ความเห็นต่างคืออาชญากรรม!

เรื่องสถาบันเบื้องสูงกลายเป็นประเด็นทางการ เมืองและประเด็นทางสังคมไทยอีกครั้ง หลังจากทหารออกมาตบเท้าแสดงพลังสนับสนุนผู้บัญชาการทหารบกในการปกป้องสถาบัน พร้อมกับคำสั่งให้สนธิกำลังของรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภาย ใน (รอง ผอ.กอ.รมน.) ตรวจสอบการหมิ่นสถาบันทางสถานีวิทยุชุมชน เว็บไซต์ และอินเทอร์เน็ต เพื่อให้แจ้งเบาะแสและข้อมูลการละเมิดสถาบันไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) และตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่ กอ.รมน. อ้างถึงการส่งทหารลงพื้นที่ต่างๆขณะนี้ว่าเพื่อทำความเข้าใจ เผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน และสร้างความรักความสามัคคี ซึ่งเป็นแนวทางการสนับสนุนการเลือกตั้งเหมือนปี 2550 ทั้งที่ผู้นำกองทัพออกมาแถลงยืนยันจะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆกับการเมืองและการ เลือกตั้ง ยกเว้นในฐานะประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

หลังจากนั้นไม่กี่วันการสนธิกำลังระหว่าง กอ.รมน. กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และตำรวจท้องที่ เข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายและดำเนินการโดยไม่ได้ รับอนุญาต 13 แห่งในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา รวมทั้งตรวจสอบการโพสต์ข้อความต่างๆทางเว็บไซต์

การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่าง มากว่าเหมือน “ดึงฟ้าต่ำ” และกำลังทำให้สถาบันเสื่อมเสีย และแบ่งแยกแผ่นดิน แบ่งแยกประชาชน

โดยเฉพาะช่วงที่กำลังจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งมีคำถามเรื่องความเหมาะสม และเป็นการเลือกปฏิบัติหรือ 2 มาตรฐานหรือไม่ เพราะการดำเนินการกับวิทยุชุมชนซึ่งรู้ดีว่าเป็นสื่อของคนเสื้อแดงว่าเข้า ข่ายกระทำผิดกฎหมาย เพราะออกอากาศโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องดำเนินการกับวิทยุชุมชนทุกแห่งในความผิดเดียวกัน

แต่ถ้าเป็นความผิดที่อาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูงต้องให้เป็นไปตาม กระบวนการยุติธรรมและศาลตัดสิน อย่างที่นายสุเทพ วิไลเลิศ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ชี้ว่าใบอนุญาตวิทยุชุมชนที่ลงทะเบียนกว่า 6,000 แห่งนั้นเป็นปัญหามายาวนาน โดยทั้งหมดจะได้ใบอนุญาตทดลองออกอากาศ 300 วัน แต่ไม่มีใครได้ใบอนุญาตจริงๆ เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และ กสทช. ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ โดยมีข่าวว่าเพิ่งให้ใบอนุญาตได้เพียง 16 ราย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นการใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นมาไป ควบคุมความเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่าง เป็นการใช้อำนาจรัฐเหมือนเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งครั้งนั้น คปส. ได้รายงานเรื่อง “การแทรกแซงวิทยุชุมชนภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองประเทศไทย ความเห็นต่างคืออาชญากรรม” โดยหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้มีการปิดวิทยุชุมชน 47 สถานี ผู้เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนถูกออกหมายจับและดำเนินคดี 49 ราย สถานีถูกขึ้นบัญชีดำอีก 84 แห่ง

แต่ครั้งนี้นายจุติพงษ์ พุ่มมูล เลขาธิการชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ กสทช. เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ กอ.รมน. ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 เพราะเห็นว่าเป็นการเลือกปฏิบัติกับผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล หากเห็นว่ามีเนื้อหารายการพาดพิงให้ใครเสียหายสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องได้ ไม่ใช่มาปิดสถานี

ขณะที่ น.ส.สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มนิติราษฎร์ ออกมาประณามการปิดเว็บไซต์และวิทยุชุมนุมว่าเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็นของประชาชน

“การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ขาดความชัดเจน แม้แต่การปิดสถานีวิทยุชุมชนก็เข้าข่ายกระทำผิดหลายอย่าง ข้ออ้างที่ใช้ปิดส่วนมากคือไม่ได้รับอนุญาตกับหมิ่นเบื้องสูง ถ้าจะเอากันตามนี้ถามว่ามีสถานีอื่นอีกมากทำไมไม่ดำเนินการ แต่กลับกระทำในสิ่งที่สังคมสงสัยว่าเลือกปฏิบัติ ใช้กฎหมายหลายมาตรฐาน หากจะใช้ข้ออ้างนี้ต้องทำกับทุกสถานีให้เท่าเทียมกันเพื่อความยุติธรรม”

น.ส.สาวตรีจึงเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันพูดถึงประเด็นนี้ให้อยู่ในกระแส ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้ร่วมกันว่ามีการกระทำ 2 มาตรฐานเกิดขึ้นจริง ผู้เกี่ยวข้องจะได้รีบแก้ไข หากปล่อยให้เรื่องผ่านไปเฉยๆจะทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ คนใช้กฎหมายจะไม่มีประสิทธิภาพ ควรจะมีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เกิดความ ชัดเจน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงต้องถามทั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะกองทัพว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการ!

ที่มา : โลกวันนี้ 2 พ.ค. 2554 โดย กฤตภาค


ประชนชนลุกฮือที่อียิปต์

ไทย อีนิวส์ ขอขั้นจังหวะความร้อนแรงทางการเมืองไทยด้วยการนำเสนอภาพและข่าว สถานการณ์การลุกขึ้นสู้ที่อียิปต์ ขอบคุณกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เลี้ยวซ้าย สำหรับบทความที่ช่วยทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ในอียิปต์ได้ดีขึ้น

หลังจากที่ประชาชนตูนีเซียลุกฮือล้มเผด็จการในกลางเดือนมกราคม วิญญาณเสรีภาพก็แพร่กระจายสู่ประเทศอื่นๆ ในอัฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง ในอียิปต์มวลชนออกมาสู้กับตำรวจปราบจลาจลอย่างดุเดือด หลายร้อยคนถูกจับ บางคนเสียชีวิต และขณะนี้เราไม่ทราบว่าจะจบอย่างไร แต่การต่อสู้ของมวลชนแบบนี้ย่อมสร้างความเกรงกลัวกับอำมาตย์ทั่วโลก

ประเทศ อียิปต์มีความสำคัญมากในแถบนี้เพราะเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรเกือบ 80 ล้านคน มีกรรมาชีพโรงงานและกรรมาชีพภาคบริการจำนวนมากด้วย ทั้งนี้เพราะเกษตรกรรายย่อยถูกผลักออกจากที่ดินไปและมากระจุกในเมืองไคโร เมืองอาเลคซานตรา และเมืองอื่นๆ การเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน ซึ่งให้พลังกับการต่อสู้ของชาวตูนีเซีย ยังไม่ปรากฏให้เห็นชัดที่อียิปต์ อาจเป็นเพราะสหภาพเสรีถูกปราบและต้องทำงานกึ่งใต้ดิน อย่างไรก็ตาม เมื่อ ปี 2008 มีการรวมตัวกันและลุกฮือนัดหยุดงานของคนงานสิ่งทอจำนวนมากที่ Mahalla

อียิปต์มีความสำคัญในแง่อื่นด้วย คือเป็นประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐสูงเป็นอันดับสองรองจากอิสราเอล การที่สหรัฐสนับสนุนเผด็จการในอียิปต์ ก็เพื่อหวังควบคุมน้ำมันในตะวันออกกลางและคลองซุเอส ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญ อียิปต์เป็นประเทศที่เชื่อมอย่างใกล้ชิดกับชาวปาเลสไตน์ในแถบกาซา และมวลชนอียิปต์มักจะลุกฮือต้านเผด็จการของตนเองพร้อมกับเรียกร้องเสรีภาพ ให้ชาวปาเลสไตน์

อียิปต์ถูกยึดครองโดยจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งพยายามแทรกแซง การเมืองในประเทศนั้นเรื่อยมาจนถึงทศวรรษที่ 50 หลังจากนั้นสหรัฐก็เข้ามามีบทบาท เดิมเมื่ออียิปต์ได้เอกราชจะมีกษัตริย์ปกครอง แต่ถูกกลุ่มทหารหนุ่มโค่นล้มในปี1952 ในที่สุด Gamal Abdel Nasser แกนนำของขบวนการกู้ชาติและล้มเจ้า ก็ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเผด็จการ Nasser เป็นนักการเมืองเอียงซ้ายชาตินิยม ที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตก และทุกวันนี้พวก “นิยมนัสเซอร์” ก็มีจุดยืนแบบนั้น แต่ในปี 1970 เมื่อ Nasser เสียชีวิต การเมืองอียิปต์เริ่มเปลี่ยนไปเข้าค่ายสหรัฐอเมริกาและใช้แนวเสรีนิยมกลไก ตลาดซึ่งทำให้คนธรรมดายากจนลงและเดือดร้อน

ผู้นำเผด็จการปัจจุบันของอียิปต์คือประธานาธิบดี Hosni Mubarak ซึ่งเข้ามามีอำนาจในปี ค.ศ. 1981 และครองอำนาจเผด็จการมา 30 ปีผ่านการโกงการเลือกตั้งและการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะเตรียมลูกชาย Gamal Mubarak เพื่อสืบทอดอำนาจ และตามถนนหนทางมักจะมีภาพขนาดใหญ่ของ Mubarak แต่เมื่อประชาชนลุกฮือมีการฉีกภาพและใช้เท้ากระทืบเพื่อแสดงความไม่พอใจ

