‘เหวง’แฉตำราเรียนม.3 เนื้อหาใส่ร้ายเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง-ปล้นสะดม

“หมอเหวง” แฉมีการจัดพิมพ์ตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์สอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื้อหาใส่ร้ายคนเสื้อแดงเป็นพวกทำลายบ้านเมือง แต่ไม่มีข้อความใดกล่าวถึงคนเสื้อเหลืองยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน เตือนอย่าเอาการศึกษามาเล่นการเมืองเพราะจะเป็นผลเสียต่อชาติในระยะยาว เรียกร้องผู้ปกครอง ครูที่รักประชาธิปไตยตรวจสอบตำราเรียนลูกหลาน หากพบเนื้อหาบิดเบือนต้องช่วยกันร้องเรียนกระทรวงศึกษาธิการให้ยกเลิก “ณัฐวุฒิ” ระบุวันที่ 10 เม.ย. จะประกาศปฏิญญาบนเวทีชุมนุมครบรอบ 1 ปีสลายการชุมนุมถือเป็นโรดแม็พกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทั่ว ประเทศ พร้อมกับประกาศยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าเกี่ยวกับแนวทางต่อสู้ช่วยก่อนและหลัง เลือกตั้ง “จตุพร” เตรียมทำหนังสือ วีซีดี เปิดโปงขบวนการเผาเซ็นทรัลเวิลด์และศาลากลางจังหวัด 4 แห่ง “สุเทพ” ชี้แจงหนังสือ “ประเทศไทยของเราอย่าให้ใครเผาอีก” เป็นการรวบรวมเนื้อหาที่อภิปรายในสภาให้คนที่ไม่ได้ฟังมีโอกาสรับรู้

การแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการทำตำราเรียนใช้ในการเรียนการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมี เนื้อหาใส่ร้ายคนเสื้อแดงว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง

ใส่ข้อมูลเท็จให้เด็กมีปัญหาในอนาคต

“ผมไม่รู้ว่าทำกันแบบนี้ได้อย่างไร เอาข้อมูลที่ไม่ตรงข้อเท็จจริงมาใช้ในการเรียนการสอน เอาข้อมูลเท็จไปใส่หัวเด็ก ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อไปในอนาคต เพราะข้อมูลที่นำเสนอนั้นทำให้เกิดความเกลียดชังแตกแยกมากขึ้น”

นพ.เหวงเรียกร้องให้ครูที่รักประชาธิปไตย ผู้ปกครองที่เป็นคนเสื้อแดง หรือประชาชนทั่วไปช่วยกันตรวจสอบตำราเรียนของลูกตัวเอง หากพบเนื้อหาไม่เหมาะสม ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ต้องร้องเรียนต่อกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้ปรับแก้หรือยกเลิก

อย่าเอาการศึกษามาเล่นการเมือง

“อยากเตือนว่าอย่าเอาระบบการศึกษาของประเทศมาเล่นการเมือง ไม่นึกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ชื่อนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์จะมีแนวคิดอย่างนี้ เพราะในตำราที่มีผู้ปกครองนำมาร้องเรียนนี้ไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมของคนเสื้อ เหลืองที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสักคำเดียว เรื่องนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าการออกหนังสือ ประเทศของเราอย่าให้ใครเผาอีก เพราะนี่เป็นการปลูกฝังความเชื่อที่ผิดๆให้เยาวชน”

ระบุหนังสือประวัติศาสตร์สอน ม.3

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวเสริมว่า หนังสือที่ นพ.เหวงกล่าวถึงเป็นหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 3 ดำเนินการโดยฝ่ายการศึกษาอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ข้อความที่คิดว่ามีปัญหามีดังนี้คือ “เมื่อแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดินประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 แล้วทำให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจก่อการจลาจล ปล้นสะดม วางเพลิงเผาสถานที่ราชการและเอกชนหลายแห่งทั่วประเทศ” นอกจากนี้ยังมีนื้อหาอีกหลายส่วนที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ

ขอร้องให้แก้ไขเนื้อหาให้ถูกต้อง

“ผมไม่ประสงค์ไปทะเลาะกับพวกท่าน แต่อยากให้ปรับแก้ให้ถูกต้อง เพราะเรื่องต่างๆนั้นยังไม่ได้พิสูจน์ให้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ใครเผา ถ้าท่านมีความจริงใจต่อการเขียนประวัติศาสตร์และรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของ เยาวชนขอให้ท่านปรับแก้เสีย”

สำหรับการแถลงข่าวก่อนหน้านี้นายณัฐวุฒิได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมของคน เสื้อแดง 2 งานสำคัญในช่วงสุดสัปดาห์นี้คือ การเปิดโรงเรียนแกนนำ นปช. ในวันที่ 9 ต่อเนื่องถึงวันที่ 10 เม.ย. และการจัดชุมนุมครบรอบ 1 ปีการสลายการชุมนุมที่เวทีสะพานผ่านฟ้าฯและถนนราชดำเนิน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารด้วย

ประเทศไทยไม่พูดกันตรงไปตรงมา

“ขณะนี้มีหลักฐานแสดงข้อเท็จจริงทั้งที่เป็นภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวออก เผยแพร่ไปทั่วโลก มีแต่ในประเทศที่เป็นสถานที่เกิดเหตุเท่านั้นที่ไม่ได้เอาความจริงมาพูดกัน อย่างตรงไปตรงมา การชุมนุมครบรอบ 1 ปีจะเอาความจริงมาพูดกันบนเวทีอีกครั้ง และจะมีพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้วีรชนที่เสียชีวิตด้วย”

เตรียมประกาศปฏิญญาเสื้อแดง

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับโรงเรียน นปช. เป็นการต่อยอดมาจากที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เนื้อหาจะเข้มข้นมากขึ้น โดยจะมีผู้เข้าร่วมอบรม 1,500 คน มาจากกรรมการะดับอำเภอและจังหวัดทั่วประเทศ หลังการอบรมให้ความรู้แล้วจะให้ผู้เข้าอบรมร่วมกันระดมสมองเกี่ยวกับยุทธสา สตร์ของ นปช. ที่จะก้าวเดินกันต่อไป เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะนำเอายุทธศาสตร์ไปประกาศเป็นปฏิญญาบนเวทีปราศรัยในวัน ที่ 10 เม.ย. และปฏิญญานี้จะเป็นเข็มทิศที่คนเสื้อแดงทั่วประเทศจะมุ่งเดินไปพร้อมกันนับ จากนี้ ในส่วนของแกนนำจะมีการเสวนาเกี่ยวกับทิศทางของ นปช. ทั้งในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง โดยจะมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่าหากมีเลือกตั้งเราจะเดินไปอย่างไร หากไม่มีเลือกตั้งจะต่อสู้กันอย่างไร เราจะต่อสู้กันไปอย่างนี้จนกว่าจะได้ชัยชนะ ได้ประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน ซึ่งการต่อสู้จะเดินไปพร้อมกับการเรียกร้องและทวงถามความเป็นธรรมให้คนเสื้อ แดงที่เสียชีวิต บาดเจ็บ และที่อยู่ในเรือนจำ

ยังเดินหน้าประกันตัวแนวร่วม

ส่วนความคืบหน้าในการประกันตัวคนเสื้อแดงที่เหลือทั่วประเทศนั้น ยืนยันว่าฝ่ายกฎหมายยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งใน 4 จังหวัดที่มีการเผาศาลากลางค่อนข้างมีปัญหาว่าศาลไม่อนุญาตให้ประกัน แม้บางจังหวัดจะเปิดการไต่สวนแต่เราไม่ย่อท้อ จะดำเนินการต่อแน่นอน โดยฝ่ายกฎหมายจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลต่อไป

นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า การเปิดโรงเรียนแกนนำ นปช. เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องกับแกนนำระดับจังหวัดและท้องถิ่นเอาไปถ่ายทอดกับ ประชาชนต่อไป

ต้องสู้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ความโกรธแค้น

“ที่ต้องให้ความรู้เพราะแนวทางของเราต้องการต่อสู้ด้วยปัญญา ความรู้ เพื่อไปสู่ชัยชนะที่แท้จริง ไม่ใช่ต่อสู้ด้วยอารมณ์และความโกรธแค้น”

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า การที่นายสุเทพ เทือสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกหนังสือประเทศไทยของเราอย่าให้ใครเผาอีกเป็นการทำเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ ทั้งเรื่องน้ำท่วมในภาคใต้และสินค้าราคาแพง

ทหารยศพันเอกทำหนังสือให้ “สุเทพ”

“ผมทราบมาว่ามีนายทหารยศพันเอกเป็นผู้ร่วมทำหนังสือเล่มนี้ และเป็นคนเดียวกับที่ทำภาพ ทำคลิปออกมาป้ายสีคนเสื้อแดงก่อนหน้านี้ อยากถามว่าท่านไม่ละอายบ้างหรืออย่างไร ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าข้อเท็จจริงคืออะไร เมื่อท่านออกหนังสือได้ผมก็ออกได้เช่นกัน โดยจะจัดทำทั้งหนังสือและวีซีดีบันทึกการอภิปรายในสภาของผมและนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย ออกมาเผยแพร่ เพราะประเด็นที่อภิปรายกันในสภานั้นรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจนสัก ประเด็นเดียว”

ทำหนังสือแฉใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์

นายจตุพรกล่าวอีกว่า เนื้อหาในหนังสือที่จะออกมานั้นเป็นการเปิดโปงเบื้องหลังการเผาเซ็นทรัล เวิลด์ว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ คนชุดดำที่เข้าไปเผานั้นเป็นพวกใคร เรื่องนี้ไม่ได้คิดเอง แต่มีผู้เกี่ยวข้องกับการดูแลเซ็นทรัลเวิลด์เป็นคนให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง นอกจากนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเผาศาลากลางจังหวัด 4 แห่งที่ใช้โมเดลเดียวกันกับการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ประชาชนจะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เผา

ได้เป็นรัฐบาลจะให้ผู้ว่าฯออกมาแฉ

“หลังเลือกตั้งหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลผมจะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ทำหน้าที่ในวันเกิดเหตุเผาศาลากลางออกมาพูดความจริงกับประชาชนว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร รับรองว่าไม่ได้ข่มขู่ แค่ขอให้พูดความจริง เพราะผู้ว่าฯน่าจะรู้ว่าพวกผมก็มีข้อมูลและหลักฐานอยู่ในมือ”

ทหารพูดไม่ปฏิวัติไม่ใช่เรื่องใหม่

นายจตุพรยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) นำผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ออกมาประกาศยืนยันว่าจะไม่ปฏิวัติ ไม่แทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ไม่กดดันขัดขวางพรรคการเมืองว่า “ผมและประชาชนคนไทยมักได้ยินคำพูดว่าทหารจะไม่ปฏิวัติก่อนมีการปฏิวัติเสมอ เอาล่ะ สมมุติว่าผมและคนเสื้อแดงเชื่อว่าทหารจะไม่ปฏิวัติ แต่ทหารจะพูดว่าไม่ปฏิวัติอย่างเดียวไม่ได้ ต้องถอยกลับที่ตั้งด้วย ไม่ใช่ตั้งศูนย์พิเศษขึ้นมาปฏิบัติในท้องที่ต่างๆเพื่อกดดันนักการเมืองฝ่าย ตรงข้าม เหมือนกับที่เคยทำในการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 ที่เข้าไปในพื้นที่เพื่อบล็อกคนของพรรคพลังประชาชน แต่อำนวยความสะดวกให้อีกฝ่ายโกงและทุจริตการเลือกตั้งกันได้อย่างเต็มที่”

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทหารออกมาพูดว่าจะไม่ปฏิวัติ เพราะพูดว่าจะปฏิวัติไม่ได้ ถ้าพูดจะเป็นกบฏทันที

รอฟัง “พสิษฐ์” รับรองขนลุก

นายจตุพรกล่าวถึงการชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. นี้ว่า ไฮไลท์ของงานอยู่ที่การปราศรัยของนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะมาแฉเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่าทำไมไม่ถูกยุบ และเบื้องหลังคดียุบพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย พรรคมัฌชิมาธิปไตย

“ผมกับนายณัฐวุฒิมีโอกาสฟังแล้วยังขนลุก แล้วคนที่จะถูกแฉไม่ขนลุกก็ให้มันรู้ไป”

“สุเทพ” แจกลายเซ็นคนซื้อหนังสือ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เปิดตัวหนังสือ “ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก” ซึ่งเป็นการเรียบเรียงเนื้อหาการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา และรวบรวมรูปภาพเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้น จำหน่ายในราคาเล่มละ 80 บาท ซึ่งนายสุเทพได้แจกลายเซ็นแก่ผู้ซื้อหนังสือในงานด้วย

นายสุเทพระบุว่า รายได้จากการขายหนังสือจะเอาไปช่วยเหลือประชาชนในภาคใต้ที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งมีผู้สนับสนุนและสมาชิกพรรคให้ความสนใจเข้าคิวซื้อจำนวนมาก

“มาร์ค” วาง “เขียน รธน. อย่างไรไม่ถูกฉีก”

นอกจากหนังสือของนายสุเทพแล้วยังมีหนังสือที่เขียนโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชื่อ “เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรไม่ถูกฉีก” ราคาเล่มละ 90 บาท วางขายด้วย

นายุสเทพกล่าวว่า เนื้อหาในหนังสือไม่มีอะไรใหม่ เป็นการรวบรวมสิ่งที่อภิปรายในสภา 1 ชั่วโมง 40 นาที บางท่านอาจจะได้ฟัง ไม่ได้ฟัง หรือฟังไม่ตลอด ก็เอามาเรียบเรียงให้ได้อ่านกัน โดยคัดเอาเฉพาะประเด็นหลักๆ เพื่อไม่ให้หนังสือหนาจนเกินไป คนที่มีเวลาน้อยจะได้อ่าน ส่วนยอดการพิมพ์หากมีคนต้องการก็จะพิมพ์ไปเรื่อยๆ

ที่มา : โลกวันนี้ 7 เมษายน 2554

 


‘อภิสิทธิ์’ กำลังพาประเทศชาติล่มจม

ศ.ดร.ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังหลงอยู่ในอำนาจ ต้องการอยู่ให้นานที่สุดทั้งที่หมดความชอบธรรมแล้ว ไม่จริงใจที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติ กำลังพาประเทศชาติและประชาชนไปสู่ความหายนะ และเมื่อไรที่สีเหลือและสีแดงออกมาพร้อมกัน เมื่อนั้นจะเกิดความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด

วิกฤตการเมืองไทย

วิกฤตการเมืองในประเทศไทยมีมายาวนาน อาจแบ่งปัญหาได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1.เป็นปัญหาที่สะสมมายาวนานในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทย เช่น การมีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการอำนาจนิยมของทหาร หรือเรียกว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย แล้วค่อยๆมาเป็นกึ่งประชาธิปไตยหรือกึ่งอำมาตย์ โดยอีกกึ่งหนึ่งคือบรรดานักธุรกิจที่ตั้งพรรคการเมืองหรือเข้ามาเล่นการ เมืองเรียกว่าธนาธิปไตย

