทั้งทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนในชาติ

ส่วนการแก้ต่างให้กับตนเองและพวกที่เพิ่มเติมขึ้นมาเช่น “ที่ราชประสงค์ไม่มีคนตาย” คนมีวิจารณญาณทั้งหลายก็ย่อมรับไม่ได้ ในขณะที่ผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตย่อมโกรธมากขึ้น

การพูดแบบที่เคยพูดมาแล้วหลายครั้งว่า ประชาชนและทหารถูกคนชุดดำฆ่าตายทั้งนั้น ไม่มีใครเชื่อแน่ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงอีกมากมายที่หลายฝ่ายนำเสนอไปแล้ว

ส่วนที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าร้องไห้ทั้งคืน ในวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น ไม่ทราบว่าร้องไห้ด้วยเหตุผลอะไรแน่ แต่คุณอภิสิทธิ์ควรทราบด้วยว่ามีประชาชนอีกมากมายที่ร้องไห้ไปอีกนานกว่าคุณอภิสิทธิ์

และผมจำเป็นต้องย้ำว่า ถ้าวันนั้นรัฐบาลไม่สั่งให้ยึดพื้นที่คืนให้ได้ ไม่สั่งให้นำอาวุธร้ายแรงนานาชนิดรวมทั้งรถหุ้มเกราะเข้าไปในบริเวณที่ ชุมนุม และไม่ดันทุรังที่จะสลายการชุมนุมให้ได้ทั้งๆ ที่มืดแล้ว ก็คงไม่มีใครต้องร้องไห้

ต้นเหตุของความผิดพลาดของคุณอภิสิทธิ์ที่สำคัญ  อยู่ที่การตั้งโจทย์เริ่มต้นรับมือกับการชุมนุมเรียกร้องของประชาชนว่าคน เหล่านี้ถูกจ้างมา ถูกกะเกณฑ์มา เป็นพวกคิดร้ายทำลายชาติ เมื่อมีการเสียชีวิตแล้วก็พยายามสร้างภาพอย่างเป็นระบบว่า ประชาชนเป็นพวกก่อการร้ายและล้มเจ้า

คุณอภิสิทธิ์กับพวกได้ถลำเข้าไปสู่จุดที่ต้องแพ้กันไปข้าง หนึ่ง คือ ถ้าประชาชนไม่เป็นพวกก่อการร้ายและล้มเจ้า คุณอภิสิทธิ์กับพวกก็ต้องเป็นฆาตกร

เรื่องทั้งหมดแก้ยากมาก เพราะคู่กรณีฝ่ายหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ที่มีหน้าที่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรม  ยิ่งคุณอภิสิทธิ์แก้ต่างให้กับตนเองมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้การพิสูจน์ความจริง เป็นไปได้ยากเท่านั้น

น่าเสียดายที่คุณอภิสิทธิ์ไม่ฟังคำทักท้วงของใครๆ และยังคงไปปราศรัยที่ราชประสงค์  ด้วยเนื้อหาที่แย่กว่าที่ผ่านๆ มาเสียอีกด้วย จึงยิ่งทำให้การแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติแก้ยากยิ่งขึ้นไปอีก

น่าเสียดายที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติถูกทำให้แก้ ยากยิ่งขึ้นเพียงเพราะความต้องการให้เกิดการพลิกผันในการหาเสียงเลือกตั้ง ของคุณอภิสิทธิ์กับพรรคประชาธิปัตย์

ผมประเมินว่าความพยายามจะพลิกกระแสของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้จะล้มเหลว ในเวลาสั้นๆ คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร  เข้าใจว่าคุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ทำอะไร

และเมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าการปราศรัยที่ราชประสงค์ไม่ประสบความสำเร็จดังคาด  มิหนำซ้ำยังอาจเป็นผลลบในหมู่ผู้ที่ทำงานด้านปรองดองและผู้ที่การให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ถึงเวลานั้นผู้ที่จะรู้สึกเสียดายที่สุดก็คงจะเป็นคุณอภิสิทธิ์นั่นเอง

สำหรับวาทกรรม “แก้พิษทักษิณ” หรือ “ถอนพิษทักษิณ” ผมเชื่อว่าจุดไม่ติดแน่  ปัญหา ของประเทศที่ต้องสูญเสียประชาธิปไตยกันไป สูญเสียระบบยุติธรรมและสูญเสียการมีรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ มีเสถียรภาพไป ต้นเหตุสำคัญอันหนึ่งก็มาจากการจัดการกับ “ทักษิณ”  ทำลายทักษิณ ไม่ใช่หรือ?