ขบวนการประชาธิปไตยในอียิปต์ เริ่มรวมตัวกันในองค์กร Kefaya ในปี 2004 และมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง องค์กรนี้เป็นแนวร่วมระหว่างฝ่ายซ้ายกับแนว “นิยมนัสเซอร์” โดยที่พรรคอิสลามมีบทบาทน้อย สิ่งที่น่าสังเกตคือในการลุกฮือที่ตูนีเซีย และอียิปต์ปีนี้ ขบวนการอิสลามไม่มีส่วนในการนำ ในอียิปต์พรรค “พี่น้องมุสลิม” เคยเป็นฝ่ายค้านหลักที่ถูกปราบปรามบ่อย แต่ตอนนี้เลือกที่จะประนีประนอมกับรัฐ

การลุกฮือของมวลชนอัฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจกับเราได้ มันพิสูจน์ว่ามวลชนในทุกประเทศลุกฮือและเป็นพลังสำหรับประชาธิปไตยได้ แต่เรามีเรื่องเตือนใจด้วย เพราะตราบใดที่มวลชนไม่จัดตั้งทางการเมืองอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในรูปแบบสังคมนิยมปฏิวัติ ฝ่ายอำนาจเก่ากลับเข้ามาได้เสมอ การต่อสู้ในแถบนี้ยังไม่จบ และจะไม่จบง่ายๆ เราต้องสนับสนุนและให้กำลังใจกับพี่น้องเราจนกว่าเขาจะชนะ

ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ ไทยอีนิวส์


ลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 (ตอนที่ 3)

ลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 (ตอนที่ 3)
credit to Sahanut Maneekul

5 ตุลาคม 2519

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ โดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกฯ

นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งสู่ธรรมศาสตร์ มีการประกาศงดสอบทุกสถาบัน ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวใหญ่ที่ทำพร้อมกันทั่วประเทศ ตกเย็น จำนวนผู้ร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นนับหมื่นคน จึงย้ายการชุมนุมจากบริเวณลานโพธิ์มายังสนามฟุตบอล

มหาวิทยาลัยรามคำแหงประกาศงดการสอบไล่โดยไม่มีกำหนด

ในตอนเช้า หนังสือพิมพ์ดาวสยาม และบางกอกโพสต์ เผยแพร่ภาพการแสดงล้อการแขวนคอของนักศึกษาที่ลานโพธิ์ โดยพาดหัวข่าวเป็นเชิงว่าการแสดงดังกล่าวเป็นการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

นางนงเยาว์ สุวรรณสมบูรณ์ เข้าแจ้งความต่อนายร้อยเวรสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ให้จับกุมผู้แสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์สยามมกุฎราชกุมาร

9.30 น. ที่ประชุมสหภาพแรงงาน 43 แห่ง มีมติจะเข้าพบ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เพื่อยื่นข้อเสนอให้พระถนอมออกนอกประเทศ และสภาแรงงานจะนัดหยุดงานทั่วประเทศภายในวันที่ 11 ตุลาคม

10.00 น. สถานีวิทยุยานเกราะเปิดรายการพิเศษ เสียงของ พ.ท.อุทาร สนิทวงศ์ กล่าวเน้นเป็นระยะว่า “เดี๋ยวนี้การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ไม่ใช่เป็นเรื่องต่อต้านพระถนอมแล้ว หากแต่เป็นเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”

13.30 น. นักศึกษารามคำแหงเตรียมออกเดินทางไปสมทบที่ธรรมศาสตร์ 25 คันรถ

15.30 น. นักศึกษารามคำแหงที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมคัดค้านพระถนอม ยื่นหนังสือถึงรองอธิการบดีให้มีการสอบไล่ต่อไป

17.30 น. พ.อ.อุทาร ออกประกาศให้คณะกรรมการชมรมวิทยุเสรี และผู้ร่วมก่อตั้งไปร่วมประชุมที่สถานีวิทยุยานเกราะเป็นการด่วน

19.00 น. ประธานรุ่นลูกเสือชาวบ้าน เขตกรุงเทพฯ ได้ประชุมที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน โดยมี พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน และอาคม มกรานนท์ เป็นผู้กล่าวในที่ประชุมว่า จะต่อต้าน ศนท. และบุคคลที่อยู่ในธรรมศาสตร์

20.35 น. ชมรมวิทยุเสรี ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งว่า “ขณะนี้มีกลุ่มคนก่อความไม่สงบ ได้ดำเนินการไปในทางที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้ มีการนำธงชาติคลุมตัวละครแสดงเป็นคนตายที่ข้างถนนหน้ารัฐสภา มีการใช้สื่อมวลชนที่มีแนวโน้มเอียงเช่นเดียวกับผู้ก่อความไม่สงบ  ลงบทความ หรือเขียนข่าวไปในทำนองที่จะทำให้เกิดช่องว่างในบวรพุทธศาสนา มีนักศึกษาผู้หนึ่งทำเป็นผู้ถูกแขวนคอ โดยผู้ก่อความไม่สงบที่มีใบหน้าคล้ายกับพระราชวงศ์ชั้นสูงองค์หนึ่ง พยายามแต่งใบหน้าเพิ่มเติมให้เหมือน” ทั้งนี้พยายามจะแสดงให้เห็น ว่า กรณีพระถนอมและผู้ที่ถูกแขวนคอเป็นเพียงข้ออ้างในการชุมนุมก่อความไม่สงบเท่านั้น แต่ความจริงต้องการทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นับเป็นครั้งแรกที่สถานีวิทยุยานเกราะ และชมรมวิทยุเสรี เรียกกลุ่มนักศึกษาประชาชนที่ธรรมศาสตร์ว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” ซึ่งแถลงการณ์ได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ชมรมวิทยุเสรีคัดค้านการกระทำดังกล่าวในทุกๆ กรณี ขอให้รัฐบาลจัดการกับผู้ทรยศเหล่านี้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการนองเลือดอันอาจจะเกิดขึ้น หากให้ประชาชนชุมนุมกันแล้วอาจมีการนองเลือดขึ้นก็ได้” นับเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่สถานีวิทยุยานเกราะและชมรมวิทยุเสรีกล่าวคำว่า “อาจมีการนองเลือดขึ้น”

21.00 น. พล.ต.ต.เจริญฤทธิ์ สั่งให้ประธานลูกเสือชาวบ้าน (ลส.ชบ.) แจ้งแก่บรรดา ลส.ชบ.ที่ชุมนุมกันอยู่ ณ บริเวณพระบรมรูปทรงม้าว่า ให้ฟังสถานีวิทยุยานเกราะและชมรมวิทยุเสรีก่อนการเคลื่อนไหว

21.30 น. นายประยูร อัครบวร รองเลขาธิการฝ่ายการเมืองของ ศนท.ได้แถลงที่ อมธ. พร้อมกับนำ นายอภินันท์ บัวหภักดี นักศึกษาปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ และนายวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ นักศึกษาปีที่ 4 คณะศิลปศาสตร์ สมาชิกชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ และกล่าวว่าการแสดงดังกล่าวก็เพื่อแสดงให้เห็นความทารุณโหดร้ายอันเนื่องมา จากการฆ่าแขวนคอที่นครปฐม โดยมีการแต่งหน้าให้เหมือนสภาพศพ และการที่เลือกเอาบุคคลทั้งสองก็เพราะเป็นนักแสดงในมหาวิทยาลัย อีกทั้งตัวเล็กมีน้ำหนักเบา ไม่ทำให้กิ่งไม้หักง่าย การแสดงแขวนคอใช้วิธีผูกผ้าขาวม้ารัดรอบอกและผูกเชือกด้านหลังห้อยกับกิ่งไม้ จึงต้องใส่เสื้อทหารซึ่งมีตัวใหญ่เพื่อบังร่องรอยผ้าขาวม้าให้ดูสมจริง นายประยูรกล่าวว่า “ทางนักศึกษาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสถานีวิทยุยานเกราะและหนังสือพิมพ์ดาวสยามจึงให้ร้ายป้ายสีบิดเบือนให้เป็นอย่างอื่นโดยดึงเอาสถาบันที่เคารพมาเกี่ยวข้อง…”

21.40 น. รัฐบาลเสนีย์ออกแถลงการณ์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 แจ้งว่า “ตามที่ได้มีการแสดงละครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ศกนี้ มีลักษณะเป็นการหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์รัชทายาท รัฐบาลได้สั่งให้กรมตำรวจดำเนินการสอบสวนกรณีนี้โดยด่วนแล้ว” สถานีวิทยุยานเกราะและชมรมวิทยุเสรีออกอากาศตลอดคืนเรียกร้องให้ประชาชน และลูกเสือชาวบ้านไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจับกุมผู้กระทำการหมิ่นองค์สยามมกุฎราชกุมารมาลงโทษ

24.00 น. กรมตำรวจประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย พล.ต.อ.ศรีสุข มหินทรเทพ พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น พล.ต.ท.ณรงค์ มหานนท์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายนาย

6 ตุลาคม 2519

สถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศว่า พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร รองนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำขาดต่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลดำเนินการตามกฎหมายต่อ ศนท. ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างเด็ดขาด หากมีรัฐมนตรีหรือนักการเมืองคนใดเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ก็ให้จับกุมและลงโทษตามกฎหมายทันที

สุธรรม แสงประทุม กับกรรมการ ศนท. และตัวแทนชุมนุมนาฏศิลป์ฯ เดินทางไปขอพบนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ

01.40 น. กลุ่มคนประมาณ 100 คนได้บุกเข้าไปเผาแผ่นโปสเตอร์หน้าประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้านสนามหลวง กลุ่มคนที่อออยู่หน้าประตูพยายามจะบุกปีนรั้วเข้าไป มีเสียงปืนนัดแรกดังขึ้นและมีการยิงตอบโต้ประปรายแต่ไม่มีใครบาดเจ็บ

02.00 น. กลุ่มนวพลในนาม “ศูนย์ประสานงานเยาวชน” มีแถลงการณ์ความว่า “ขอให้รัฐบาลจับกุมกรรมการ ศนท. ภายใน 72 ชั่วโมง หากรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติได้ นวพลจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด”