แต่ในที่สุดกลุ่มอำมาตย์ก็ยึดอำนาจกลับไปชั่วขณะในช่วงเดือน พ.ค. 2534 จากนั้นอำนาจก็กลับคืนสู่ฝ่ายธนาธิปไตย จนกระทั่งเห็นว่าการเมืองเดินไปข้างหน้าท่าจะไปไม่ไหวจึงต้องยอมปฏิรูปการ เมืองจนนำมาสู่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 แต่แทนที่เราจะได้ประชาธิปไตยที่ดีขึ้นกลับได้ธนาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบคือ พรรคไทยรักไทยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นตัวแทนของธนาธิปไตยที่กึ่งผูกขาด มีทั้งอำนาจการเมืองและอำนาจเงิน

ในที่สุดฝ่ายอื่นๆก็ร่วมกันโค่นล้มธนาธิปไตยของคุณทักษิณ ทหารเข้ายึดอำนาจอีกครั้งในเหตุการณ์ 19 ก.ย. 2549 หลังจากนั้นปัญหาก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ยังบ่มเพาะปัญหาให้เกิดความรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้น ถ้าเรามองวิกฤตการณ์การเมือง ในลักษณะแรกเป็นการสั่งสมบ่มเพาะมายาวนาน สะท้อนให้เห็นว่าเรายังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และยังสร้างทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสังคมตามมา โดยมีช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจนสูงขึ้นตามลำดับ เกิดความไม่เสมอภาคทางสังคม เป็นสังคมที่เป็นเมืองโตเดี่ยวกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ แม้จะมีความพยายามกระจายอำนาจออกไปแต่ก็เป็นแค่ทฤษฎีหรือแนวคิด ไม่สามารถปฏิบัติได้ ทำให้ปัญหาสั่งสมพอกพูนมากขึ้น นี่คือลักษณะที่ 1

ลักษณะที่ 2 เป็นวิกฤตที่เกิดจากการสั่งสมจากวิกฤตแรก แต่มาหนักหน่วงเพราะขัดแย้งระหว่างกลุ่มอิทธิพลกับกลุ่มผลประโยชน์โดยตรง ซึ่งกรณีที่คุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยถูกฝ่ายอื่น ผมอาจไม่เรียกว่าฝ่ายอำมาตย์ แต่เป็นหลายฝ่ายร่วมมือกันโค่นล้มจนนำมาสู่ความแตกแยกทางการเมืองครั้งใหญ่ เราจะเห็นได้ชัดว่าฐานอำนาจของกลุ่มคุณทักษิณเป็นฐานอำนาจในชนบท เพราะคุณทักษิณได้ใช้นโยบายประชานิยมผูกมัดใจคนเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของ ประเทศ ทั้งการถูกโค่นล้มจากอำนาจทางการเมือง ถูกดำเนินคดี ถูกยึดทรัพย์ จึงพยายามชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มี 2 มาตรฐาน

อีกกลุ่มหนึ่งก็เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รวมตัวกันอย่างแน่นแฟ้น แต่เป็นลักษณะที่จับแบบหลวมๆเพราะเห็นศัตรูคนเดียวกัน แต่วัตถุประสงค์ที่จับมือกันโค่นล้มคุณทักษิณอาจจะมีเป้าหมายแตกต่างกัน บางกลุ่มอาจจะเป็นชนชั้นสูงที่เห็นว่าคุณทักษิณท้าทายต่อสถาบันเบื้องบน หรืออาจทำให้เกิดความสั่นคลอนในทางการเมืองที่จะบั่นทอนเสถียรภาพสถาบันพระ มหากษัตริย์

กลุ่มชนชั้นกลางเป็นบุคคลที่หัวก้าวหน้า ค่อนข้างเน้นในเรื่องของการสร้างประชาธิปไตยแบบใหม่ที่ไม่มีการผูกขาดอำนาจ ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน และไม่มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งกลุ่มชนชั้นกลางส่วนใหญ่อยู่ในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจ ส่วนกลุ่มอื่นๆอาจเป็นกลุ่มระดับภูมิภาค เช่น ภาคใต้ ซึ่งมีทั้งคนมีฐานะ คนจน และกลุ่มอื่นๆที่มีความหลากหลาย มีเป้าหมายที่ไม่เหมือนกันแต่ก็ร่วมมือกัน

วิกฤตการณ์ 2 ลักษณะนี้กำลังมารวมกันจึงกลายเป็นมรสุมที่มีทั้งลูกเล็กหรือหลายๆกลุ่มมา รวมกับมรสุมใหญ่ ผมเกรงว่าจะกลายเป็นกระแสหรือมรสุมที่ใหญ่โต และจะสร้างวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อมีการบ่มเพาะสถานการณ์ให้สุกงอม ซึ่งเราตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไร อาจจะเพียงปีเดียว หรือ 3-5 ปีข้างหน้า หรือ 10 ปี แต่ผมคิดว่าในสถานการณ์ของโลกยุคปัจจุบันหรือในอนาคตที่กระแสโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศที่ทัดเทียมกันทั่วโลก จะเป็นตัวที่จะบ่มเพาะให้วิกฤตการณ์เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

เหลือง-แดงไล่รัฐบาล

ขณะนี้เราจะเห็นวิกฤตการณ์ที่กำลังบ่มเพาะ ฝ่ายหนึ่งเกิดจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินหรือคนเสื้อแดง ที่ต่อสู้เรียกร้องจะนำคุณทักษิณกลับมา ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือเสื้อเหลืองก็ใช้ ประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารที่เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้กำลังจะมาบรรจบกัน และถ้าวันหนึ่งทั้ง 2 กลุ่มดีเดย์ คือเรียกประชาชนออกมายืนบนท้องถนนพร้อมๆกัน ตากแดดไม่กี่ชั่วโมง ผมคิดว่าอาจมีประชาชนออกมาแสดงพลังจำนวนมหาศาล เป็นการแสดงมติมหาชนกลายๆ อาจทำให้รัฐบาลอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้ารัฐบาลยังคิดไม่ถึง ยังหวงแหนในอำนาจของตัวเองต่อไป ยังไม่ยอมยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อคลี่คลายปัญหาวิกฤตการเมือง ในที่สุดแล้วรัฐบาลก็จะเป๋และเป็นรัฐบาลที่หลุดจากขั้วอำนาจต่อไปได้

อันนี้ยังไม่รวมถึงขั้นที่อาจจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นตามมา ซึ่งการจะเลือกตั้งใหม่หรือมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าอาจเกิด ขึ้นได้ในสังคมไทยระยะสั้นๆนี้ โดยเฉพาะให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองที่จะมา บรรจบกันเพื่อโค่นล้มรัฐบาลครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ คาดว่าจะเกิดในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ ขอให้ทุกฝ่ายจับตาดูให้ดี จะเกิดการมาบรรจบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิด

ปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อสถานการณ์การเมืองที่จะเกิดขึ้นมีหลายลักษณะ เช่น อาจเกิดการนองเลือดอีกครั้ง การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ตรงนี้เป็นอาการของโรค ผมยกตัวอย่าง ถ้าคนเชียงใหม่ชุมนุม 100,000 คน คนอุดรธานีชุมนุม 100,000 คน และคนกรุงเทพฯชุมนุมอีก 200,000 คน มันคืออาการของโรค สะท้อนให้เห็นถึงสุขภาพของคน เพราะอาการมันโผล่ เช่น ตัวร้อน เป็นจ้ำตามร่างกาย แสดงว่ามีเชื้อโรคแทรก เมื่ออาการของโรคออกมาเป็นแบบนี้แสดงว่าเชื้อโรคที่จะแทรกมันง่ายมาก และโรคแทรกแซงที่มีโอกาสจะเป็นไปได้และเป็นที่นิยมยอดฮิตคือ การรัฐประหาร เพราะเกิดมาแล้วตั้ง 10 กว่าครั้งแล้วทำไมจะเกิดอีกไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าสังคมไม่สงบสุข

