หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

“ผมบอกเลยว่าไม่ใช่นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็นโคลนนิ่งของทักษิณ ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด อีกข้อสำคัญหนึ่งก็คือ การที่คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยสออร์โนนี่พูดแทนผมได้เลย”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ “โพสต์ทูเดย์” ที่ประเทศบรูไนถึง เหตุผลที่เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยังสอดคล้องกับสโลแกน พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงครั้งนี้ว่า “คิดใหม่ ทำใหม่อีกครั้ง” และ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”

“สุเทพ” เย้ยเหมือนหนังตะลุง

ทันทีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างเป็นทางการ พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้เรื่องส่วนตัวโจมตีทันที โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ถากถางและเย้ยหยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเหมือนหนังตะลุงที่จะทำอะไรก็ต้องรอคำสั่งทางโทรศัพท์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ

“คุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออกว่าถ้าเป็นนายกฯแล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะวิพากษ์ว่าอย่างไร มันเหมือนหนังตะลุง ทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก มีส่วนที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศ ประชาชนที่เลือกตั้งต้องชั่งใจอย่างหนัก”

จี้ถามนิรโทษกรรม

โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจะกลับประเทศไทยปลายปีนี้ทั้งที่ยังมีคดีติดตัวนั้น นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถือโอกาสถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงขั้นตอนการเข้าสู่การล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะมีขั้นตอนอย่างไรโดยไม่ต้องรับผิด และมีแนวทางในการป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความวุ่นวายอย่างไร เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงในการเปิดตัวว่าจะอาศัยหลักนิติธรรมให้บ้านเมืองเดินไป ข้างหน้า ซึ่งขัดแย้งกับที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดว่าจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะการจะออกกฎหมาย ล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วย และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย

เช่นเดียวกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือกระบวนการที่จะล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยพยายามทำมาถึง 2 ปีแล้ว โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปราศรัยหรืออธิบายกระบวนการล้างความผิดที่จะไม่ให้เกิดความ วุ่นวายได้อย่างไร

ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ประกาศว่าจะมุ่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่คิดแก้แค้นว่า เป็นเพียงการสร้างภาพเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ควรใช้คำพูดนี้ แต่ควรไปถามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เผาเมือง เช่น ญาติของทหารที่เสียชีวิต และผู้ค้าย่านราชประสงค์ว่าจะไม่แก้แค้นหรือไม่ การออกมาพูดอย่าง นี้ถือว่าดูถูกคนไทยเกินไป คนไทยไม่ใช่คนลืมง่าย

ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข

การนำเรื่องนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณมาใช้โจมตีนั้น ความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แถลงข่าวตั้งแต่วันที่ปรากฏตัวครั้งแรกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนประชาชนทั่วไป โดยยึดหลักนิติธรรม อีกทั้งพรรคเพื่อไทยคงไม่ให้ตนทำเพื่อคนคนเดียวเช่นกัน แต่ต้องคำนึงถึงทุกคนและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งยืนยันว่าการเข้าสู่การ เมืองครั้งนี้เพราะต้องการรับใช้ประชาชน แก้ความทุกข์ยากของประชาชน สร้างความปรองดองและมองข้ามความขัดแย้ง

“ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข ดิฉันพร้อมที่จะรับการพิสูจน์ต่อสาธารณชนภายใต้กติกาและมารยาทที่เป็นธรรม”

เป็นคำแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่น่าจะตอบคำถามและสอนมวยให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่ง แต่โจมตีเรื่องส่วนตัว และพยายามตอกย้ำให้กลุ่มเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเป็นแนวร่วม ซึ่งนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ประชาชนก็เซ็ง เพราะในอดีตนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็เคยโดนมาแล