03.00 น. สถานีวิทยุยานเกราะยังคงออกรายการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ตลอดทั้งคืน ส่วนภายในธรรมศาสตร์ยังมีการอภิปรายและแสดงดนตรีต่อไป แม้จะมีผู้พยายามบุกเข้ามหาวิทยาลัยและมีเสียงปืนดังขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ของ ศนท. ขึ้นอภิปรายบนเวทีขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ใช้อาวุธ ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น เจ้าหน้าที่หน่วยปราบจราจลยกกำลังมากั้นทางออกด้านสนามหลวง

05.00 น. กลุ่มคนที่ยืนอออยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยพยายามจะบุกปีนเข้าไปอีกครั้ง ยังคงมีการยิงตอบโต้ด้วยปืนพกประปราย

07.00 น. กลุ่มคนที่อออยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตั้งแต่ตอนตีหนึ่งพยายามบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยโดยใช้รถบัสสองคันขับพุ่งเข้าชนประตู ต่อมาก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น

07.50 น. ตำรวจหน่วยคอมมานโด หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) และตำรวจท้องที่ ล้อมอยู่โดยรอบมหาวิทยาลัย โดยมี พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ และพล.ต.ต.ยุทธนา วรรณโกวิท มาถึงที่เกิดเหตุและเข้าร่วมบัญชาการ

08.10 น. พล.ต.ต.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ บัญชาการให้ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) อาวุธครบมือบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตชด.มีอาวุธสงครามใช้ทุกชนิด ตั้งแต่เครื่องยิงระเบิด ปืนต่อสู้รถถัง ปืนเอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอช.เค. และปืนคาร์บิน ตำรวจบางคนมีระเบิดมือห้อยอยู่ครบเต็มอัตราศึก เสียงปืนดังรุนแรงตลอดเวลา ตำรวจประกาศให้นักศึกษายอมจำนน นักศึกษาหลายคนพยายามวิ่งออกมาข้างนอก จึงถูกประชาชนที่อยู่ภายนอกรุมประชาทัณฑ์ นักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมอยู่ข้างในแตกกระจัดกระจายหลบหนีกระสุน

08.18 น. ตชด.เข้าประจำการแทนตำรวจท้องที่ และมีกำลังใหม่เข้ามาเสริมอีก 2 คันรถ

08.25 น. ตชด.บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลายจุด พร้อมกับยิงกระสุนวิถีโค้ง และยิงกราดเข้าไปยังกลุ่มนักศึกษาซึ่งมีอยู่จำนวนมาก มีนักศึกษาถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิตทันทีหลายคน (ไทยรัฐ 7 ตุลาคม 2519)

08.30-10.00 น. นักศึกษาและประชาชนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยตลอดคืนต่างแตกตื่นวิ่งหนีวิถีกระสุนที่ ตชด.  และกลุ่มคนที่เข้าก่อเหตุได้ยิงเข้าใส่ฝูงชนอย่างไม่ยั้ง ทั้งๆ ที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของนักศึกษามีปืนพกเพียงไม่กี่กระบอก นักศึกษาประชาชนที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปทางหน้าประตูมหาวิทยาลัยในจำนวน นี้มีมากกว่า 20 คนถูกรุมตีรุมกระทืบ บางคนถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่สิ้นใจ ได้ถูกลากออกไปแขวนคอ และแสดงท่าทางเยาะเย้ยศพต่างๆ นานา นักศึกษาหญิงคนหนึ่งถูกรุมตีจนสิ้นชีวิต แล้วถูกเปลือยผ้าประจาน  โดยมีชายคนหนึ่งซึ่งเข้าก่อเหตุ  รูดซิปกางเกงออกมาแสดงท่าเหมือนจะข่มขืนหญิงผู้เคราะห์ร้ายนั้น ให้พวกพ้องที่โห่ร้องอยู่ใกล้ๆ ดู   มีประชาชนบางส่วนเมื่อเห็นเหตุการณ์ชวนสังเวช  ก็จะเดินเลี่ยงไปด้วยน้ำตาคลอ

ประชาชนที่ชุมนุมอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ลากศพนักศึกษาที่ถูกทิ้งอยู่เกลื่อนกลาดข้างหอประชุมใหญ่ 3 คนออกมาเผากลางถนนราชดำเนิน ตรงข้ามอนุสาวรีย์พระแม่ธรณีบีบมวยผม ใกล้ๆ กับบริเวณแผงขายหนังสือสนามหลวง โดยเอายางรถยนต์ทับแล้วราดน้ำมันเบนซิน จุดไฟเผา ศพนักศึกษาอีก 1 ศพถูกนำไปแขวนคอไว้กับต้นมะขามแล้วถูกตีจนร่างเละ

เหตุการณ์ในและนอกธรรมศาสตร์ช่วงนี้มีรายละเอียดมากมาย ดังปรากฏจากคำพูดของผู้ประสบเหตุการณ์คนหนึ่งในวันนั้น ดังต่อไปนี้

…ในเช้าวันที่ 6 ตุลา ขณะที่ฉันนอนอยู่ตรงบันไดตึกวารสารฯ ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น ฉันและเพื่อน 2 คนเดินออกมาดูเหตุการณ์ยังสนามฟุตบอล จึงทราบว่าพวกตำรวจได้ยิง เอ็ม 79 เข้ามาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีคนตายและบาดเจ็บหลายคน เพื่อความปลอดภัย โฆษกบนเวทีประกาศให้ประชาชนหลบเข้าข้างตึก ฉันและเพื่อนยืนฟังอยู่พักหนึ่ง พวกทหารก็เริ่มระดมยิงเข้ามาในธรรมศาสตร์ทุกด้านเป็นเวลานาน ฉันกับเพื่อนจึงหมอบอยู่บริเวณข้างตึกโดมข้างๆ เวที ภาพที่เห็นข้างหน้าคือ บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่มีควันตลบไปหมด พวกมันระดมยิงถล่มมายังหน้าหอใหญ่เป็นเวลานาน พวกเราหลายคนถึงกับร้องไห้ด้วยความเคียดแค้น และเป็นห่วงเพื่อนๆ ของเราที่รักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน แต่พวกตำรวจระดมยิงเข้ามาเหมือนจะทำลายคนจำนวนพันคน ตำรวจยิงเข้ามาพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าพวกเราที่หน้าหอใหญ่ตายหมดแล้ว มันจึงกล้าเอารถเมล์วิ่งพังประตูเข้ามาในธรรมศาสตร์

เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น พวกเราจึงช่วยกันพังประตูตึกโดมเข้าไป ตอนแรกคิดว่าอยู่ในตึกคงปลอดภัย แต่เมื่อเห็นว่าพวกมันยังยิงเข้ามาไม่หยุดและเคลื่อนกำลังเข้ามามากขึ้น จึงตัดสินใจกระโดดลงจากตึกโดมแล้ววิ่งไปตึกศิลปศาสตร์และลงแม่น้ำเจ้าพระยา ฉันและเพื่อนๆ ได้ขึ้นฝั่งที่ท่าพระจันทร์ ปรากฏว่าพวกตำรวจตรึงกำลังอยู่บริเวณดังกล่าว และปิดถนนถึงท่าช้าง ประชาชนบริเวณท่าพระจันทร์ปิดประตูหน้าต่างกันหมด พวกเราเดินเลาะไปตามริมน้ำ พอมาระยะหนึ่งไม่มีทางไป เพื่อนบางส่วนพอวิ่งออกไปถนนก็ถูกตำรวจจับ ฉันและเพื่อนจึงตัดสินใจเคาะประตูบ้านประชาชนบริเวณนั้น มีหลายบ้านเปิดให้พวกเราเข้าไปหลบด้วยความเต็มใจ เนื่องจากจำนวนคนมีมากเหลือเกิน เพื่อนของเราบางส่วนยอมเสียสละให้ผู้หญิงและประชาชนเข้าไปหลบในบ้านประชาชน ในบ้านที่ฉันเข้าไปหลบอยู่มีคนประมาณ 30 คนอยู่ด้วย เจ้าของบ้านต้มข้าวต้มให้พวกเรากิน ฉันนั่งฟังเสียงปืนที่พวกมันยิงถล่มธรรมศาสตร์อยู่ประมาณชั่วโมงเศษ มีทหารและตำรวจ 2 คนมาเคาะประตูบ้าน มันขู่ว่าถ้าไม่เปิดจะยิงเข้ามา เจ้าของบ้านจึงต้องไปเปิดให้พวกตำรวจเข้ามาตรวจค้นบ้านทุกชั้น ทุกห้องตามความต้องการ

พวกเราถูกตำรวจไล่ให้มารวมกับคนอื่นๆ ที่ถูกจับอยู่ก่อนแล้วที่ถนนข้างวัดมหาธาตุ นอนกันเป็นแถวยาวมาก ตำรวจสั่งให้ผู้ชายถอดเสื้อ ทุกคนต้องนอนอยู่นิ่งๆ ห้ามเงยหัวขึ้นมา พวกเราต้องนอนอยู่เช่นนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง ต้องทนตากแดดอยู่กลางถนน และยังมีกระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้านที่ร้ายกาจหลายคนเดินด่าว่าพวกเราอย่างหยาบคาย ทั้งพูดท้าทายและข่มขู่อยู่ตลอดเวลา เราต้องเผชิญกับการสร้างสถานการณ์ข่มขู่ทำลายขวัญของพวกตำรวจ โดยสั่งให้พวกเรานอนคว่ำหน้าและไล่ประชาชนออกจากบริเวณนั้น แล้วยิงปืนรัวสนั่นจนพอใจจึงหยุด ฉันนอนอยู่ริมๆ แถวรู้สึกว่ากระสุนวิ่งไปมาบนถนน ไม่ห่างไกลจากเท้าฉันนัก บางครั้งก็มีเศษหินเศษอิฐกระเด็นมาถูกตามตัวพวกเรา แทนที่พวกตำรวจจะทำลายขวัญพวกเราสำเร็จ กลับเสริมความเคียดแค้นให้กับพวกเราทุกคน เหมือนฉันได้ผ่านเตาหลอมที่ได้ทดสอบความเข้มแข็งและจิตใจที่ไม่สะทกสะท้านต่อการข่มขู่ บางคนรู้สึกกลัว พวกเราก็คอยปลอบใจ ไม่ให้กลัวการข่มขู่ พวกมันทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนพอใจ จึงสั่งให้พวกเราคลานไป สักพักหนึ่งมันก็ตะคอกสั่งให้หมอบลง จนถึงรถเมล์ที่จอดอยู่ใกล้ๆ ก็ให้ลุกขึ้นเข้าแถวทยอยกันขึ้นรถ