เมื่อสังคมเกิดความโกลาหล ความอลหม่าน เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย มันไม่มีเครื่องมือไหนดีไปกว่าการใช้วัคซีนทหารเพื่อทำให้สังคมสงบลง แต่การใช้วัคซีนทหารก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบหรือไม่ในอนาคต เพราะอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ ตรงนี้ก็เสี่ยงเหมือนกัน

โรคแทรกซ้อนประการที่ 2 คืออาจเลิกใช้วัคซีนทหาร เพราะเห็นว่าไม่เหมาะแล้ว ร่างกายดื้อยาแล้ว อาจจะต้องใช้ยาตัวอื่นแทน เช่น สมัยที่รัฐบาลคุณทักษิณจะไปก็เคยมีแนวคิด เช่น มาตรา 7 มีรัฐบาลแห่งชาติบ้าง ไม่ต้องไปรัฐประหารแบบเดิม หยุดพักการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราชั่วคราวแล้วก็มีรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาชั่ว คราว ลักษณะอย่างนี้อาจทำได้ และอาจทำให้ร่างกายหรือสังคมมีความสงบสุขได้ในระยะสั้นๆ แต่รัฐบาลแห่งชาติจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ

อย่างที่พูดไว้คือ สมการที่ขัดแย้งกันอยู่คือเอาคนซึ่งอาจจะเป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ มีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่มีความชอบธรรม คนก็จะต่อต้านอีกหรือไม่ เพราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนแล้วมาบริหารประเทศ ต่อไปก็อาจมีคนออกมาต่อต้านแล้วจะแก้อย่างไร เสถียรภาพทางการเมืองก็จะสูญเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลแห่งชาติมาแล้วไม่ได้เรื่องก็ไปไม่รอดเช่นกัน

โรคแทรกแซงที่อาจเกิดขึ้นได้มีอย่างน้อย 2 แนวทางคือ เกิดรัฐประหาร กับรัฐบาลแห่งชาติ โรคแทรกซ้อนอย่างอื่นยังมีอีก มันอาจจะรุนแรง ต้องเข้าใจว่าระบบการเมืองเกิดแล้วก็ดับได้ ตายได้ แต่ตายแล้วมันเกิดใหม่ เช่นเดียวกัน ถ้าเกิดกลียุค เกิดอนาธิปไตย มีการล่มสลายของสังคมไทย ระบบการเมืองล่ม ที่ผมไม่อยากพูดเพราะอาจรุนแรงจนกระทั่งนำไปสู่สังคมใหม่ ระบบใหม่ ส่วนจะเป็นแบบไหนเรายังไม่ควรพูดเพราะสถานการณ์ยังไม่สุกงอม แต่ถ้าพูดแล้วอาจกระทบต่อสถาบันทางการเมืองหลายๆแห่ง

ท่าทีนายกฯอภิสิทธิ์

คุณอภิสิทธิ์ก็เป็นนักการเมืองธรรมดาคนหนึ่ง ไม่แตกต่างอะไรจากนักการเมืองในอดีตที่พยายามครองอำนาจให้มากที่สุด ยาวนานที่สุด ทั้งๆที่แก้ปัญหาประเทศไม่ได้หรือขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะไม่จริงใจแก้ปัญหาประเทศ การปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปการเมือง แต่เขาอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาก็พยายามอยู่ไปให้นานที่สุด โดยพยายามลดกระแสการต่อต้านลงไปด้วยคำพูด เช่น บอกจะมีการยุบสภาก่อนที่จะหมดวาระต่างๆ แต่ใจจริงแล้วอาจจะอยู่ใกล้ๆครบวาระ ยกเว้นว่าอยู่ไม่ได้เพราะสถานการณ์บีบรัด แต่ถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวยก็อยากอยู่ให้นานที่สุด เพราะสิ่งที่คุณอภิสิทธิ์พูดนั้นไม่มีอะไรเป็นคำมั่นชัดเจนที่จะผูกมัดตัว เอง

รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ยังมีลักษณะเป็นรัฐบาลของนักการเมืองที่แอบอิงผล ประโยชน์และเล่นการเมืองแบบเก่าๆ โดยไม่พยายามแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แม้กระทั่งการที่บอกยุบสภาก็ไม่สามารถบอกให้แน่ชัดว่าจะยุบเมื่อไร แต่พยายามใช้วิธีการลดโทน ลดกระแสโดยให้คนอื่นออกมาพูดบ้าง เช่น ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาพูดว่าจะยุบสภาภายในเดือนมิถุนายน เขาก็จับไต๋ได้หมดแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณอภิสิทธิ์จะเป็นรัฐบาลต่อไป ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์น่าจะยุบสภาให้เร็วที่สุดเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ อาจจะทำให้ปัญหาที่ปะทุในขณะนี้คลี่คลายได้ในระดับหนึ่ง

คุณอภิสิทธิ์แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ก็อย่าไปหวังที่จะกลับมาเป็นนายก รัฐมนตรีอีก อันนี้ด้วยตัวของตัวเอง อย่าไปคิดว่าเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ยังแน่นแฟ้น สามารถรวมพรรคเล็กพรรคน้อยต่างๆเพื่อจัดตั้งรัฐบาลอีก มันคือการคิดแบบเก่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ ถ้าตัวเองไม่สามารถแก้ปัญหาได้ควรจะเปิดโอกาสให้คนอื่นขึ้นมา ทุกวันนี้เราเล่นการเมืองแบบเก่า คิดแบบเก่า คิดอยากจะอยู่ในตำแหน่งนานๆเหมือนผู้นำเผด็จการ ในที่สุดวันหนึ่งประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นมาโค่นล้ม เพราะคุณอยู่ไปก็ไม่มีความชอบธรรม แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ผมคิดอย่างนั้น ตรงนี้เราอย่าไปเอาประโยชน์ส่วนตัวมาบดบังประโยชน์ของประเทศ

ประเทศอยู่ภาวะอันตราย

ใช่ เป็นเพราะทุกวันนี้เราเล่นการเมืองโดยพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนตัวแทบทั้ง สิ้น เราจะไม่หลุดพ้นไปจากการเมืองน้ำเน่าแบบเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาที่สั่งสมจากวิกฤตการณ์ลักษณะแรกที่ผมอธิบายไปก่อน หน้านี้มาจนถึงวิกฤตการณ์ลักษณะที่ 2 จะทวีปัญหาให้หนักหน่วงมากขึ้น แต่จะไม่ช่วยลดทอนปัญหาให้น้อยลง อันนี้คืออันตรายของประเทศไทย และถ้าปล่อยให้สถานการณ์เดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ ในที่สุดจะเดินตกเหวกันทั้งประเทศ เพราะผู้นำเดินนำหน้าพาประชาชนตกเหวไปด้วย ผลงานที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นผู้นำระดับนายกรัฐมนตรีไม่ ได้

เท่าที่ประเมินสถานการณ์ผมยังมั่นใจว่าคุณอภิสิทธิ์จะยังไม่ยุบสภาใน เร็วๆนี้ แต่จะยุบสภาช่วงใกล้ครบวาระ ถือเป็นความเลวร้ายที่สุด โดยคุณอภิสิทธิ์ใช้กลยุทธ์ตามที่คุณชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำ โดยจะยุบสภาก่อนครบวาระ 1 เดือน คุณอภิสิทธิ์คงคิดง่ายๆว่าตัวเองจะได้ประโยชน์จากการจัดงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2555 การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการอยู่ในช่วงที่มีในวโรกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสุดท้ายรักษาสัจวาจาที่จะให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้อยู่คือ ให้เลือกตั้งในปลายเดือนธันวาคมก็ภายใน 60 วัน