การจัดการกับทักษิณ ได้ทำให้บ้านเมืองเสียหายไปมาก และฝ่ายที่จ้องทำลายทักษิณก็เสื่อมลงไปมาก ในขณะที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นที่ชัดเจนกว่าครั้งที่แล้วเสียอีกว่า เป็นการแข่งขันกันระหว่างฝ่ายจัดการกับทักษิณกับฝ่ายทักษิณ ซึ่งก็หมายความว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีอะไรปิดบังอำพราง และผลจากโพลทั้งหลายก็กำลังบอกว่าฝ่ายที่จ้องทำลายทักษิณกำลังจะแพ้อย่างหมดรูป การมาชูประเด็นถอนพิษทักษิณจึงไม่มีทางจุดขึ้น

ที่ปลุกให้คนแก้พิษทักษิณหรือถอนพิษทักษิณนั้น จึงมีเรื่องน่าคิดว่า ถ้ามุขนี้แป้กและฝ่ายทักษิณชนะถล่มทลาย พวกที่จ้องทำลายทักษิณจะสรุปกันยังไง

ที่มา : มติชนออนไลน์ 24 มิถุนายน 2554
โดย : จาตุรนต์ ฉายแสง http://จาตุรนต์.ฉายแสง.th/


คำขอโทษจากอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เหตุสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ราย บาดเจ็บกว่า 2,000 ราย ภายใต้การบริหารประเทศของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาจึงหนีความรับผิดชอบไปได้ไม่พ้น และสิ่งหนึ่งที่คนเสื้อแดง ประชาชน หรือแม้แต่นภพัฒน์จักร  อัตตนนท์ นักข่าวในเครือเนชั่นอยากรู้คือนายกรัฐมนตรีจะขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่

ซึ่งคำตอบอาจไม่สำคัญเท่ากับสาเหตุและวิธีคิดของนายกรัฐมนตรีนี่เป็นบทสรุปแบบสั้นกระชับในมุมมองของนายนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ นักข่าวสายการเมือง  เครือเนชั่น  ที่เขาสรุปได้จากการพูดคุยและสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมตรี โดยเขาเขียนบทความนี้ เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม 2553 หลังได้รับเชิญให้ไปถามคำถามนายกรัฐมนตรีผ่านรายการทางเวบไซต์ของนายกรัฐมนตรี

นภพัฒน์จักษ์ เป็นนักข่าวภาคสนามคนหนึ่งในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ระหว่างเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม 2553  เขาอยู่ในเหตุการณ์สำคัญนี้ จนถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือเรื่อง คนข้างม็อบ

ไม่เพียงแต่คนเสื้อแดง ญาติผู้เสียชีวิต หรือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสลายการชุมนุม  นภพัฒน์จักษ์ เองก็มีคำถามในใจที่อยากรู้จากนายกรัฐมนตรี นั่นคือ “คำขอโทษ” จากปากของนายอภิสิทธิ์ ต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุม

“หลังการสลายการชุมนุม มีผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เรื่องความรับผิดชอบย่อมเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ปกครองประเทศ แล้วมีผู้เสียชีวิตด้วยประเด็นทางการเมือง นายกอภิสิทธิ์ต้องการจะขออภัยฝั่งผู้ชุมนุมบ้างหรือไม่?”

ข้อความนี้ เป็นคำถามที่เขาเล่าในบทความ  พร้อมกับบรรยายว่า เขาถามนายกรัฐมนตรีสองครั้ง และเฝ้ารอคำตอบด้วยใจระทึกและความคาดหวัง  ใจระทึกว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร และคาดหวังว่าเราอาจจะได้ยินคำขอโทษจากผู้นำประเทศที่ตัดสินใจผิดพลาดจาก เหตุทางการเมืองสักครั้ง

สิ่งที่ได้ยินกลับมาคือ

“คำถามนี้ไม่สามารถออกอากาศได้”

ถามว่าทำไม?