ประชาธิปัตย์ไม่ใช่สุภาพบุรุษ

ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ย้อนถามพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามดิสเครดิตโดยขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวว่า คนที่ขุดคุ้ยก็ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด เพราะสังคมไทยรู้ดี เมื่อออกมาก็ถูกเบรกกันเป็นแถว คิดว่ามันไม่ใช่สุภาพบุรุษด้วย อยากเห็นทุกฝ่ายเคารพในความเป็นคน และเคารพที่มาที่ไปของแต่ละคน ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ให้ประชาชนตัดสินใจ ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจคงทำได้ยาก เพราะวันนี้การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การเมืองภาคประชาชนแข็งแรง ในอดีตที่ผ่านมาเห็นแล้วว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ถูกต้องและประชาชนไม่เอาด้วย รัฐบาลก็ไม่สามารถไปต่อได้

นายสมศักดิ์ย้ำว่า ไม่มีใครทำลายสถาบันการเมืองได้ดีเท่ากับคนในสถาบันการเมืองทำกันเอง อย่าดูถูกประชาชน อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ เขาแยกแยะได้ ถ้าฝ่ายการเมืองมาสาวไส้ตอแยกันเองจะเป็นอันตรายต่อระบอบ “อย่าไปกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น ขอให้เชื่อในพลังของประชาชนที่จะชี้นำประเทศได้ดีกว่าพรรคการเมือง”

จุดอ่อน “ยิ่งลักษณ์”?

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังมีจุดอ่อนหรือข้อด้อย คืออาจขาดการปรับตัวให้เข้ากับการเมือง โดยเฉพาะการเมืองไทยที่มีลักษณะเฉพาะ คือเป็นการเมืองที่ทำลายผู้นำ มีผู้นำคนแล้วคนเล่าถูกทำลายให้ล้มลง แต่เชื่อว่าหากความปรองดองเกิดขึ้นปัญหานี้จะเบาบางลง เพราะทุกฝ่ายอยากเห็นความปรองดองจริง มีการแก้รัฐธรรมนูญแล้วความปรองดองน่า จะเกิดขึ้นได้ และการเมืองจะปรกติ ยิ่งเป็นผู้หญิง และไม่มีพื้นฐานด้านการเมือง ไม่เคยมีความแค้น ส่วนตัวกับใคร ไม่มีความชอบส่วนตัวกับการเมือง ฝ่ายไหน ยิ่งช่วยให้สะดวกที่จะเข้าไปพูดคุยหารือ กับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความปรองดอง ซึ่งความเป็นผู้หญิงจะเป็นจุดแข็ง และตอนนี้ได้เดินสายพูดคุย คือเริ่มทำงานปรองดองแล้วด้วยซ้ำไป

“เมื่อไม่มีใจเขาก็เป็นกลางที่จะเข้าไปพูดคุยกับทุกฝ่ายให้เกิดความ ปรองดอง สถานะความเป็นผู้หญิงจะไปขอความปรองดองจากทุกฝ่าย ไปพูดจา ไปพบปะคนได้โดยไม่มีการแบกอคติทางการเมืองไว้”

“อภิสิทธิ์” ท้าดีเบต “ยิ่งลักษณ์”

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้หนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรค เพื่อไทย โดยนายอภิสิทธิ์กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบและถูกโจมตีทั้งเรื่อง ส่วนตัวและความรู้ความสามารถ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์มีประสบการณ์ทางการเมืองมากกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะการเป็นนักพูดที่ยากจะหาผู้ต่อกรได้ จึงไม่แปลกที่ทั้งนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ต่างออกมาเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “ดีเบต” หรือแสดงวิสัยทัศน์กับนายอภิสิทธิ์

แต่พรรคเพื่อไทยออกมาคัดค้านและประณามพรรคประชาธิปัตย์ว่ายังมีพฤติกรรม แบบการเมืองรุ่นเก่าเต่าล้านปี ต้องการใช้สำนวนโวหารเป็นอาวุธประหัตประหารผู้อื่นในทางการเมือง แทนที่จะเอาผลงานมาแข่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์สามารถเอาผลงานกว่า 2 ปีที่ผ่านมามาหาเสียงหากคิดว่าประชาชนยอมรับ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดนั้นเหมือนมวยออกอาการ พอจะแพ้ก็วิ่งเข้าใส่เพื่อแลกหมัด หวังจะแลกเพื่อน็อก น.ส.ยิ่งลักษณ์

นอมินีอำมาตย์ “ดีแต่พูด”