ดังนั้น คุณอภิสิทธิ์จะไปยุบสภาในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งทุกอย่างลงล็อกพอดี ผมขอย้ำว่าถ้าคุณอภิสิทธิ์คิดแบบนี้ ผมคิดว่าในที่สุดคุณอภิสิทธิ์จะไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรืออาจจะอยู่ไม่ถึงเพราะโรคแทรกซ้อนจะมาก่อน แต่ถ้าคุณอภิสิทธิ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหลังการเลือกตั้งครั้ง หน้าก็ถือเป็นความโชคร้ายของประเทศไทย เพราะประชาชนเราอยู่ในระดับแค่นี้ ประชาชนอาจมองว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ หรือประชาชนไม่ได้เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ขึ้นมาบริหารประเทศ หรือด้วยปัจจัยข้อจำกัดของสังคม นี่คือจุดอ่อนของประชาธิปไตย

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 300 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม พ.ศ. 2554 หน้า 18
คอลัมน์ : ฟังจากปาก
โดย : กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข


ปฏิรูปประเทศไทย (ให้ล้าหลัง) โดยเครือข่ายอำมาตย์

ปฏิรูปประเทศไทย (ให้ล้าหลัง) โดยเครือข่ายอำมาตย์
โดย ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์
12 กรกฎาคม 2553
ที่มา : Thai E-News

นายอานันท์ ปันยารชุณ และนายประเวศ วะสี ได้นำพาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สภาองค์กรชุมชน คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายพลเมือง สภาพัฒนาการเมือง ฯลฯ และสื่ออย่าง TPBS ร่วมกัน “ปฏิรูปประเทศไทย”

องค์กรต่างๆเหล่านี้ล้วนไม่สนับสนุนให้ยุบสภาและได้ออกมาเคลื่อนไหวปฏิรูปประเทศไทยนำร่องให้พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย องค์กรนำของพวกเขาไปก่อนแล้วและสอดประสานกันอย่างลงตัว

โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตยแม้เพียงพื้นฐาน ที่ทุกคนเท่ากันในการเลือกผู้ปกครองผู้บริหารประเทศแบบหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง และพวกเขานิยมระบอบอำมาตยาธิปไตยนั่นเอง และพวกเขาหลายคนชอบเข้าสมัครสมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระต่างๆแบบแต่งตั้งจากอำมาตย์มากกว่าการเลือกตั้งจากประชาชนอยู่เป็นประจำ

การปฏิรูปประเทศไทยขอเครือข่ายอำมาตย์เหล่านี้ ย่อมนำสู่สังคมไทยล้าหลังถอยหลังเข้าคลองและบิดเบือนการปฏิรูปประเทศอย่าง ที่ควรจะเป็น เนื่องจากว่ามีเหตุผลอย่างน้อย 9 ประการ คือ

ประการแรก การปฏิรูปประเทศไทย ที่สำคัญคือการปฏิรูประบบราชการ กลไกราชการส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกองทัพ ซึ่งล้วนเป็นจักรกลของระบอบอำมาตย์ทั้งสิ้น ที่คอยขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า เช่น การรัฐประหาร การแทรกแซงทางการเมือง และมีระดับขั้นในการบังคับบัญชาโดยสมาชิกพื้นฐานเช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อย ไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด รวมทั้งภาคสังคมตรวจสอบถ่วงดุลไม่ได้ ก่อให้เกิดการคอรัปชั่นดั่งกรณี GT 200 ตลอดทั้งใช้งบประมาณมากขึ้นของกองทัพในรอบ 18 ปี หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 49

ประการที่สอง การปฏิรูปประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ด้วยไม่เพียงต้องสร้างนโยบายและกฎหมาย เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่ล้าหลังขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยในหลายมาตรา การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยต้องลดอำนาจนอกระบบ เช่น ให้อำนาจกับกระบวนการตุลาการมากเกินไปโดยไม่ได้เชื่อมโยงกับประชาชนแต่อย่างใด สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งถึง 74 คน ฯลฯ และต้องเพิ่มพื้นที่ประชาธิปไตยให้มากขึ้น เช่น การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การมีระบบศาลลูกขุน การให้สิทธิคนงานเลือกตั้งผู้แทนทุกระดับในสถานที่ประกอบการ ฯลฯ

ประการที่สาม การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม (เหมือนสูตรที่นายประเวศท่องจำตลอดเวลา แต่กลับไม่นำมาใช้มาปฏิบัติ) ซึ่งต้องมีกระบวนการจากล่างสู่บนเหมือนเช่นกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 40 ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนสาขาอาชีพต่างๆ มิใช่เพียงภาคประชาชน ภาคประชาสังคม เพียงน้อยนิดของนายประเวศและ NGO อำมาตย์ทั้งหลายเท่านั้น

ประการที่สี่ การปฏิรูปประเทศไทยนั้นต้องนำสู่ความเป็นธรรม ความเสมอภาค ไม่เพียงแต่ทางการเมืองเท่านั้นต้องสร้างความเป็นธรรมเศรษฐกิจสังคมด้วยเช่น กัน เช่น ต้องมีการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินทั้งในเมืองและชนบท ซึ่งในหลายประเทศที่จริงได้ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวเนซูเอล่า จีน ฯลฯส่วนหนึ่งก็เพราะว่าอำนาจทางการเมืองของกลุ่มอำมาตย์ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ประการที่ห้า การปฏิรูปประเทศนั้น ต้องมีการปฏิรูประบบภาษีให้ก้าวหน้า ไม่ใช่เก็บภาษีล้าหลังเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ในประเทศปัจจุบัน โดยผ่านภาษีบริโภค โดยไม่มีภาษีที่ดิน ภาษีมรดก เหมือนนโยบายที่สำคัญของคณะราษฎรที่นำโดย ปรีดี พนมยงค์ และมาตรการภาษีที่ก้าวหน้าต้องใช้ได้กับทุกคนไม่มีอภิสิทธิ์ชนคนใดมีข้อยกเว้น ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้สังคม เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการให้ทุกคนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของชีวิตจากครรภ์มารดา สู่เชิงตะกอนได้อย่างเท่าเทียมถ้วนหน้า

ประการที่หก การปฏิรูปประเทศไทยท่ามกลางวิกฤตการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องปฏิรูปอำนาจรวมศูนย์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติด้วย เช่น กรมป่าไม้ กรมที่ดิน สำนักงานปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ เพื่อให้ชุมชนและภาคสังคมต่างๆมีส่วนร่วมตรวจสอบถ่วงดุลย์และเป็นการไม่เปิดช่องให้นายทุนอภิสิทธิ์ชน ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย เช่นกรณี เขายายเที่ยง เขาสอยดาว เป็นต้น ขณะที่ประชาชนผู้ยากไร้อาศัยอยู่ในป่ากลับถูกกฎหมายที่ไม่มีความยุติธรรมจับกุมคุมขัง

ประการที่เจ็ด การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายให้มีความยุติธรรมเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ระบบสองมาตราฐานอย่างที่เห็นและเป็นอยู่

ประการที่แปด การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องปฏิรูปความคิดจิตสำนึกให้คนในสังคมไทยรักประชาธิปไตย เคารพกติกาประชาธิปไตย เคารพความคิดเห็นที่แตกต่างโดยไม่มีความเกลียดชังกัน ซึ่งต้องปฏิรูประบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนด้วย

ประการที่เก้า การปฏิรูปประเทศไทย จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน ยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน และคืนเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นให้กับประชาชน ก่อนที่ความขัดแย้งจะลุกลามมากขึ้น และเมื่อหลายกลุ่มมีความคิดเห็นต่างกัน โดยกติกาประชาธิปไตยแล้ว ต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ให้พรรคการเมืองซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยหาเสียงสร้างนโยบายว่าจะ ปฏิรูปประเทศไทย จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร เพื่อให้ประชาชน เจ้าของเสียงสวรรค์อันแท้จริงได้พิจารณาเลือก