“เพราะถ้าเราขอโทษ เท่ากับว่าฝ่ายเรายอมรับว่าเป็นฝ่ายผิด”

นี่คือคำตอบเดียวที่ได้รับจากนายอภิสิทธิ์ กับความรู้สึกลึกๆจากใจที่คลาดเคลื่อนไปจากความคาดหวัง

ความคาดหวังจากนายกรัฐมนตรีที่เคยพูดว่า “ผมขอเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ”

ความคาดหวังจากนักการเมืองที่เคยพูดว่า “จะหนึ่งคนหรือแสนคนเราก็ต้องรับฟัง”

ความคาดหวังที่จะได้ยินคำว่า “ขอโทษ” เพื่อให้รับรู้ว่าท่านนายก เข้าใจถึงความผิดพลาด ในการตัดสินใจของตัวเอง

ความคาดหวังจากมาตรฐานของคนทั่วไป …

ที่ไม่ได้ต้องการจะล้มล้างรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ …

ที่ไม่ได้คาดหวังว่าท่านจะต้องยุบสภาหรือลาออก …

เพียงแต่คาดหวัง “คำขอโทษ”

“คำขอโทษ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดหวัง จากคนที่เราใส่ใจ ให้ความสำคัญ…. และยังพร้อมที่จะรับฟัง

และนี่คือบทความจากนภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์  ผู้สื่อข่าวสายการเมือง เครือเนชั่น ที่เผยแพร่เป็นบทความครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2553 และถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำในเวบไซต์ต่าง ๆ เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ที่มา : VoiceTV


ณัฐวุฒิถึงอภิสิทธิ์ 2 : จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้

“ประหลาดใจมากกับเรื่องคนทำบั้งไฟที่ถูกไอ้โม่งชุดดำยิงตายแล้วเผาหน้าวัดปทุมฯ คุณเก็บเรื่องนี้ไว้กว่า 1 ปีได้อย่างไร ไม่มีใครเคยได้ยินทั้งอภิปรายในสภาหรือที่อื่น เรื่องใหญ่มากนะครับ คนถูกยิงเป็นใคร พยานชื่ออะไรขอดูหน้าหน่อยได้ไหม เชื่อจริงๆ หรือว่ามีการเผากันหน้าวัดปทุมฯ โดยไม่มีใครรู้เห็น เผาศพใช้เวลานานมากเถ้าถ่านก็ต้องมี ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้เลย สงสารประชาชนบ้างเถอะครับ”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มาตามสัญญา โต้ข้อความที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีความตาย 91 ศพในเฟซบุ๊ก ถามอภิสิทธิ์ “คนเป็นนายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ คำว่าเสียใจคำว่าขอโทษก็ไม่ต้องมีให้ประชาชนและร่างไร้วิญญาณเหล่านี้เลยใช่ไหม”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตอบโต้ข้อความที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขียนลงโน้ตในเฟซบุ๊กเป็นตอนที่ 4 โดยณัฐวุฒิโพสต์ลงหน้าวอลล์ของตนเองว่า “คุณอภิสิทธิ์เขียนบันทึกมาแล้วผมขอร่วมเขียนด้วยตามที่ได้บอกไว้ครับ” หลังจากนั้นจึงโพสต์ข้อความติดต่อกันผ่านไอแพด ระหว่างรอการปราศรัย

1. การอ้างเหตุว่ามีการยิงเอ็ม 79 ตามที่ต่างๆทำให้ถูกกดดันให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเลื่อนลอยน่าใจหาย ในเมื่อรัฐบาลหาตัวคนทำความผิดไม่ได้จะมีความชอบธรรมอะไรจัดการประชาชนผู้บริสุทธิ์ คุณอภิสิทธิ์พยายามบอกว่าตัวเองถูกกดดันจากประชาชนให้ใช้ความเด็ดขาดตลอด เวลาผมไม่เข้าใจว่าระหว่างกดดันให้ยุบสภาเพราะคุณมาด้วยอำนาจพิเศษกับกดดัน ให้สลายการชุมนุมซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายทำไมเลือกใช้ความรุนแรงครับ

2. เรื่องรพ.จุฬาฯ เป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าของเพื่อนเราบางคนเพราะเชื่อว่ามีกำลังทหารอยู่ใน นั้น หลังเกิดเหตุเราแถลงยอมรับความผิดพลาดพร้อมทั้งขออภัยทางรพ. รวมทั้งเปิดพื้นที่ชุมนุมบางส่วนทั้งที่ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยเพราะความ ชัดเจนเรื่องกำลังทหารยังไม่มี มีการย้ายผู้ป่วยบางส่วนออกจากรพ.ก่อนหน้านี้เหลือบางรายที่ย้ายหลังการเข้าไปตรวจสอบโดยผู้ชุมนุม แม้เป็นเรื่องไม่ควรเกิดแต่ก็ไม่ควรเป็นข้ออ้างของการสังหารหมู่ประชาชนครับ