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนว ร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการท้าดีเบตว่า เพราะพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ได้เปรียบอย่างมากหากเทียบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่กลับไม่สงสารคนไทยที่กว่า 2 ปี นายอภิสิทธิ์ดีแต่พูด เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วยังจะหาเวทีพูดอีก ซึ่งคนไทยเห็นตัวตนของนายอภิสิทธิ์หมดแล้ว

ส่วนที่นายสุเทพบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเพราะไม่ยอมรับความจริงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรระดับ หมื่นล้าน ซึ่งมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง หรือถ้ามองในมิติบริหารถือเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ ยิ่งบวกกับความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาผสมยิ่งมีความลงตัวที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม

“ดีกว่านายอภิสิทธิ์ที่เป็นหุ่นเชิดของอำนาจนอกระบบ แต่ไม่มีต้นทุนความสามารถเลย เมื่อเข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็มีสภาพและข่าวทุจริตอย่างที่เห็น ผมจึงขอให้สโลแกนใหม่ว่าเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นโยบาย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้ารักนายสุเทพ นายเนวิน ให้เลือกนายอภิสิทธิ์ ผมเชื่อว่าประชาชนจะพิจารณาได้”

นายณัฐวุฒิยังท้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้าเห็นว่านายอภิสิทธิ์เก่งกาจสามารถ เป็นที่รักของประชาชนเหลือเกิน มั่นใจและแน่จริงก็อย่าโกงผู้หญิงแล้วกัน อย่าใช้อำนาจนอกระบบโกงคะแนนเลือกตั้งและแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล ทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน

“ไฮแจ๊ค” จนชาติป่นปี้

การไล่ถล่ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงน่าจะเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงนายอภิสิทธิ์และพรรคประชา ธิปัตย์มากกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนได้ฉายา “รัฐบาลเทพประทาน” สะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ให้กลุ่มอำนาจนอกระบบหรือกลุ่มอำมาตย์

ด้านนายเสนาะ เทียนทอง ที่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มั่นใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกำลังจะทำงานใหญ่และจะได้เป็นรัฐบาล แต่สงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาในจุดนี้ เพราะรัฐบาลนี้ทำอะไรไม่เป็น นอกจากกู้อย่างเดียว

“ผมเป็นผู้จัดการรัฐบาลมาหลายสมัย แต่ไม่เคยเห็น ครม. ไหนอนุมัติโครงการวันเดียวเป็นแสนล้านบาท ผมยังมีฤทธิ์อยู่ และเชื่อว่าจะพาลูกหลานไปสู่จุดหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เพราะขณะนี้ได้ประสานกับหลายฝ่ายเอาไว้พอสมควร ที่มีคนบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีอุปสรรค ไม่ว่าจะได้เสียงเท่าไรก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลนั้น ต่อไปนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะตั้งแต่มีการไฮแจ๊คปล้นกันกลางแดดจนทำให้ประเทศชาติเสียหายป่นปี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเข้ามาบริหารประเทศอีกสมัย และคิดว่าอาจจะเป็นพรรคเดียวก็ได้”

หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญว่า จะทำให้การเมืองไทยเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยต่อไปได้หรือไม่เท่านั้น แต่ประชาคมโลกก็ติดตามและเฝ้ามองว่าในที่สุดประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” การปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่

เพราะความขัดแย้งไม่ได้อยู่แค่การแย่งชิงอำนาจในระบบของพรรคการเมืองว่า ใครจะได้เป็น รัฐบาล แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “โคลนนิ่งทักษิณ” เป็นตัวแทน ส่วนกลุ่มอำนาจเดิมหรือกลุ่มอำมาตย์ มีนายอภิสิทธิ์เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด”

อย่างที่นายแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า การเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นย่างก้าวที่กล้าหาญและเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ แม้เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกมองว่าเป็นการส่งมอบอำนาจของตระกูลชินวัตร แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และพวกพ้องกลัวที่สุดคือการลงแข่งขันกับ พ.ต.ท.ทักษิณในสนามเลือกตั้ง

ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณยืน ยันว่าเป็น “โคลนนิ่ง” ไม่ใช่ “หุ่นเชิด” จึงเป็นคนที่มีความสามารถและตัดสินใจได้เองทุกอย่าง ไม่เหมือนนายอภิสิทธิ์ที่ถูกมองว่าเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ของกลุ่มอำมาตย์ที่ “ดีแต่พูด” ไม่มีผลงานชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ยังไม่กล้าแตะต้องแม้แต่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาสารพัดว่า ทุจริตคอร์รัปชัน

การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็นการตัดสินใจของคนไทยทั้งประเทศว่าจะกล้า เปลี่ยนแปลงประเทศโดยเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งให้ได้เสียงแบบถล่มทลายไปเลยหรือ ไม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ว่าจะเป็น “หุ่นเชิดอำมาตย์” หรือ “โคลนนิ่งทักษิณ” ความขัดแย้งในบ้านเมืองก็จะยุติไปเอง

เพราะในสังคมประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ประชาชนย่อมมีสิทธิเลือกผู้ปกครองของตัวเอง

ไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียงสวรรค์จากที่ไหน!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 311 วันที่  21 – 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ “ไพร่” ตัวพ่อ

เป็นข่าวร้อนฉ่าตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าถึงการปะทะคารม กันผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อ “อำมาตย์ชาย+อำมาตย์หญิง” กับ “ไพร่” ที่บังเอิญไปใช้บริการร้านอาหารเดียวกัน แม้จะไม่ได้ปะหน้ากันตรงๆ ก็ตาม

แต่แล้วเครื่องดื่มขวดเดียวก็ทำให้เรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

มติชน “อาทิตย์สุขสรรค์” มีโอกาสได้เป็นแขกรับเชิญที่บ้านเศรษฐสิริ ย่านสนามบินน้ำ เจ้าของบ้านไม่ใช่ใครอื่น คือ “ไพร่” ตัวพ่อ ที่กล่าวได้ว่ามีแม่ยกมากที่สุดในบรรดานักพูดเสื้อแดง

…ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น

เป็น คนอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2518 เป็นลูกชายคนเล็กของนายสำเนา และนางปรียา ใสยเกื้อ มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายเจตนันท์ สมรสกับ (แก้ม) สิริสกุล ใสยเกื้อ อดีตนางฟ้าสายการบินแห่งหนึ่ง มีทายาทเป็นชายหนึ่ง คือ ด.ช.นปก หรือ น้องช้างน้อย และหญิงหนึ่งคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ หรือ น้องตราตรึง

ชีวิตตั้งแต่เด็กเติบโตมาในครอบครัวผู้นำท้องถิ่น ที่มีปู่และตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน พออายุได้ไม่กี่เดือนพ่อแม่ก็แยกทางกัน เด็กชายเต้นจึงไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่

จบชั้นประถมจากโรงเรียนวัด พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช ซึ่งที่โรงเรียนนี้เองที่เป็นสถานเพาะบ่มเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้กลายเป็นดาว เด่นคว้าแชมป์บนเวทีโต้คารมมัธยมศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นรายการที่โด่งดังมากในขณะนั้น

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ความที่เป็นนักกิจกรรม นักโต้วาทีเก่า ทำให้เขามีวาจาเป็นเสมือนมนตราเรียกคะแนนความรักจากบรรดาแม่ยกได้อย่างท่วมท้น

เขาย้อนอดีตเมื่อวันวาน ที่มาของความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาว่า…

“ผม เป็นหลานผู้ใหญ่บ้าน เวลามีการทำถนนในหมู่บ้าน พวกคนขับรถดั๊มพ์ คนขับรถแทร็กเตอร์ก็จะกินมานอนที่บ้านผู้ใหญ่ มันกลายเป็นภาพที่ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เข้าใจว่าคนอยู่กับสังคมชนบท อยู่อย่างชาวบ้านอยู่อย่างไร

…ที่บ้านผมก็เป็นครอบครัวที่เป็นนักสู้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ผมผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ได้เผชิญหน้ากับอิทธิพล อำนาจมืดมาสารพัดรูปแบบ”