ดังนั้นการปฏิรูปประเทศไทย ของนายประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุณ รัฐบาลอภิสิทธิ์ และเครือข่ายอำมาตย์จึงเป็นเพียงกระบวนการขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น และบทเรียนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็บอกให้รับรู้ได้ว่าการปฏิรูปตามแนวทางอำมาตย์ทั้งหลาย ย่อมนำพาสังคมไทยสู่ความล้าหลังและดำรงอภิสิทธิ์ชนไว้ในสังคม มากกว่านำสู่ความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นประชาธิปไตย


นายอานันท์ ปันยารชุณ และนายประเวศ วะสี ได้นำพา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สภาองค์กรชุมชน คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายพลเมือง สภาพัฒนาการเมือง ฯลฯ และสื่ออย่างTPBS ร่วมกัน “ปฏิรูปประเทศไทย”

องค์กรต่างๆเหล่านี้ล้วนไม่สนับสนุนให้ยุบสภาและ ได้ออกมาเคลื่อนไหวปฏิรูปประเทศไทยนำร่องให้พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย องค์กรนำของพวกเขาไปก่อนแล้วและสอดประสานกันอย่างลงตัว

โดย เนื้อแท้แล้วพวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตยแม้เพียงพื้นฐาน ที่ทุกคนเท่ากันในการเลือกผู้ปกครองผู้บริหารประเทศแบบหนึ่งสิทธิ์หนึ่ง เสียง และพวกเขานิยมระบอบอำมาตยาธิปไตยนั่นเอง และพวกเขาหลายคนชอบเข้าสมัครสมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระต่างๆแบบแต่งตั้งจากอำมาตย์มากกว่าการเลือกตั้งจากประชาชนอยู่ เป็นประจำ

การปฏิรูปประเทศไทยขอเครือข่ายอำมาตย์เหล่านี้ ย่อมนำสู่สังคมไทยล้าหลังถอยหลังเข้าคลองและบิดเบือนการปฏิรูปประเทศอย่าง ที่ควรจะเป็น เนื่องจากว่ามีเหตุผลอย่างน้อย 9 ประการ คือ

ประการ แรก การปฏิรูปประเทศไทย ที่สำคัญคือการปฏิรูประบบราชการ กลไกราชการส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกองทัพ ซึ่งล้วนเป็นจักรกลของระบอบอำมาตย์ทั้งสิ้นที่คอยขัดขวางการพัฒนา ประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า เช่น การรัฐประหาร การแทรกแซงทางการเมือง และมีระดับขั้นในการบังคับบัญชาโดยสมาชิกพื้นฐานเช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อยไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด รวมทั้งภาคสังคมตรวจสอบถ่วงดุลไม่ได้ ก่อให้เกิดการคอรัปชั่นดั่งกรณี GT 200 ตลอดทั้งใช้งบประมาณมากขึ้นของกองทัพในรอบ 18 ปี หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 49

ประการที่สอง การปฏิรูปประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ด้วยไม่เพียงต้องสร้างนโยบายและกฎหมาย เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่ล้าหลังขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยในหลายมาตรา การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยต้องลดอำนาจนอกระบบ เช่น ให้อำนาจกับกระบวนการตุลาการมากเกินไปโดยไม่ได้เชื่อมโยงกับประชาชนแต่อย่าง ใด สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งถึง 74 คน ฯลฯ และต้องเพิ่มพื้นที่ประชาธิปไตยให้มากขึ้น เช่น การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การมีระบบศาลลูกขุน การให้สิทธิคนงานเลือกตั้งผู้แทนทุกระดับในสถานที่ประกอบการ ฯลฯ

ประการ ที่สาม การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม (เหมือนสูตรที่นายประเวศท่องจำตลอดเวลา แต่กลับไม่นำมาใช้มาปฏิบัติ) ซึ่งต้องมีกระบวนการจากล่างสู่บนเหมือนเช่นกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 40 ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากภาคส่วนสาขาอาชีพต่างๆ มิใช่เพียงภาคประชาชน ภาคประชาสังคม เพียงน้อยนิดของนายประเวศและNGO อำมาตย์ทั้งหลายเท่านั้น

ประการ ที่สี่ การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องนำสู่ความเป็นธรรม ความเสมอภาค ไม่เพียงแต่ทางการเมืองเท่านั้นต้องสร้างความเป็นธรรมเศรษฐกิจสังคมด้วยเช่น กัน เช่น ต้องมีการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินทั้งในเมืองและชนบท ซึ่งในหลายประเทศที่จริงได้ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวเนซูเอล่า จีน ฯลฯส่วนหนึ่งก็เพราะว่าอำนาจทางการเมืองของกลุ่มอำมาตย์ได้ลดลงอย่างเห็นได้ ชัด

ประการที่ห้า การปฏิรูปประเทศนั้น ต้องมีการปฏิรูประบบภาษีให้ก้าวหน้า ไม่ใช่เก็บภาษีล้าหลังเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ในประเทศปัจจุบัน โดยผ่านภาษีบริโภค โดยไม่มีภาษีที่ดิน ภาษีมรดกเหมือนนโยบายที่สำคัญของคณะราษฎรที่นำโดย ปรีดี พนมยงค์ และมาตรการภาษีที่ก้าวหน้าต้องใช้ได้กับทุกคนไม่มีอภิสิทธิ์ชนคนใดมีข้อยก เว้น ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้สังคม เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการให้ทุกคนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของชีวิตจากครรภ์มารดา สู่เชิงตะกอนได้อย่างเท่าเทียม ถ้วนหน้า

ประการที่หก การปฏิรูปประเทศไทยท่ามกลางวิกฤตการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องปฏิรูปอำนาจรวมศูนย์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติด้วย เช่น กรมป่าไม้ กรมที่ดิน สำนักงานปฏิรูปที่ดิน ฯลฯ เพื่อให้ชุมชนและภาคสังคมต่างๆมีส่วนร่วมตรวจสอบถ่วงดุลย์และเป็นการไม่เปิด ช่องให้นายทุนอภิสิทธิ์ชน ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างง่ายดาย เช่นกรณี เขายายเที่ยง เขาสอยดาว เป็นต้น ขณะที่ประชาชนผู้ยากไร้อาศัยอยู่ในป่ากลับถูกกฎหมายที่ไม่มีความยุติธรรมจับ กุมคุมขัง

ประการที่เจ็ด การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายให้มีความยุติธรรม เท่าเทียมกันไม่ใช่ระบบสองมาตราฐานอย่างที่เห็นและเป็นอยู่

ประการ ที่แปด การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องปฏิรูปความคิดจิตสำนึกให้คนในสังคมไทยรักประชาธิปไตย เคารพกติกาประชาธิปไตย เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยไม่มีความเกลียดชังกัน ซึ่งต้องปฏิรูประบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนด้วย

ประการ ที่เก้า การปฏิรูปประเทศไทย จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน ยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน และคืนเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นให้กับประชาชน ก่อนที่ความขัดแย้งจะลุกลามมากขึ้น และเมื่อหลายกลุ่มมีความคิดเห็นต่างกัน โดยกติกาประชาธิปไตยแล้ว ต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ให้พรรคการเมืองซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยหาเสียงสร้างนโยบายว่าจะ ปฏิรูปประเทศไทย จะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร เพื่อให้ประชาชน เจ้าของเสียงสวรรค์อันแท้จริงได้พิจารณาเลือก

ดังนั้นการปฏิรูป ประเทศไทย ของนายประเวศ วะสี นายอานันท์ ปันยารชุณ รัฐบาลอภิสิทธิ์และเครือข่ายอำมาตย์จึงเป็นเพียงกระบวนการขัดขวางการพัฒนา ประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น และบทเรียนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็บอกให้รับรู้ได้ว่าการปฏิรูปตามแนวทางอำมาตย์ทั้งหลาย ย่อมนำพาสังคมไทยสู่ความล้าหลังและดำรงอภิสิทธิ์ชนไว้ในสังคม