พวกเรานั่งกันเต็มรถทั้งที่นั่งและพื้นรถ ตำรวจสั่งให้พวกเราเอามือไว้บนหัวและต้องก้มหัวลงต่ำๆ  พอรถแล่นออกมายังสนามหลวงผ่านราชดำเนินจะมีกระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้านตั้งแถวรออยู่ พอรถมาถึงมันก็ขว้างก้อนอิฐก้อนหินและโห่ร้องด้วยความชอบใจ พวกเราในรถหลายคนหัวแตก บางคนถูกหน้าผากเลือดไหลเต็มหน้า พวกตำรวจที่คุมมาก็คอยพูดจาเยาะเย้ยถากถางและตะคอกด่าพวกเรามาตลอดทางจนถึงบางเขน พอรถเลี้ยวเข้ามาบางเขนก็มีตำรวจเอาเศษแก้วขว้างเข้ามาในรถ แต่โชคดีที่ไม่ถูกใครเข้า เมื่อรถวิ่งเข้ามาจอดที่เรือนจำก็มีตำรวจกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาล้อมรถไว้ บางส่วนกรูเข้าในรถ ทั้งด่า ทั้งเตะ ซ้อมคนในรถตามชอบใจ คนไหนใส่แว่นมันยิ่งซ้อมหนัก บางคนถูกมันกระชากเอาแว่นไปด้วย พวกมันสั่งให้ทุกคนถอดนาฬิกาและสร้อยคอให้หมด ผู้ชายต้องถอดเข็มขัดออก มันอ้างว่าเดี๋ยวพวกเราจะเอาไปผูกคอตายในคุก คนไหนไม่ทำตามมันก็เอาท้ายปืนตี มันทำตัวยิ่งกว่าโจร ยิ่งกว่าสัตว์ป่าอีกด้วย

ฉันและเพื่อนหญิงประมาณ 400 คน ถูกขังอยู่ชั้น 2 ของเรือนจำ มีอยู่ 2 ห้อง ห้องหนึ่งจุคน 200 กว่าคน สภาพในคุกทั้งสกปรก ทั้งคับแคบ ต้องนอนเบียดเสียดกัน น้ำก็ไม่มีให้ใช้ ในระยะแรกน้ำก็ไม่มีให้กิน พวกเราทุกคนที่อยู่ในคุกได้จัดตั้งกันเป็นกลุ่มๆ ตามแต่ละองค์กรเพื่อช่วยเหลือกัน จัดให้มีการพูดคุยปรึกษาหารือ เช่น เล่าแลกเปลี่ยนเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลา ที่แต่ละคนได้พบเห็นความทารุณโหดร้ายของ ตชด. ตำรวจ กระทิงแดง และลูกเสือชาวบ้าน ที่ร่วมกันเข่นฆ่าเพื่อนๆ และพี่น้องประชาชนอย่างโหดเหี้ยม….

เหตุการณ์น่าสังเวชที่มีรายละเอียดยังมีอีกมาก ดังส่วนหนึ่งกระจายเป็นข่าวไปทั่วโลก ดังเช่น

นีล ยูลิวิค ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่อยู่ในเหตุการณ์ได้รายงานตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เดอะ รียิสเตอร์ วันที่ 8 ตุลาคม 2519 ว่า “ด้วยความชำนาญในการสื่อข่าวการรบในอินโดจีนแล้ว ข้าพเจ้าสามารถบอกได้ว่าเสียงปืนที่ได้ยินนั้น 90% ยิงไปในทิศทางเดียวกัน คือยิงใส่นักศึกษา บางครั้งจึงจะมีกระสุนปืนยิงตอบมาสักนัดหนึ่ง”

เลวิส เอ็ม ไซมอนส์ รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ ซานฟรานซิสโก ครอนิเกิล วันที่ 7 ตุลาคม 2519 ว่า “หน่วยปราบปรามพิเศษต่างก็กราดปืนกลใส่ตัวอาคารและส่วนอื่นๆ ของมหาวิทยาลัย พวกแม่นปืนที่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษใช้ปืนไรเฟิลแรงสูงยิงเก็บเป็นรายตัว ตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งสวมหมวกเบเร่ต์ดำ เสื้อแจ๊คเก็ตดำคลุมทับชุดพรางตาสีเขียวได้ยิงไปที่อาคารต่างๆ ด้วยปืนไร้แรงสะท้อนยาว 8 ฟุต ซึ่งปกติเป็นอาวุธต่อสู้รถถัง ส่วนตำรวจคนอื่นๆ ก็ยิงลูกระเบิดจากเครื่องยิงประทับไหล่ ไม่มีเวลาใดเลยที่ตำรวจจะพยายามให้นักศึกษาออกมาจากที่ซ่อนด้วยแก๊สน้ำตา หรือเครื่องควบคุมฝูงชนแบบมาตรฐานอื่นๆ” ไซมอนส์ได้อ้างคำพูดของช่างภาพตะวันตกคนหนึ่งที่ชาญสนามมา 4 ปีในสงครามเวียดนาม ซึ่งกล่าวว่า “พวกตำรวจกระหายเลือด มันเป็นการยิงที่เลวร้ายที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา”

สำนัก ข่าวเอพี (แอสโซซิเอเต็ด เพรส) รายงานจากผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทยว่า นักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ถูกล้อมยิงและถูกบุกทำร้าย จากพวกฝ่ายขวาประมาณ 10,000 คน ตำรวจระดมยิงด้วยปืนกลใส่นักศึกษาที่ถูกหาว่าเป็นฝ่ายซ้าย นักศึกษา 2 คนถูกแขวนคอและถูกตีด้วยท่อนไม้ ถูกควักลูกตา และถูกเชือดคอ

นาย จี แซ่จู ช่างภาพของเอพี กล่าวว่า เขาเห็นนักศึกษา 4 คนถูกลากออกไปจากประตูธรรมศาสตร์ถึงถนนใกล้ๆ แล้วถูกซ้อม ถูกราดน้ำมันเบนซินแล้วเผา

หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทมส์ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ตีพิมพ์รายงานจากผู้สื่อข่าวของตนในกรุงเทพฯ ว่า กระแสคลื่นตำรวจ 1,500 คนได้ใช้ปืนกลระดมยิงนักศึกษาในธรรมศาสตร์ พวกฝ่ายขวาแขวนคอนักศึกษา 2 คน จุดไฟเผา ตีด้วยท่อนไม้ ควักลูกตา เชือดคอ บางศพนอนกลิ้งกลางสนามโดยไม่มีหัว

หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 รายงานว่ามีนักศึกษาอย่างน้อย 4 คนพยายามหลบรอดออกมาข้างนอกมหาวิทยาลัย แต่แล้วก็ถูกล้อมกรอบด้วยพวกตำรวจ และพวกสนับสนุนฝ่ายขวาเข้ากลุ้มรุมซ้อมและทุบด้วยท่อนไม้จนถึงแก่ความตาย นักศึกษาบางคนมีเลือดไหลโชกศีรษะและแขน เดินโซเซออกมาจากมหาวิทยาลัยแล้วก็ล้มฮวบลง

สำนักข่าว อินเตอร์นิวส์ ผู้พิมพ์วารสารอินเตอร์เนชั่นแนล บุลเลทิน รายงานว่าตำรวจได้ใช้ปืนกล ลูกระเบิดมือ ปืนไร้แรงสะท้อน ระดมยิงนักศึกษาในมหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนถูกจับตัวและถูกราดน้ำมันเบนซินแล้วจุดไฟเผา คนอื่นๆ บ้างก็ถูกซ้อม บ้างก็ถูกยิงตาย “ผู้อยู่ในธรรมศาสตร์ขอร้องให้ตำรวจ หยุดยิง ตำรวจก็ไม่หยุด ขอให้หยุดชั่วคราวเพื่อให้ผู้หญิงที่อยู่ในมหาวิทยาลัยมีโอกาสหนีออกไป ตำรวจก็ไม่ฟัง”

11.00 น. หลังจากตำรวจบุกยึดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แล้ว นักศึกษาประชาชนถูกสั่งให้นอนคว่ำ แล้วควบคุมตัวไว้ทยอยลำเลียงขึ้นรถเมล์และรถสองแถวส่งไปขังตามสถานีตำรวจ ต่างๆ (มี 3 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่ นครปฐม ชลบุรี และร.ร.ตำรวจนครบาลบางเขน) มากกว่า 3,000 คน ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่นั้น นักศึกษาชายและหญิงถูกบังคับให้ถอดเสื้อ นักศึกษาหญิงเหลือแต่เสื้อชั้นใน ถูกสั่งให้เอามือกุมหัว นอนคว่ำคลานไปตามพื้น ระหว่างที่คลานไปตามพื้นก็ถูกเตะถีบจากตำรวจ ระหว่างขึ้นรถก็ถูกด่าทออย่างหยาบคายและถูกขว้างปาเตะถีบจากตำรวจและอันธพาล กระทิงแดง ลส.ชบ. ระหว่างลงจากรถไปยังที่คุมขังก็ถูกตำรวจปล้นชิงทรัพย์สินและของมีค่าไป

กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้กำชับการอยู่เวรยาม ให้เจ้าหน้าที่สื่อสารคอยรับฟังข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสดับตรับฟังข่าวในเขตจังหวัด ป้องกันการก่อวินาศกรรมสถานที่ราชการ และหาทางยับยั้งอย่าให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ

กทม. สั่งปิดโรงเรียนในสังกัดโดยไม่มีกำหนด กระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดโรงเรียนในสังกัดถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 กระทรวงยุติธรรมสั่งหยุดศาลต่างๆ 1 วัน