เขาสมัคร ส.ส.สองครั้งสองคราวเพราะชอบการเมือง ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สมใจ แต่เป็นได้แค่ 7 วัน

และนี่เป็นอีกครั้งของการสมัครเป็นแคนดิเดต ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย

ค่ำวันหนึ่ง ณัฐวุฒิ สวมชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงขาสั้น ลายสก๊อตแบบสบายๆ ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งคุยแบบสบายๆ ภายในบ้าน พร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับภรรยาสุดที่รักและแก้วตาดวงใจทั้งสอง

ตามเข้ามารู้จักกับเรื่องราวของเขา…ผู้ชายที่ประกาศกับใครๆ ว่า เขาคือ ไพร่ ตัวจริง

– เป็นนักโต้วาทีตั้งแต่ยังอยู่ชั้นมัธยม?

ผมเป็นนักกิจกรรม เวลาในโรงเรียนมีงานอะไรผมจะทำหน้าที่เป็นโฆษกมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยนั้นผมเกเรมาก กินเหล้า สูบบุหรี่ ตั้งแต่ ม.1 พอขึ้น ม.3 ก็ไปตีกับเด็ก ม.6 เป็นขาใหญ่ตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว

อย่างตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมปีใหม่ ผมก็บอกเพื่อนที่ห้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ไปปิดช่องหน้าต่างให้มืด แล้วเอาไฟมาติด เครื่องเสียงมาตั้ง เปิดเป็นดิสโก้เธคเต้นดื่มกันสนุกสนาน มีเพื่อนๆ มากันกว่า 300 คน สนุกกันมาก แต่เด็กผู้หญิงไม่เอาด้วยเพราะเหม็นควันบุหรี่ ออกไปร้องไห้หน้าห้องจนครูทราบเรื่อง ต้องเชิญผู้ปกครองมาพบครู ตอนนั้นผมพาแม่ไป แม่ผมร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าให้ลูกมาโรงเรียนแล้วจะมาเป็นแบบนี้ ผมเลยได้คิดว่า ผมทำให้น้ำตาลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเรายิ่งกว่าชีวิตไหล

หลังจากนั้นเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ลดกิจกรรมโลดโผน แล้วหันไปเริ่มสนใจกิจกรรมการเมืองในโรงเรียน พอมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน ผมทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ช่วยหาเสียง ช่วยปราศรัยให้กับพรรคๆ หนึ่ง จนชนะได้เป็นกรรมการนักเรียน คราวนี้พอมีรายการโต้วาที อาจารย์จึงส่งไปแข่ง ตอนนั้นโต้วาทีดังมาก มีนักเรียนหญิงวิทยาลัยต่างๆ ขอเพลงให้ฟังทุกคืน รายการวิทยุดังๆ เชิญผมไปสัมภาษณ์ มีจดหมายจากทั่วประเทศเขียนมาถึงเป็นลังๆ

– มีครูสอนโต้คารม?

มี อาจารย์ที่โรงเรียนช่วยสอนบ้าง เช่น อาจารย์ทวี แดงหวาน แต่จริงๆ แล้วผมสั่งสมประสบการณ์ในการพูดมาจากการปราศรัยช่วยน้าชายหาเสียงตอนสมัคร ส.จ.ที่อำเภอสิชล ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ยังพูดไม่ค่อยเป็น แต่ก็มีคนมาฟังกันมากคงเพราะบอกกันปากต่อปากว่ามีเด็กมาพูด ปรากฏว่า น้าชายผมชนะเลือกตั้ง

– ได้สัมผัสกับการเมืองเต็มๆ ด้วยตนเองครั้งแรกเมื่อไหร่?

ตอนอายุครบ 25 ปี ในปี 2544 รัฐธรรมนูญกำหนดให้คนอายุ 25 ปีลงสมัครเลือกตั้งได้ แบบลงเขตเดียวเบอร์เดียวจึงตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.สังกัดพรรคชาติพัฒนาโดยมี กร ทัพพะรังสี เป็นหัวหน้าพรรค

ตอนนั้นซื้อรถเก๋งมือสอง ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด ขับลงไปที่บ้านเปิดเวทีปราศรัยอย่างเดียว มีคนฟังเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มีคู่ต่อสู้คือ มาโนชย์ วิชัยกุล ของพรรคประชาธิปัตย์เป็น ส.ส.มาหลายสมัย ผมแพ้ได้คะแนนเป็นลำดับที่สอง แต่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของพรรคชาติพัฒนาในภาคใต้

– สอบตกส.ส.แล้วกลับไปทำอะไรต่อ?