3. ข้อเสนอวันเลือกตั้งได้รับการตอบรับตั้งแต่ต้นแต่ประเด็นที่เรายังยอมรับไม่ได้คือไม่มีการพูดถึงความรับผิดชอบต่อความตายของประชาชน ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ มาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเลยเพราะ แกนนำได้ประกาศมติหลังเหตุการณ์ 10 เม.ย.แล้วว่าไม่ยอมรับการนิรโทษกรรม ตัวเองถูกแจ้งข้อหาก่อการร้ายเรายังปฏิเสธนิรโทษกรรมแล้วเรายังจะไปคิด เรื่องพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างไร

4. ข้อเรียกร้องคือให้นายสุเทพเข้ามอบตัวในคดีสั่งสลายการชุมนุมจนมีคนตายเกือบ 30 ชีวิตเพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างให้ผู้มีอำนาจคนใดใช้กำลังกับประชาชนโดยไม่ ต้องรับผิดชอบอีก แต่นายสุเทพกลับทำเพียงแค่ไปปรากฏตัวที่ DSI ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญา จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครในรัฐบาล ถูกดำเนินคดีหรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ สิ่งที่รัฐบาลทำคือสรุปว่าคนเสื้อแดงไม่ยอมรับการเจรจาแล้วก็สั่งกำลังทหารเข้ามาจนยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 91 ศพ

5. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าพยายามเจรจา แล้วทำไมจึงปฏิเสธกลุ่ม สว.ที่มาพบพวกผมหลังเวทีในวันที่ 18 พ.ค. ทั้งที่พล.อ.เลิศรัตน์และคณะยืนยันว่าคุณรับรู้ทุกขั้นตอน เราแถลงข่าวร่วมกันว่าวันที่ 19 เป็นวันเจรจา ผมบอกคณะ สว.ด้วยว่าเราพร้อมยุติการชุมนุมทันที คุณอภิสิทธิ์ก็ทราบเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเปลี่ยนวันเจรจาเป็นวันสังหาร เพราะเตรียมการมาตลอดใช่ไหม บอกสว.ให้มาคุยกับเราจนทุกฝ่ายสบายใจแล้วค่อยลงมือ วิธีการนี้ไม่อำมหิตกับประชาชนไปหน่อยหรือ

6. การบอกว่าความตาย 14-18 พ.ค.เพราะการปะทะระหว่างกองกำลังชุดดำกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องอธิบายว่าทำไมคนที่ตายไม่มีอาวุธในมือแม้แต่คนเดียว พลุไฟตะไลของเล่นที่บางคนถือเรียกว่าอาวุธไหม ศพไหนที่เป็นผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ยิงโดนใครบ้างหรือไม่มีเลย และถามจริงๆว่าคนเป็นนายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ คำว่าเสียใจคำว่าขอโทษก็ไม่ต้องมีให้ประชาชนและร่างไร้วิญญาณเหล่านี้เลยใช่ไหม

7. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย แล้วกฎหมายข้อไหนอนุญาตให้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน มาตราใดให้อำนาจประกาศเขตกระสุนจริง หลักสากลที่ไหนให้เอาสไนเปอร์มาใช้กับการชุมนุม กระสุน 2 พันกว่านัดที่ใช้ไปทำไมใกล้เคียงกับยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากต้องรับผิดชอบกับ 91 ศพที่กรุงเทพฯ แล้ว ยังต้องรวมถึงทุกชีวิตในกลุ่มอาหรับที่ตายเพราะสไนเปอร์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วย คุณคือผู้นำคนแรกของโลกที่ใช้วิธีนี้กับประชาชน