11.50 น. สำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า นายกรัฐมนตรีมีบัญชาให้ตั้งกองบัญชาการรักษาความสงบเรียบร้อยขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล

12.00 น. รัฐบาลออกแถลงการณ์สรุปได้ว่า

  1. เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสยามมกุฎราชกุมารได้ แล้ว 6 คน จะดำเนินการส่งฟ้องศาลโดยเร็ว
  2. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมสถานการณ์การปะทะกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แล้ว
  3. รัฐบาลได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด

12.30 น. กลุ่มลูกเสือชาวบ้านและประชาชนจำนวนหลายหมื่นคนชุมนุมอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า มีการพูดกลางที่ชุมนุม โดยนายอุทิศ นาคสวัสดิ์ ให้ปลดรัฐมนตรี 4 คน คือนายสุรินทร์ มาศดิตถ์ นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ นายชวน หลีกภัย และนายวีระ มุสิกพงศ์ โดยแต่งตั้งให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมบุญ ศิริธร อยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไป ในที่ชุมนุมมีการเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการกับผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ องค์สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเฉียบขาด

นิสิตจุฬาฯ ประมาณ 3,000 คน ชุมนุมกันภายในบริเวณมหาวิทยาลัย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ ชี้แจงถึงเหตุการณ์จราจลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ

  1. เรียกร้องให้นิสิตจุฬาฯ ออกชี้แจงกับประชาชนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  2. เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
  3. ยืนยันว่าหากเกิดรัฐประหาร พวกตนจะต่อสู้ถึงที่สุด
  4. ยืนหยัดในการขับพระถนอมออกนอกประเทศ

บ่ายวันนั้นมีการประชุม ครม.นัดพิเศษ พล.ต.อ.ศรีสุข มหินทรเทพ และพล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจ เข้าชี้แจงเหตุการณ์ต่อที่ประชุม ครม.

14.20 น. ประชาชนและลูกเสือชาวบ้านที่ชุมนุมอยู่ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าส่วนหนึ่ง ประมาณ 4,000 คน เคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล และส่งตัวแทน 5 คนเข้าพบนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปรับปรุง ครม. และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับการแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะพิจารณาดำเนินการ

17.00 น. ประชาชนและลูกเสือชาวบ้านที่ชุมนุมอยู่สลายตัว

18.00 น. พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ประกาศยึดอำนาจ ความว่า “ขณะนี้ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม เป็นต้นไป และสถานการณ์ทั้งหลายตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน…” โดยมีเหตุผลในการยึดอำนาจการปกครอง คือ “…คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ประจักษ์แจ้งถึงภัยที่ได้เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ กล่าวคือ ได้มีกลุ่มบุคคลซึ่งประกอบด้วยนิสิตนักศึกษาบางกลุ่ม ได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยมีเจตจำนงทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนของคอมมิวนิสต์ที่จะเข้ายึดครองประเทศไทย เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการเข้าจับกุมก็ได้ต่อสู้ด้วยอาวุธร้ายแรงที่ใช้ในราชการ สงคราม โดยร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ชาวเวียดนาม ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก”

สรุปความเสียหายจากเหตุการณ์ 6 ตุลา ตามตัวเลขทางการระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 39 คน บาดเจ็บ 145 คน (ในจำนวนนี้เป็นตำรวจเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 23 คน) นักศึกษาประชาชนถูกจับกุม 3,094 คน เป็นชาย 2,432 คน หญิง 662 คน ขณะที่แหล่งข่าวอ้างอิงจากการเก็บศพของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ประมาณว่ามีนักศึกษาประชาชนเสียชีวิต 530 คน ส่วนทรัพย์สิน (จากการสำรวจของคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) มีครุภัณฑ์และวัสดุของคณะต่างๆ เสียหายเป็นมูลค่า 50 กว่าล้านบาท ร้านสหกรณ์มีสินค้าและทรัพย์สินเสียหาย 1 ล้าน 3 แสนบาท สิ่งของมีค่าหายสาบสูญ อาทิ โทรทัศน์ เครื่องพิมพ์ดีด กล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียง เครื่องเย็บกระดาษ เสื้อผ้า เงินสด รายงานแจ้งว่า “หน้าต่างถูกทุบและโดนลูกกระสุนเสียหาย โต๊ะเก้าอี้พัง ห้องพักอาจารย์ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย”

24 สิงหาคม 2520

อัยการศาลทหารกรุงเทพฯ พิจารณาสำนวนสอบสวนแล้ว มีคำสั่งฟ้องนักศึกษาและประชาชนเป็นผู้ต้องหาจำนวน 18 คน

16 กันยายน 2521

ผู้ ต้องหาคดี 6 ตุลา ทั้ง 18 คน ได้รับการนิรโทษกรรม พร้อมกับผู้ต้องหาในศาลอาญาอีก 1 คน คือนายบุญชาติ เสถียรธรรมมณี ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ

18 กันยายน 2521

สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สมธ.) ร่วมกับสโมสรนักศึกษา 8 แห่ง จัดงานรับขวัญ “ผู้บริสุทธิ์ 6 ตุลา” ที่ลานโพธิ์

ที่มา :

(1) คัดลอกและเรียบเรียงจาก จุลสาร “พิสุทธ์” เนื่องในงานรำลึกวีรชนเดือนตุลา จัดพิมพ์โดยสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

(2) จุลสาร “ตุลา สานต่อเจตนาวีรชน” จัดพิมพ์โดย พรรคสัจจธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(3) หนังสือ “รอยยิ้มในวันนี้” คณะกรรมการบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี 2522



ลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 (ตอนที่ 2)

ลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 (ตอนที่ 2)
credit to Sahanut Maneekul

20 กันยายน 2519

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้เชิญหัวหน้าพรรคชาติไทย ธรรมสังคม สังคมชาตินิยม และนายเสวต เปี่ยมพงศ์สานต์ เข้าพบเพื่อปรึกษาหารือ และมีข้อสรุปว่า

  1. จอมพลถนอมเข้ามาบวชตามที่ขอรัฐบาลไว้แล้ว
  2. ในฐานะที่จอมพลถนอมเป็นทั้งจอมพลและภิกษุจึงน่าจะพิจารณาตัวเองได้หากมี ความไม่สงบเกิดขึ้น

มีปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวจากหลายฝ่ายตลอดวันนี้ เช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เสนอให้ออกกฎหมายพิเศษขับพระถนอมออกนอกประเทศ นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ เสนอให้พระถนอมออกไปจำวัดที่ต่างแดน ทหารออกมาประกาศว่าจะไม่เข้าไปยุ่งและจะไม่ปฏิวัติ พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร กล่าวว่าถ้าพระถนอมเข้ามาถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ จะผิดได้อย่างไร ก็นักศึกษาสู้เพื่อรัฐธรรมนูญไม่ใช่หรือ พระกิตติวุฒโฑ กล่าวว่านักศึกษาต้องการขับไล่พระ มีแต่คอมมิวนิสต์เท่านั้นที่ไล่พระ สถานีวิทยุยานเกราะและ น.ส.พ.ดาวสยาม ออกข่าวโจมตี ศนท. ไม่ให้ประชาชนไปร่วมชุมนุม ฯลฯ

ศนท.ใช้วิธีเคาะประตูบ้านแทน การชุมนุม โดยให้นิสิตนักศึกษาออกไปตามบ้านประชาชนในเขต กทม. เพื่อสอบถามความรู้สึกถึงเรื่องพระถนอม ปรากฏว่าสามารถสร้างความเข้าใจและความตื่นตัวได้อย่างดียิ่ง

21 กันยายน 2519

เกิดเหตุปาระเบิดบริษัททัวร์ ที เอส ที ซึ่งบริษัทนี้ถูกสถานีวิทยุยานเกราะออกข่าวว่าเป็นของ ศนท. แต่ปฏิบัติการดังกล่าวพลาดไปถูกร้านตัดเสื้อข้างเคียง มีผู้บาดเจ็บ 5 คน

นักเรียนอาชีวะยกพวกตีกัน ระหว่างช่างกลสยาม (ซึ่งมีนายวีรศักดิ์ ทองประเสริฐ เลขาธิการศูนย์นักเรียนอาชีวะฯ ในขณะนั้นเรียนอยู่) กับช่างกลอุตสาหกรรม มีการปรากฏตัวของกลุ่มกระทิงแดงในที่เกิดเหตุ และมีการปาระเบิดสังหารชนิด เอ็ม 26 ส่งผลให้นักเรียนช่างกลสยามตาย 5 ศพ บาดเจ็บจำนวนมาก และถูกจับอีกประมาณ 200 คน ในขณะที่ช่างกลอุตสาหกรรมไม่โดนจับเลย เพียงแต่สอบสวนแล้วปล่อยตัวไป กรณีนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมตำรวจท้องที่กับอาจารย์ในโรงเรียนจึงไม่ ยับยั้งนักเรียนช่างกลสยาม และการจับนักเรียนช่างกลสยามไปเท่ากับตัดกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยของแนว ร่วมอาชีวศึกษาเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับ ศนท. ออกไปส่วนหนึ่ง

นายอำนวย สุวรรณคีรี แถลงว่า ครม.มีมติแต่งตั้งกรรมการ 2 ชุด

  • ชุดที่ 1 ไปเจรจากับพระถนอม
  • ชุดที่ 2 ออกแถลงการณ์กรณีพระถนอมเข้ามาในประเทศไทย

นาย สุรินทร์ มาศดิตถ์ แถลงว่า ครม.มีมติจะให้พระถนอมออกไปนอกประเทศโดยเร็ว รัฐบาลออกแถลงการณ์ขอความร่วมมือประชาชนในการรักษาความสงบของบ้านเมือง

22 กันยายน 2519

แนวร่วมยุวสงฆ์แห่งประทศไทย และสหพันธ์พุทธศาสนิกแห่งประเทศไทย มีหนังสือมาถึงมหาเถรสมาคมให้พิจารณาการบวชของพระถนอมว่าผิดวินัยหรือไม่

พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ จัดกำลังตำรวจเข้าอารักขาวัดบวรนิเวศฯ เนื่องจากทางวัดเกรงว่ากลุ่มต่อต้านพระถนอมจะเผาวัด

คณะอาจารย์รามคำแหงยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลนำพระถนอมออกนอกประเทศ

ศนท. แนวร่วมต่อต้านเผด็จการฯ สภาแรงงานฯ ศูนย์กลางนักเรียนฯ ศูนย์นักศึกษาครูฯ องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 8 แห่ง แถลงว่า ไม่พอใจที่แถลงการณ์ของรัฐบาลไม่ชัดเจน ดังนั้นทุกองค์กรจะร่วมมือกันคัดค้านพระถนอมต่อไป

แนวร่วมนักเรียน นักศึกษา ประชาชน จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ สหพันธ์นักศึกษาอีสาน แนวร่วมต่อต้านเผด็จการฯ ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านพระถนอมตามสถานที่ต่างๆ

ตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีมติให้ส่งนักศึกษาออกชี้แจง ประชาชนว่าการกลับมาของพระถนอมทำให้ศาสนาเสื่อม

23 กันยายน 2519

ส.ส. 4 ราย คือ นายชุมพล มณีเนตร นายแคล้ว นรปติ นายมานะ พิทยาภรณ์ และนายไพฑูรย์ วงศ์วานิช ยื่นกระทู้ด่วนเรื่องการกลับมาของจอมพลถนอม ผลการอภิปรายทำให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ประกาศลาออกกลางสภาผู้แทน เนื่องจากไม่อาจเสนอพระราชบัญญัติจำกัดถิ่นที่อยู่ของบุคคลบางประเภท ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 47 อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองได้ ลูกพรรคก็ขัดแย้งโต้เถียงในสภาฯ แบ่งเป็นซ้ายเป็นขวา ส.ส.บางคนก็อภิปรายในลักษณะไม่ไว้วางใจรัฐบาล

กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ มีคำสั่งเตรียมพร้อมในที่ตั้งเต็มอัตราศึก

สถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศให้ตำรวจจับกุมนักศึกษาที่ออกติดโปสเตอร์

24 กันยายน 2519

01.00 น. รถจี๊ปและรถสองแถวบรรทุกคนประมาณ 20 คน ไปที่ประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้านท่าพระจันทร์ ทำลายป้ายที่ปิดประกาศขับไล่ถนอม

นายเสถียร สุนทรจำเนียร นิสิตจุฬาฯ ถูกตีที่ศีรษะและถูกแทงลำตัว ในขณะที่ออกติดโปสเตอร์พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน ซึ่งถูกทำร้ายและถูกรูดทรัพย์ไปโดยฝีมือชายฉกรรจ์ 20 คนในรถกระบะสีเขียว

นายวิชัย เกษศรีพงษา และนายชุมพร ทุมไมย พนักงานการไฟฟ้านครปฐม และเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ถูกซ้อมตายระหว่างออกติดโปสเตอร์ประท้วงต่อต้านพระถนอม และถูกนำศพไปแขวนคอที่ประตูทางเข้าที่จัดสรรบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ ต.พระประโทน อ.เมือง จ.นครปฐม พบมีรอยมัดมือและรอยถูกรัดคอด้วยเชือกไนล่อน ตำรวจสืบสวนบิดเบือนสาเหตุว่า มาจากการผิดใจกับคนในที่ทำงานและติดสินบนนักข่าวท้องถิ่นให้เงียบ แต่มีผู้รักความเป็นธรรมนำรูปประมาณ 20 กว่ารูปพร้อมเอกสารการฆาตกรรมมาให้ ศนท. ในวันที่ 25 กันยายนตอนเช้า

(ในวันที่ 6 ตุลาคม มีตำรวจ 5 คนถูกจับในข้อหาสมคบฆ่าแขวนคอสองพนักงานการไฟฟ้า ได้แก่ ส.ต.อ. ชลิต ใจอารีย์ ส.ต.ท.ยุทธ ตุ้มพระเนียร ส.ต.ท.ธเนศ ลัดดากล ส.ต.ท.แสงหมึก แสงประเสริฐ พลฯ สมศักดิ์ แสงขำ แต่ทั้งหมดถูกปล่อยตัวอย่างเงียบๆ หลังจากนั้น)

25 กันยายน 2519

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี (อีกครั้งหลังจากลาออกไปเมื่อ 2 วันก่อน)

ศนท.โดย สุธรรม แสงประทุม และชัชวาลย์ ปทุมวิทย์ ผู้ประสานงานแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ชี้แจงกับสื่อมวลชนกรณีฆ่าแขวนคอที่นครปฐม มีการชุมนุมที่จุฬาฯ  และตั้งตัวแทนยื่นหนังสือเรียกร้องต่อรัฐบาลให้

  1. จัดการให้พระถนอมออกจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
  2. ให้เร่งจับกุมฆาตกรฆ่าแขวนคอที่นครปฐม

สภาแรงงานฯ โดยนายไพศาล ธวัชชัยนันท์ ขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเพื่อยื่นหนังสือ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้า

ดร.คลุ้ม วัชโรบล นำลูกเสือชาวบ้านประมาณ 200 คน ไปวัดบวรนิเวศฯ เพื่ออาสาป้องกันการเผาวัด

26 กันยายน 2519

กิตติวุฒโฑภิกขุ และนายวัฒนา เขียววิมล แกนนำกลุ่มนวพล ไปเยี่ยมพระถนอมที่วัดบวรฯ เวลา 22.30 น. อ้างว่ามาสนทนาธรรม และว่าการเข้ามาบวชของพระถนอมนั้นบริสุทธิ์

27 กันยายน 2519

ศนท. สภาแรงงานแห่งประเทศไทย แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ และตัวแทนจากกลุ่มพลังต่างๆ ประชุมกันและมีมติให้รัฐบาลขับพระถนอมออกนอกประเทศ และให้จัดการจับฆาตกรสังหารโหดฆ่าแขวนคอที่นครปฐม

ช่วงวันที่ 26-27 กันยายน มีการเคลื่อนไหวย้ายกำลังพลในเขตกรุงเทพฯ ด้วยคำอ้างว่าจะมีการเดินสวนสนามเพื่อสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพล (ปกติจะกระทำในวันที่ 25 มกราคมของทุกปี)

28 กันยายน 2519

ศนท.แถลงว่าจะจัดชุมนุมที่สนามหลวงในวันที่ 29 กันยายน เพื่อเร่งรัฐบาลให้ดำเนินการตามที่ยื่นหนังสือเรียกร้อง

29 กันยายน 2519

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประกาศเลื่อนพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรออกไปโดยไม่มีกำหนด

ศนท. และกลุ่มพลังต่างๆ นัดชุมนุมประท้วงพระถนอมที่สนามหลวง โดยเป็นการชุมนุมอย่างสงบตามสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญ สุธรรม แสงประทุม กล่าวกับประชาชนว่า การชุมนุมครั้งนี้ได้แจ้งให้นายกฯ ทราบแล้ว และนายกฯ รับปากว่าจะให้กำลังตำรวจคุ้มครองผู้ชุมนุม มีประชาชนมาร่วมชุมนุมประมาณสองหมื่นคน

ระหว่างการชุมนุม มีผู้อ้างตัวว่ารักชาติมาตั้งเครื่องขยายเสียงกล่าวโจมตี ศนท.อย่างหยาบคาย จนตำรวจต้องไปขอร้องให้เลิกและกลับไปเสีย กลุ่มรักชาติพวกนี้จึงยอมกลับไป นอกจากนั้นยังมีการปล่อยงูพิษกลางที่ชุมนุมที่หาดใหญ่ และมีการยิงปืนใส่ที่ชุมนุมก่อนสลายตัว (การชุมนุมจัดโดยมหาวิทยาลัยสงขลาฯ นายจเร ดิษฐแก้ว ถูกยิงที่กกหูบาดเจ็บ นายสมชัย เกตุอำพรชัย นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ถูกตีศีรษะและถูกยิงที่มือซ้าย)

ศนท.ได้ส่งคนเข้าพบนายกฯ เพื่อขอฟังผลตามข้อเรียกร้องที่เคยยื่นหนังสือไว้ แต่เลขานุการนายกฯ ไม่ให้เข้าพบ กระทั่งเวลาสามทุ่มเศษ นายสุธรรมและคณะจึงกลับมาที่ชุมนุมพร้อมกับกล่าวว่าได้รับความผิดหวังมาก แต่ยืนยันว่าจะสู้ต่อไป และจะให้เวลารัฐบาลถึงเที่ยงวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม ถ้ารัฐบาลยังไม่ตัดสินใจแก้ปัญหานี้ ก็จะเคลื่อนไหวทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดพร้อมกัน ที่ชุมนุมประกาศสลายตัวเมื่อเวลา 21.45 น.

กลุ่มกระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่งอ้างตัวเข้าอารักขาพระถนอมที่วัดบวรฯ

ในช่วงนี้ นักศึกษาสถาบันต่างๆ เริ่มเคลื่อนไหวโดยรับมติของ ศนท.ไปปฏิบัติ

30 กันยายน 2519

รัฐบาลส่งนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ดร.นิพนธ์ ศศิธร และนายดำรง ลัทธพิพัฒน์ เป็นตัวแทนไปนิมนต์พระถนอมออกนอกประเทศ แต่พระถนอมปฏิเสธ

สมเด็จพระญาณสังวร และคณะสงฆ์ผู้ใหญ่ แจ้งให้ตัวแทนรัฐบาลทราบว่า พระบวชใหม่จะไปไหนตามลำพังระหว่างพรรษาไม่ได้ และกำหนดพรรษาจะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 ตุลาคม 2519

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ยืนยันว่า ข้อเรียกร้องให้พระถนอมออกนอกประเทศนั้น รัฐบาลทำไม่ได้ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ

1 ตุลาคม 2519

มีการชุมนุมที่สนามหลวง แต่เป็นการชุมนุมที่ไม่ยืดเยื้อ เพียงสามทุ่มกว่าๆ ก็เลิกและประกาศให้ประชาชนมาฟังคำตอบรัฐบาลในวันที่ 4 ตุลาคม เวลา 15.30 น.