พอสอบตกก็หมดตัว เหลือรถคันเดียวหมดไปหลายแสนบาท กลับมาบ้าน ตั้งหลักอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มมีงานทอล์คโชว์เข้ามา มีรายการโทรทัศน์ติดต่อเข้ามา อีกรายการรัฐบาลหุ่น ให้เลียนแบบเสียงของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี พอทำไปๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน มีบางส่วนถอนตัว แล้วผมเข้าไปทำหน้าที่แทนเขียนบทล้อการเมือง รายการเริ่มดัง เงินก็เข้ามามาก เริ่มไปเรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่นิด้า คิดว่ายังไงก็ควรจะมีฐานทางการศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าจะอย่างไรก็ตามผมก็ต้องกลับไปการเมืองอีก และงานที่ผมทำเป็นนักพูด นักบรรยายก็จำเป็นจะต้องมีวิชาความรู้อะไรพอสมควร

ปี 2548 ผมก็ลงสมัคร ส.ส.อีกครั้งในนามพรรคไทยรักไทย เขต 4 จ.นครศรีธรรมราช มีคนสมัคร 4-5 คน มีการทำโพล ผมคะแนนดีกว่าเพื่อน แต่ก็แพ้อีกได้คะแนน 28,000 คะแนน หมดตัวอีกรอบ แถมยังเป็นหนี้อีก ผมหมกตัวอยู่ในคอนโดฯไม่ออกไปไหนเลยไม่มีเงิน ได้กินข้าววันละ 2 กล่องที่แฟนซื้อมาให้ เป็นอย่างนี้ประมาณครึ่งเดือน ตัดสินใจนำสร้อยทอง ที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดไปขาย เป็นสร้อยที่ได้มาตอนเป็นแชมป์โต้คารมจากสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมัธยม

– เลิกสนใจการเมือง ?

ไม่ครับ จากนั้นเริ่มมีคนติดต่อให้ไปพูดอีก เริ่มมีรายได้ ผมเริ่มสนิทกับพี่ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ (พ.ศ.2548) พี่ตู่มักจะโทร.มาชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มคบกันมาอยู่ด้วยกันตลอด จนมีการตั้งรัฐบาล

มาคิดทำ โทรทัศน์ช่องเอ็มวี 1 โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการก่อนที่จะเป็นเอ็มวี 1 ก็มีผมกับพี่ตู่ ไปจัดรายการทางยูบีซี 9 ชื่อรายการ “คุยข่าวมันวันอาทิตย์” ทำสักพัก ก็ไปทำเอ็มวี 1 โทรทัศน์ดาวเทียม

จากนั้นวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้เป็นผู้แทนสมใจ หลังสมัครลงปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ลำดับดีมากคือ 98 ส่วนพี่ตู่ลำดับ 97 เข้าไปรายงานตัว ได้บัตรผู้แทนราษฎร แต่การเลือกตั้งครั้งประกาศเป็นโมฆะ เป็น ส.ส.ได้เพียง 7 วัน

จนมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังเกิดการปฏิวัติ ผมกับพี่ตู่ โทร.หาพี่วีระ (วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.) พี่วีระก็บอกให้ไปเจอกันที่พรรคไทยรักไทยเปิดแถลงข่าวสู้ว่าไม่ยอมรับการปฏิวัติ

ก็ไปที่พรรคไทยรักไทย ผมไม่รู้เรื่องไม่เคยสู้กับคณะปฏิวัติ ผมนึกไม่ออกเลย ผมอยากเป็นผู้แทนฯเฉยๆ จะสู้อย่างไรกับการปฏิวัติ แต่ผมเคยเป็นผู้ชุมนุมตอนเดือนพฤษภา สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งเวทีขับไล่เผด็จการ ไม่รู้จักแกนนำ และคิดอยู่ในใจแล้วว่าผมไม่เอาการรัฐประหารตั้งแต่พฤษภาคม ปี 2535

– พอการต่อสู้ดุเดือดขึ้นกลัวบ้างหรือเปล่า?