8. ประหลาดใจมากกับเรื่องคนทำบั้งไฟที่ถูกไอ้โม่งชุดดำยิงตายแล้วเผาหน้าวัดปทุมฯ คุณเก็บเรื่องนี้ไว้กว่า 1 ปีได้อย่างไร ไม่มีใครเคยได้ยินทั้งอภิปรายในสภาหรือที่อื่น เรื่องใหญ่มากนะครับ คนถูกยิงเป็นใคร พยานชื่ออะไรขอดูหน้าหน่อยได้ไหม เชื่อจริงๆ หรือว่ามีการเผากันหน้าวัดปทุมฯ โดยไม่มีใครรู้เห็น เผาศพใช้เวลานานมากเถ้าถ่านก็ต้องมี ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้เลย สงสารประชาชนบ้างเถอะครับ

9. 6 ศพในวัดปทุมฯผมฟันธงได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐยิง อย่าถามว่ามีเหตุผลอะไรจะยิงทั้งที่การชุมนุมยุติแล้ว เพราะถึงยังไม่ยุติก็ไม่มีเหตุผลใดๆให้ยิงประชาชนมือเปล่า จะอ้างกองกำลังที่ไหนในเมื่อคนบนรางรถไฟฟ้าก็ยอมรับว่ายิงลงมาหัวกระสุนสี เขียวก็อยู่เต็มตัวคนตาย คุณรักครอบครัวมากทุกคนรู้ พี่น้องผมถึงจะจนต่ำต้อยแต่ความเป็นคนก็เท่าคุณ พวกเขาอยากรู้ว่าคนที่เขารักตายยังไงต่างกับคุณที่คิดเพียงว่าจะอยู่อย่างไร ต่างกันมากเหลือเกิน

10. หลายตอนในบทความเน้นย้ำแต่เรื่องผู้สนับสนุนเรื่องคะแนนเสียง นักการเมืองที่แสดงตัวว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่คิดได้แค่นี้หรือ การยกข้อความสนับสนุนมาบอกว่าเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจคิดไหมว่าคนที่สูญเสียจะรู้สึกอย่างไร พร่ำพูดแต่ตึกถูกเผาส่วนคนที่ตายไม่สนใจ ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ยืนยันว่าเราไม่ได้ทำ ไม่ได้วางแผนสั่งการให้ใครเผาห้างให้ช่อง 11 เชิญฝ่ายผจญเพลิงของเซ็นทรัลเวิลด์ไปพูดความจริงบ้างไหม กล้าหรือเปล่า

11. อย่าอ้างบุญคุณกับบางคนที่ได้ประกันตัวออกมา เพราะพวกเขาไม่ได้ทำความผิดไม่ควรถูกขังตั้งแต่ต้น ให้คนโทรไปตามมาพบที่ทำเนียบสั่งให้เขียนจดหมายมาขอบคุณตัวเอง นี่หรือทำเพื่อประชาชน หลายคนชีวิตยับเยินแม่ตายไม่ได้ดูใจ ลูกเมียถูกไล่จากบ้านเช่า ลูกสาวถูกข่มขืน ป่วยต้องหามส่งรพ.จากเรือนจำ ถ้าคนเหล่านี้ได้ออกจากคุกต้องเขียนจดหมายขอบคุณท่านนายกฯไหมครับ แล้วคนที่ถูกขังเพราะโดนขู่ให้สารภาพ ติดคุกเกือบปีแล้วศาลยกฟ้องต้องขอบคุณไหม

12. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าเปื้อนโคลนจากทุกสี สถานการณ์แบบนี้ใครไม่เปื้อนโคลนก็แปลกแล้ว ปัญหาคือคุณไม่ได้เปื้อนโคลนแต่เปื้อนเลือดประชาชน เป็นนายกฯที่มีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศ ไม่มีใครมองข้ามความตายของเพื่อนร่วมชาติได้ง่ายอย่างที่คุณทำหรอก พวกเขาจึงอยากรู้ว่าเกือบร้อยชีวิตตายยังไง ถ้าไม่พบความจริงคำถามนี้จะติดตามคุณไปชั่วชีวิต เป็นลมหายใจแห่งความตายที่ยังรอความยุติธรรมตลอดไป

13. ผมรู้ว่าคุณเขียนบทความนี้เพราะต้องการคะแนนเสียง แต่ผมเพียงต้องการพูดความจริง ไม่มีผู้รักษากฎหมายที่ไหนจะนิ่งดูเขาฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แล้วไปรับผลประโยชน์จากอำนาจนั้น ไม่มีผู้ปกครองคนใดจะรักษากฎหมายด้วยการทำลายชีวิตประชาชนแต่คุณก็ทำ ผมเลือกข้างประชาชน

ประชนจงเจริญ

ที่มา : ประชาไท