มากกว่า นำสู่ความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นประชาธิปไตย


ประเทศไทยต้องมีการเลือกตั้ง

แปลจาก Thailand Must Hold Elections

เดอะ คาเนเดี้ยน เพรส (The Canadian Press) รายงานข่าวโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม แถลงข่าวที่โตเกียว

นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดการกลุ่มคนเสื้อแดงที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ชี้ให้เห็นชัดว่า รัฐบาลไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนและกลัวการกลับมาของ พ.ต.ท. ทักษิณ ผู้ซึ่งรัฐบาลได้เรียกว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่อยู่เบื้องหลังความไม่สงบต่างๆ

พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกยึดอำนาจโดยคณะรัฐประหาร ใน พ.ศ. 2549

การเลือกตั้งใหม่ เป็นข้อเรียกร้องสูงสุดของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ที่ประกอบไปด้วยประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด, คนยากจน, นักประชาธิปไตย, และนักการเมืองฝ่าย พ.ต.ท. ทักษิณ แม้ขณะนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ โดยกำลังถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริต คอร์รัปชั่น แต่ยังคงมีผู้ที่จงรักดีต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากนโยบายที่ช่วยคนจน ชาวรากหญ้า ให้ได้ลืมตาอ้าปากได้

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้ออกหมายจับ พ.ต.ท. ทักษิณ ในข้อหาก่อการร้ายด้วย ซึ่งนายอัมสเตอร์ดัมเห็นว่า เป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดและยังลดโอกาสในการได้ตัว พ.ต.ท. ทักษิณ กลับมารับโทษ เนื่องจากข้อหาที่ตั้งขึ้นมา เป็นข้อหาหนัก

“ผมคิดว่าพวกเขา (รัฐบาลไทย) เดินเกมผิดพลาดอย่างแรง ที่ไปกล่าวหา พ.ต.ท. ทักษิณ ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งทำให้โอกาสที่จะร้องขอให้ต่างประเทศส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณ กลับมารับโทษในไทยริบหรี่ลงไป เพราะข้อหาเหล่านี้เป็นข้อหารุนแรง มีโทษถึงประหารชีวิต..”

“คนเหล่านี้ (รัฐบาลไทยและผู้อยู่เบื้องหลัง) เกรงกลัวทักษิณ” นายอัมสเตอร์ดัม กล่าวต่อ “พวกเขากลัวคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างแท้จริง..”

Resource: Thailand Must Hold Elections

The Canadian Press covers the Robert Amsterdam press conference in Tokyo.

Robert Amsterdam, who represents Thaksin, said the government’s handling of the Red Shirt protests demonstrated it does not have the support of the people and fears the return of Thaksin, whom it has called a terrorist for allegedly fomenting the unrest.

Thaksin was ousted in a 2006 coup.

New elections are a top demand of the Red Shirt movement, which is made up of urban and rural poor, democracy activists and politicians loyal to Thaksin. Now in self-exile in Europe, Thaksin faces charges of corruption and abuse of power but commands a strong following because of his populist policies.

The Thai government has also issued a warrant for Thaksin’s arrest on terrorism charges, a move Amsterdam said was a tactical mistake.

“I think they made a serious mistake in calling him a terrorist,” Amsterdam said. “I think they have reduced their chances of any country extraditing him” because of the possibility of a death penalty that the charges carry.

“These people are scared of Thaksin,” he said. “They are scared of someone elected by the people.”



หยุดพ.ร.ก.ฉกฉวย หยุดข่มขืนประเทศไทย

หยุดพ.ร.ก.ฉกฉวย หยุดข่มขืนประเทศไทย
เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
ที่มา: โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 263 วันที่ 12-18 มิถุนายน 2553 หน้า 8


“ต่อไปนี้จะไม่ตอบคำถามเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วนะครับ เพราะถามทุกวัน”
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตอบผู้สื่อข่าว ถึงความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่ามี 3-4 จังหวัดที่อาจยกเลิกได้ก่อน โดยนายสุเทพให้เหตุผลที่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปว่า เป็นหน้าที่ที่จะทำให้บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย

จับกุมแล้ว 422 คน

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเผย การจับกุมผู้กระทำผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น422 คน ส่วนใหญ่ถูกควบคุมในเรือนจำ ซึ่งถือว่าขัดกับ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และก่อนหน้านี้ก็ไม่เปิดเผยรายชื่อและสถานที่ควบคุมตัวอีกด้วย จนกระทั่งองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรในประเทศออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจึงเปิดเผยรายชื่อผู้ถูกจับกุมและสถานที่ควบคุมตัว

ส่วนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้ มีการโอนคดีข้อหาก่อการร้ายทั้งหมดมาอยู่กับดีเอสไอ 151 สำนวน แต่ยังไม่รวมสำนวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษถาคมอีกกว่า 70 สำนวน นอกจากนี้ ยังรับข้อมูลชายชุดดำที่ก่อเหตุลอบยิงทหารและประชาชน (ไม่มีคดีทหารยิงประชาชน) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำพยาน

พ.ร.ก.ฉุกเฉินผิดกฎหมาย?

อย่างไรก็ตาม มีการตีความและฟ้องร้องถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะในขณะนั้น ไม่ได้มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแต่อย่างใด แม้จะมีกลุ่ม นปช. จำนวนหนึ่ง บุกเข้าไปในรัฐสภาก็ตาม แต่หลังจากนั้นกลุ่ม นปช. ก็กลับออกมาโดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ

ขณะที่นายสุเทพกล่าวกับคณะรัฐมนตรี ถึงเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมายแก้ปัญหา โดยจะมีการยกระดับการใช้กฎหมายมากขึ้น โดยเริ่มจากเบาไปหาหนัก ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีแนวโน้มต้องใช้ในการสลายการชุมนุม เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมอาจยกระดับความเข้มข้นและความรุนแรง

แต่การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่นานกว่า 2 เดือน และมีแนวโน้มว่าจะยาวไปถึงปลายปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ถือว่า ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะคำว่า “ฉุกเฉินร้ายแรง” บ่งบอกความหมายชัดเจนแล้ว ว่าบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง ถ้าไม่มีสถานการณ์ร้ายแรง รัฐบาลก็ต้องยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีอำนาจไม่ต่างจากอำนาจของคณะปฏิวัติรัฐประหาร

ข้องใจข้อหาก่อการร้าย

แต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ให้รัฐมนตรีทุกคน ลงชื่อขอแต่งตั้งทนาย เพื่อใช้ต่อสู้ในข้อกล่าวหาของกลุ่ม นปช. ที่ฟ้องร้องกรณีที่รัฐบาลสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวี และการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังให้จัดทำเอกสารที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจประเด็นการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยกำชับให้รัฐมนตรีนำไปชี้แจง หากเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงกับบรรดาทูต นักธุรกิจ และสื่อต่างชาติไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังข้องใจ เรื่องการใช้กำลังสลายการชุมนุม การก่อตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย และที่มาของอาวุธจำนวนมาก

แม้นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ดำเนินการตามกฎหมายอาญาและตามคำจำกัดความ “ก่อการร้าย” ที่สอดคล้องกับกฎหมายของสหประชาชาติก็ตาม แต่การตั้งข้อหาดังกล่าวก็มาจากอำนาจในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับการกวาดล้างคนเสื้อแดง และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามในขณะนี้

ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดังนั้นหลายประเทศจึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับองค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการจำนวนมากที่เห็นว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน นอกจากขัดกับรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการใช้อำนาจที่ครอบจักรวาลเพื่อสร้างความชอบธรรมและเสถียรภาพของรัฐบาล มากกว่าเพื่อความมั่นคงและประโยชน์สุขของประชาชน