ตัวแทนญาติวีรชน 14 ตุลา จำนวน 5 คน อดอาหารประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จนกว่ารัฐบาลจะให้คำตอบแน่ชัดว่าจะให้พระถนอมออกจากประเทศไทย

นายสมศักดิ์ ขวัญมงคล หัวหน้ากลุ่มกระทิงแดง กล่าวว่า หากมีการเดินขบวนไปวัดบวรนิเวศฯ กระทิงแดงจะอารักขาวัดบวรฯ และขอให้ ศนท.ยุติการเคลื่อนไหว

ขบวนการปฏิรูปแห่งชาติ และกลุ่มพลัง 12 กลุ่ม ร่วมกันออกแถลงการณ์ว่า ศนท.ถือเอากรณีพระถนอมเป็นเครื่องมือก่อความไม่สงบ

2 ตุลาคม 2519

สมาชิกกลุ่มนวพลทั่วประเทศเดินทางเข้ามาที่วัดพระแก้ว และปฏิญาณตนต่อหน้าพระแก้วมรกตเพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แล้วไปชุมนุมกันที่บริเวณสนามไชย นายวัฒนา เขียววิมล ได้นำกลุ่มนวพลไปวัดบวรฯ อวยพรวันเกิดสมเด็จพระญาณสังวร แล้วกลับไปชุมนุมที่สนามไชยอีกครั้ง เนื้อหาการอภิปรายมุ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ จากนั้นก็เลิกราเดินทางกลับภูมิลำเนา

กลางดึกคืนวันนี้มีคนร้ายยิงปืน เอ็ม 79 เข้าไปยังสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยไทยรัฐฉบับวันที่ 3 ตุลาคม หน้า 4 คอลัมน์ “ไต้ฝุ่น” เขียนว่า “หาก เมืองไทยจะมีนายกรัฐมนตรีใหม่อีก ทำนายทายทักกันได้ว่าจะไม่ใช่คนในสกุลปราโมชอีกแล้ว อาจจะเป็นหนึ่งในสามของคนวัย 52 เล็งกันไว้จากสภาปฏิรูป ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ เกษม จาติกวณิช หรือประภาศน์ อวยชัย คนนี้ซินแสดูโหงวเฮ้งแล้วบอกว่าฮ้อ”

ทางด้านธรรมศาสตร์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์เป็นคณะแรกที่หยุดสอบประท้วง ส่วนนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลแก้ไขกรณีพระถนอมโดยด่วน

ศนท.พร้อมด้วย ตัวแทนกลุ่มพลังอื่นๆ จำนวน 10 คนเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อขอคำตอบตามที่ยื่นข้อเรียกร้องไว้ จากนั้นนายสุธรรม แสงประทุม แถลงว่า ได้รับคำตอบไม่ชัดเจน จึงประกาศเคลื่อนไหวคัดค้านต่อไป โดยจะนัดชุมนุมประชาชนทั่วประเทศที่สนามหลวงในวันที่ 4 ตุลาคม

3 ตุลาคม 2519

ญาติวีรชนที่อดข้าวประท้วงอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ย้ายมาประท้วงต่อที่ลานโพธิ์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากสถานการณ์ไม่อำนวย ตกเย็นกลุ่มประชาชนรักชาตินำเครื่องขยายเสียงมาโจมตี ศนท.ว่าเป็นคอมมิวนิสต์

นักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ชุมนุมคัดค้านพระถนอม ขณะที่ตัวแทนกลุ่มนวพลจากจังหวัดต่างๆ ชุมนุมกันที่สนามไชย

4 ตุลาคม 2519

ม.ร.ว. เสนีย์ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ยอมรับว่ามีตำรวจกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ลงมือฆ่าโหดที่นครปฐม ขณะที่พล.อ.อ.กมล เดชะตุงคะ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่าไม่มีมูลเพียงพอที่จะฟ้องสามทรราช กรณี 14 ตุลา

ตอนเที่ยงมีการชุมนุมที่ลานโพธิ์ นักศึกษาธรรมศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เข้าสอบ ดร.ป๋วยให้นักศึกษาเลิกชุมนุมและเข้าห้องสอบแต่นักศึกษาไม่ยอม มีการอภิปรายและการแสดงละครเกี่ยวกับกรณีฆ่าแขวนคอพนักงานการไฟฟ้านครปฐม จัดโดยชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สถานีวิทยุยานเกราะออกข่าวว่านักศึกษาที่แสดงละครมีใบหน้าคล้ายเจ้าฟ้าชายถูกแขวนคอ

15.30 น. ศนท. และแนวร่วมต่อต้านเผด็จการฯ ชุมนุมประชาชนอีกครั้งที่สนามหลวง

17.30 น. มีการก่อกวนจากกลุ่มกระทิงแดง นักเรียนอาชีวะ และกลุ่มประชาชนรักชาติประมาณ 50 คน ติดเครื่องขยายเสียงพูดโจมตี ศนท.โดยนายสมศักดิ์ มาลาดี จนกระทั่งถูกตำรวจจับ (หลัง 6 ตุลา นายสมศักดิ์ได้ไปออกรายการที่สถานีวิทยุยานเกราะ) กระทิงแดงสลายตัวเมื่อเวลาประมาณ 20.15 น.

18.30 น. ฝนตกหนัก แต่ท้องสนามหลวงยังมีคนชุมนุมอยู่นับหมื่น

19.30 น. เพื่อความปลอดภัยจึงย้ายการชุมนุมเข้าธรรมศาสตร์อย่างสงบ พร้อมกับประกาศว่าจะไม่สลายตัวจนกว่าพระถนอมจะออกจากประเทศไทย

21.00 น. ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์  อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยความเห็นชอบของนายกสภามหาวิทยาลัยฯ (ดร.ประกอบ หุตะสิงห์) ออกแถลงการณ์สั่งปิดมหาวิทยาลัย

นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 700 คน เดินขบวนต่อต้านพระถนอม แล้วไปชุมนุมที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัด ส่วนที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา มีนักศึกษาเปิดอภิปรายต่อต้านพระถนอม ที่จังหวัดขอนแก่น นักศึกษาเปิดอภิปรายต่อต้านพระถนอมและมีการเผาหุ่นพระถนอม


ลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 (ตอนที่ 1)

ลำดับเหตุการณ์กรณี 6 ตุลาคม 2519 (ตอนที่ 1)
credit to Sahanut Maneekul


มิถุนายน 2519

สุธรรม แสงประทุม ได้รับเลือกตั้งเป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ในช่วงนั้นได้มีการประเมินสถานการณ์ว่ากำลังก้าวเดินไปสู่ความเลวร้ายทุกขณะ โดยมีการทำลายล้างทั้งการโฆษณาและวิธีการรุนแรง แต่กลับทำให้ขบวนการนักศึกษาเติบใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ดูจากผลการเลือกตั้งกรรมการนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ประจำปี 2519 นักศึกษาฝ่ายก้าวหน้าได้รับชัยชนะเกือบทุกสถาบัน

27 มิถุนายน 2519

กิตติวุฒโฑภิกขุ ให้สัมภาษณ์ น.ส.พ.จัตุรัส ว่า “การฆ่าคนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือเป็นบุญกุศลเหมือนฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ”

2 กรกฎาคม 2519

กรรมการ ศนท. นัดพบประชาชนที่สนามหลวง การชุมนุมครั้งนี้มีคนถูกปาด้วยเหล็กแหลมและก้อนหินจนบาดเจ็บหลายคน สุธรรมกล่าวในการชุมนุมว่ากรรมการ ศนท.ชุดนี้อาจจะเป็นชุดสุดท้าย แต่ก็พร้อมยืนตายคาเวทีต่อสู้ ในช่วงนั้น ที่ทำการ ศนท. ในตึก ก.ต.ป. ถูกล้อมและขว้างปาหลายครั้ง และยังเคยมีคนมาติดต่อกับกรรมการ ศนท.เสนอให้เดินทางออกนอกประเทศ พร้อมกับจะสนับสนุนเงินทองและที่อยู่ให้ โดยบอกว่าจะมีรัฐประหารแน่นอน แต่ไม่อยากให้นักศึกษาลุกขึ้นต่อต้าน แต่กรรมการ ศนท.ตอบปฏิเสธ

27 กรกฎาคม 2519

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวขนาดใหญ่ว่า “วางแผนยุบสภาผู้แทน ตั้งสภาปฏิรูปสวมรอย” เนื้อข่าวกล่าวว่า บุคคลกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า ข้าราชการ กำลังวางโครงการตั้ง “สภาปฏิรูปแห่งชาติ” เตรียมตัวเพื่อขึ้นมาบริหารงานแทนรัฐบาลเสนีย์

6 สิงหาคม 2519

คณะ รัฐมนตรีประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณาคำขอของจอมพลถนอม (ที่จะเดินทางเข้าประเทศ) ปรากฏว่าความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าไม่ควรอนุมัติเพราะจะเป็นเงื่อนไขให้เกิดการชุมนุมขับไล่ อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรอนุมัติเพราะจอมพลถนอมมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ

10 สิงหาคม 2519

มีข่าวลือว่าจอมพลถนอมเดินทางเข้ามาในประเทศไทย แต่วันรุ่งขึ้นก็มีข่าวว่าจอมพลถนอมทำบุญเลี้ยงพระที่วัดไทยในสิงคโปร์

16 สิงหาคม 2519

มี ข่าวแจ้งว่าจอมพลประภาส จารุเสถียร หนึ่งในสามทรราชที่ถูกนักศึกษาประชาชนขับไล่ และหลบหนีออกนอกประเทศไปเมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เดินทางกลับเข้าประเทศแล้ว

19 สิงหาคม 2519

นักศึกษาจำนวนหนึ่งจัดขบวนแห่รูปวีรชน 14 ตุลา ไปที่สน.ชนะสงคราม แจ้งข้อหาให้ตำรวจดำเนินคดีกับจอมพลประภาส