อย่างองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเลิกควบคุมตัวแกนนำและผู้ประท้วง นปช. ในสถานที่ลับ เพราะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังปราศจากการตั้งข้อหาที่มีหลักฐานชัดเจนอีกด้วย ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะนำตัวไปดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปรกติ หรือไม่ก็ปล่อยตัวไป

เช่นเดียวกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในไทย และนักวิชาการต่อก็เรียกร้องให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนผู้ถูกจับกุมก็ต้องถือเป็น “ผู้มีความคิดเห็นทางการเมือง” แตกต่างจากรัฐ เป็น “นักโทษทางการเมือง” ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

ย้อนจุดยืน “อภิสิทธิ์”

แม้แต่ศาลเองยังถูกตั้งคำถามการยอมรับอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากกว่ารัฐธรรมนูญและข้อบังคับของกฎหมายปรกติ เหมื่อนที่ศาลถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงยังยอมรับอำนาจการปฏิวัติรัฐประหารที่ถือเป็น โจราธิปัตย์ ซึ่งครั้งที่นายอภิสิทธ์ เป็นผู้นำฝ่ายค้านก็เคยต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่เห็นชอบพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นัยว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ หรือต่อต้านการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศใช้เฉพาะบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ หรือรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ประกาศใช้เฉพาะพื้นที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้าปิดล้อม

เช่นเดียวกับนักธุรกิจทั้งสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ นักวิชาการและสมาคมสื่อต่างๆ ก็ออกมาต่อต้านและโจมตีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในรัฐบาลนายสมัครและนายสมชาย แต่วันนี้ นอกจากไม่ต่อต้านแล้วยังสนับสนุนอีก ทั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ไม่ได้ฉุกเฉินเลวร้ายตามที่กำหนดไว้ในพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ซึ่งส่งผล กระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างมากมาย

กฎหมายติดหนวด

แต่ที่น่าวิตกคือการใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉินเกินกว่าเหตุ หรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลและพวกพ้องมากกว่าความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชน เพราะไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ยอมยกเลิก กลับเร่งกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งพยายามปิดสื่อทุกชนิดที่เสนอข้อมูลข่าวสารตรงข้ามกับรัฐบาล ซึ่งไม่ต่างจากรัฐบาลเผด็จการ ที่วันนี้ปิดเว็บไซต์ ปิดพีทีวี ปิดสิ่งพิมพ์ และปิดวิทยุชุมชนไปแล้วมากมาย ทั้งที่รัฐธรรมนูญเองก็ไม่สามารถทำได้

ที่สำคัญ ยังเป็นการประจานแผนปรองดองของรัฐบาลเองว่าไม่มีควาจริงใจ หรือเป็นแค่การตีสองหน้า เพื่อสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ กับการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เกือบ 100 ราย แลบาดเจ็บกว่า2,000 ราย อย่างที่นายบุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ นักวิชาการคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ส่งแถลงการณ์เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออก

“ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกนำมารับโทษ นักวิชาการที่ออกมาสนับสนุนการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ”

พ.ร.ก.ฉกฉวย

สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ จึงไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เลย ที่รัฐบาลจะยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ยกเว้นแต่รัฐบาลต้องการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงต้องเรียกว่าพ.ร.ก.ฉกฉวย เพื่อให้รัฐบาลใช้กล่าวหาและกวาดล้างคนเสื้อแดง รวมถึงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเต็มที่แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม แค่สงสัยหรือกล่าวหาก็สามารถจับกุมได้แล้ว แม้แต่การสั่งให้ทหารฆ่าและทำร้ายประชาชน

นายอภิสิทธิ์จึงไม่ใช่แค่ “ผู้นำมือเปื้อนเลือด” ธรรมดา แต่ต้องถือว่าเป็นผู้นำที่มีใจโหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่ารัฐบาลเผด็จการที่ผ่านมา แม้แต่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬยังต้องอาย

สังคมไทยวิปริต

และที่น่าวิตกอย่างยิ่งคือความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ นั้น แทบไม่พูดถึงประชาชนที่เสียชีวิต และบาดเจ็บมากมายในเหตุการณ์ 10 เมษายน และ 13-19 พฤษภาคมเลย แต่กลับให้ความสำคัญกับศูนย์การค้าและอาคารต่างๆ ที่ถูกเผา รวมทั้งสนุกสนานกับการช็อปปิ้งและดารได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างคนเมืองหลวงอีกครั้งเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่หลงปลาบปลื้มไปกับวาทกรรม “ศรีธนญชัย” ของนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความปรองดอง การปฏิรูปประเทศ หรือปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีอะไรชัดเจน หรือเป็นแค่การฟอกตัวและสร้างความชอบธรรมเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไปเท่านั้น

คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยโศกเศร้ากับการฆ่าที่โหดเหี้ยมหรือเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพแสดงความรับผิดชอบ หรือเร่งสอบสวนเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ

ขณะที่รัฐบาลและศอฉ. ยังคงยัดเยียดข้อมูลข่าวสารด้านเดียวให้กับประชาชน พร้อมกับใช้อำนาจในพ.ร.ก.ฉุกเฉินเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ เพื่อเร่งกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยคนไทยส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวที่ถูกเรียงคิวข่มขืน โดยมีคนนั่งดูอยู่ทั่วบ้านเมืองเหมือนไม่มีอะไร เพราะคนข่มขืนบอกว่าตัวเองรูปหล่อและใช้ถุงยางป้องกันอย่างดี คนถูกข่มขืนจึงน่าจะมีความสุขอย่างเต็มใจ

ถือเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดเปรียบเสทอนผู้หญิงที่ถูกข่มขืน โดยสามีถูกจับมัดให้นั่งดู ส่วนลูกถูกปิดตาให้ฟังแต่เสียง แทนที่แม่จะร้องอย่างทุกข์ทรมานกลับร้องครวญครางอย่างมีความสุข เพราะสมยอมคนข่มขืนที่รูปหล่อและสัญญาอะไรก็ได้ที่จะทำให้มีความสุขแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

หยุดข่มขืนชาติ

จึงเป็นความจริงที่เจ็บปวดและปวดร้าวของสังคมไทยที่ ถูกบังคับให้ละเลย ไร้สำนึก มองข้ามเหตุการณ์ความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นจากทหารนับหมื่นที่มีอาวุธสงคราม และรถถังดาหน้าเข้าล้อมปราบประชาชนผู้บริสุทธิ์ คิดถึงเพียงความสุขที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับขบวนการโกหก ตอแหล บิดเบือน อย่างหน้าชื่นตาบาน

สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่วิกฤต แต่ทั้งวิปริตและอาเพศ เพราะประชาชนหน้ายิ้มระรื่นยอมรับอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลฉกฉวยมาใช้อย่างครอบจักรวาล ทั้งที่รัฐบาลก็แถลงเองว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้สามารถควบคุมได้ ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ไม่ได้ฉุกเฉินเลวร้าย ขนาดนายอภิสิทธิ์ยังได้ใช้เวทีต่างประเทศที่เวียดนามประกาศชัดเจนว่าประเทศ ไทยกลับสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว แต่คล้อยหลังไม่กี่วันกลับยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปนานนับเดือน และไม่มีทีท่าว่าจะเลิกใช้แต่อย่างใด

พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็น พ.ร.ก.ฉกฉวย ที่ไม่ต่างอะไรกับการใช้อำนาจเผด็จการเพื่อกวาดล้างและปราบปรามประชาชนที่ เป็นฝ่ายตรงข้าม

หยุด พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที! หยุดข่มขืนประเทศไทยได้แล้ว!