15.00 น. นักศึกษาชุมนุมที่ลานโพธิ์ แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะมีคำสั่งห้ามแล้ว

17.00 น. ศนท.จัดชุมนุมที่สนามหลวง

22.00 น. นักศึกษาประชาชนประมาณหมื่นคน เคลื่อนขบวนจากสนามหลวงเข้ามายังสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ และมีการชุมนุมกันตลอดคืน

20 สิงหาคม 2519

กรรมการองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) เปิดอภิปรายที่ลานโพธิ์ ชี้แจงเหตุผลที่ต้องย้ายการชุมนุมเข้ามาในธรรมศาสตร์ การชุมนุมที่สนามฟุตบอลยังดำเนินไปตลอดคืน

21 สิงหาคม 2519

กลุ่มกระทิงแดงเริ่มปิดล้อมมหาวิทยาลัย

14.00 น. นักศึกษารามคำแหง 3,000 คน เดินขบวนเข้ามาทางประตูมหาวิทยาลัยด้านพิพิธภัณฑ์ กระทิงแดงปาระเบิดและยิงปืนเข้าใส่ท้ายขบวน มีผู้เสียชีวิต 1 คน แต่การชุมนุมยังดำเนินต่อไป

20.30 น. ฝนตกหนัก กลุ่มผู้ชุมนุมยังคงยืนหยัดอยู่ในสนามฟุตบอล จนฝนหยุด จึงเคลื่อนเข้าไปในหอประชุมใหญ่ และอยู่ข้างในตลอดคืน

22 สิงหาคม 2519

จอมพลประภาสเดินทางออกนอกประเทศ นักศึกษาประชาชนสลายตัว

26 สิงหาคม 2519

มีข่าวลือว่าจอมพลถนอมลอบเข้ามาทางจังหวัดสงขลา แต่ไม่เป็นความจริง นายสุธรรม แสงประทุม เลขาศูนย์นิสิตฯ แถลงว่าจอมพลถนอมต้องการกลับมามีอำนาจอีกครั้ง

27 สิงหาคม 2519

อธิบดีกรมตำรวจมีคำสั่งให้หน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ระมัดระวังมิให้จอมพลถนอมเดินทางเข้าประเทศไทย

28 สิงหาคม 2519

ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร เดินทางเข้าประเทศไทย โดยแถลงว่าเข้ามาเพื่อปรนนิบัติบิดาของจอมพลถนอม และมารดาของท่านผู้หญิง รวมทั้งเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานเพื่อนของบุตรชายด้วย

29 สิงหาคม 2519

บุตรสาวจอมพลถนอม 3 คนเข้าพบนายกรัฐมนตรีที่บ้านพักซอยเอกมัย เพื่อเจรจาขอให้จอมพลถนอมเข้ามาบวชและรักษาบิดา นายกฯ ขอนำเรื่องเข้าปรึกษาครม.

30 สิงหาคม 2519

น.ท.ยุทธพงษ์ กิตติขจร ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และเหตุผลที่จอมพลถนอมขอเดินทางเข้าประเทศไทย

31 สิงหาคม 2519

ครม.พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สมควรอนุมัติให้จอมพลถนอมเดินทางกลับเข้ามา และ รมช.ต่างประเทศสั่งสถานทูตไทยในสิงคโปร์แจ้งผลการประชุม ครม.ให้จอมพลถนอมทราบ

1 กันยายน 2519

นายกรัฐมนตรีเรียกอธิบดีกรมตำรวจและรองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายกิจการพิเศษเข้าพบ เพื่อเตรียมการป้องกันการเดินทางเข้าประเทศของจอมพลถนอม และให้นำเอกสารจากกระทรวงมหาดไทยและกลาโหม เกี่ยวกับการพิจารณาความผิดจอมพล ถนอมในกรณี 14 ตุลาคม 2516 มาตรวจสอบ

2 กันยายน 2519

แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติติดใบปลิวต่อต้านการเดินทางกลับไทยของจอมพลถนอม ตามที่สาธารณะ นายสุธรรม แสงประทุม เลขาศูนย์นิสิตฯ พร้อมด้วยตัวแทน อมธ. สโมสรนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล และแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ร่วมกันแถลงว่าจะคัดค้านการกลับมาของจอมพลถนอมจนถึงที่สุด

3 กันยายน 2519

อธิบดีกรมตำรวจชี้แจงว่า ได้เตรียมการป้องกันจอมพลถนอมเดินทางกลับเข้ามาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเข้ามาจะควบคุมตัวทันที

นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ รมต.ยุติธรรม ซึ่งเดินทางกลับจากสิงคโปร์ แถลงว่าหลังจากได้พบและชี้แจงถึงความจำเป็นของรัฐบาลต่อจอมพลถนอมแล้ว จอมพลถนอมบอกว่าจะยังไม่เข้ามาในระยะนี้

นายสมัคร สุนทรเวช รมช.มหาดไทย กล่าวโดยสรุปว่า ขณะนี้มีมือที่สามจะสวมรอยเอาการกลับมาของจอมพลถนอมเป็นเครื่องมือก่อเหตุร้าย

4 กันยายน 2519

พระภิกษุสงคราม ปิยะธรรมโม ประธานแนวร่วมยุวสงฆ์แห่งประเทศไทย แถลงว่าถ้าจอมพลถนอมบวช แนวร่วมยุวสงฆ์จะถวายหนังสือคัดค้านต่อสมเด็จพระสังฆราชทันที และพระสงฆ์ทั่วประเทศก็จะเคลื่อนไหวคัดค้านด้วย

สภาแรงงานแห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์คัดค้านการกลับเข้ามาของจอมพลถนอม

5 กันยายน 2519

ในการประชุมตัวแทนของศูนย์นิสิตฯ และของกลุ่มนักเรียน นิสิตนักศึกษา และกรรมกร รวม 67 กลุ่ม ที่ตึกจักรพงษ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมงาน 14 ตุลา ได้ออกแถลงการณ์ร่วม สรุปว่าจะต่อต้านคัดค้านการกลับมาของจอมพลถนอมจนถึงที่สุด

19 กันยายน 2519

จอมพลถนอมบวชเณรจากสิงคโปร์ แล้วเดินทางถึงประเทศไทยเวลาประมาณ 10.00 น. แล้วเดินทางไปวัดบวรนิเวศฯ มีผู้ไปรอต้อนรับเณรถนอมที่ดอนเมือง เช่น พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา พล.อ.ต.สุรยุทธ นิวาสบุตร เจ้ากรมการบินพลเรือน พล.อ.ต.นิยม กาญจนวัฒน์ ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมือง

11.15 น. จอมพลถนอมอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วเดินทางไปเยี่ยมอาการป่วยของบิดา

12.00 น. ข่าวการกลับมาของจอมพลถนอมแพร่ออกไปโดยประกาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ซึ่งระบุว่าจอมพลถนอมบวชเณรเข้าไทยและบวชเป็นพระเรียบร้อยแล้วที่วัดบวรนิเวศฯ ทางด้านสถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศคำปราศรัยของจอมพลถนอม ซึ่งยืนยันเจตนารมณ์ว่ามิได้มีความมุ่งหมายทางการเมือง พร้อมกันนั้นยานเกราะยังเรียกร้องให้ระงับการต่อต้านพระถนอมไว้ชั่วคราวจนกว่าพระถนอมจะสึก เพื่อมิให้สะเทือนต่อพระศาสนา

สุธรรม แสงประทุม เลขาศูนย์นิสิตฯ แถลงว่าที่ประชุมกลุ่มพลัง 165 กลุ่ม มีมติคัดค้านการกลับมาของจอมพลถนอมและมีท่าทีต่อสถานการณ์ดังกล่าว ดังนี้

  • จะคัดค้านการกลับมาของพระถนอมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
  • โฆษณาเปิดโปงความผิดของพระถนอม
  • สืบทอดเจตนารมณ์วีรชน 14 ตุลา
  • ตั้งตัวแทนเข้าพบรัฐบาลเพื่อยื่นข้อเสนอ

ต่อกรณีการเคลื่อนไหว ทาง ศนท.เห็นว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จำเป็นต้องมีความสุขุม เพราะมีความละเอียดซับซ้อน ประกอบกับมีการนำเอาศาสนาประจำชาติขึ้นมาบังหน้า ฉะนั้น ศนท.จึงจะรอดูท่าทีของรัฐบาลและให้โอกาสรัฐบาลตัดสินใจและดำเนินการก่อน อย่างไรก็ดี ในที่ประชุมมีการตั้งข้อสังเกตกันมากว่า

  1. การเข้ามาครั้งนี้เป็นแผนการของกลุ่มบุคคลที่ต้องการทำรัฐประหาร
  2. ก่อนเข้ามามีการเตรียมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง มีบุคคลบางคนในรัฐบาลไปรับถึงสนามบิน และให้ทำการบวชได้ที่วัดบวรนิเวศฯ
  3. การเข้ามาของเณรถนอม อาศัยศาสนามาเป็นเครื่องบังหน้า ทำให้ศาสนาต้องมัวหมอง

ขณะที่ทาง ศนท.กำลังรอดูท่าทีของฝ่ายรัฐบาล ได้เกิดกระแสโจมตีการเคลื่อนไหวของ ศนท.อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสถานีวิทยุยานเกราะ ถึงกับมีการเรียกร้องให้รัฐบาลฆ่าประชาชนสัก 30,000 คนเพื่อคนจำนวนสี่สิบสามล้านคน

วันเดียวกันนี้  ตำรวจได้จับนักศึกษารามคำแหง ชื่อ นายวิชาญ เพชรจำนง ซึ่งเข้าไปในวัดบวรฯ พร้อมแผนที่กุฏิในวัด น.ส.พ.ดาวสยามพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในตอนเย็นว่า “จับ นศ.วางแผนฆ่าถนอม” แต่หลังจากนั้นตำรวจได้ปล่อยตัวนายวิชาญไป เพราะนายวิชาญเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มกระทิงแดง