ผมเป็นคนไม่กลัวคน ผมเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ถ้าพูดเอาฮาก็พูดได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าข่มเหงกันไม่ได้รังแกกันไม่ได้ ไม่กลัว ไม่เคยวิตกกังวลกับเรื่องว่าเขาจะเอาไปขังหรือไปฆ่าเวลาสู้

เพราะถ้าสู้แล้วมันคิดเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้าคิดเรื่องนั้นก็ไม่ต้องสู้ แต่ไม่ใช่มุทะลุจนไม่รอบคอบ พรรคพวกก็บอกว่าผมได้ทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ผมว่าจริงๆ ไม่ใช่ แต่ว่ามันอยู่ที่สถานการณ์ไหนควรทำอย่างไรจะไม่บู๊เพราะอารมณ์ โมโห แต่จะบู๊เพราะจำเป็นเท่านั้น และต้องให้ชนะเท่านั้น รวมทั้งต้องมีวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด สมัยเด็กผมไม่เคยตีใครด้วยความโมโห ผมตีให้เพื่อนทั้งนั้นจริงๆ

– ในช่วงการต่อสู้ที่รุนแรง คิดถึงลูก?

ห่วง คิดว่าลูกไม่ควรมารับผิดชอบหรือเผชิญอะไรกับสิ่งที่เราสู้ ไม่แฟร์ เพราะว่าลูกควรจะมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ควรมีชีวิตผ่านความทุกข์และความกด ดัน แต่ว่าเมื่อเราออกมาสู้ลูกก็หลีกเลี่ยงผลกระทบพวกนี้ไม่พ้น ตอนถูกขังก็เป็นห่วง ห่วงมากเข้าก็เลยปรับวิธีคิดใหม่ ถ้าคิดว่าสามคนเป็นแค่ลูกเมีย มันห่วงไม่จบ ผมก็เลยคิดว่าเขาสามคนเป็นเสื้อแดง เมื่อสามคนเป็นคนเสื้อแดงเขาจะต้องสู้เขาก็ต้องผ่านความเจ็บปวดพวกนี้มาให้ ได้ เพราะครอบครัวเสื้อแดงหลายครอบครัว เจ็บปวดกว่านี้อีกคนที่เขารักตาย พิการ บาดเจ็บ ผมแค่ถูกขังก็มีวันออก เห็นหน้ากันได้ทุกวันเวลาไปเยี่ยม

– เข้าไปอยู่ในคุกได้อะไรบ้าง?

ผมอ่านหนังสือเป็นลังๆ มีญาติพี่น้องส่งให้ คิดว่าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบันจนหมดและประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี เหมา เจ๋อ ตุง ดร.ซุน ยัด เซ็น การปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนในอังกฤษการปฏิวัติฝรั่งเศส การต่อสู้ในปากีสถาน การต่อสู้ของโฮจิมินห์ ฯลฯ

อ่านแล้วเอามาเทียบ เคียงกับการต่อสู้ของเราจะเห็นมิติของการตัดสินใจมิติการประเมินสถานการณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น บางเรื่องเทียบเคียงกันได้เลยบางเรื่องเป็นความแตกต่างที่เราเก็บไว้ในคลัง ของความรู้เผื่อว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ เผื่อว่าสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนมันมีลักษณะคล้ายคลึงกันเทียบเคียงกัน มันอยู่ที่เราจะจับอะไรมาพูด

– ทำไมจึงหยิบคำว่า “ไพร่” มาใช้ในการต่อสู้?

ผมเพียงแค่ต้องการสื่อสารกับคนทั้งสังคม ที่ผมเรียกตัวเองว่า “ไพร่” เพื่อจะสื่อว่าที่พวกคุณทำกับเราทุกอย่างเพราะไม่ได้เห็นเราเป็นประชาชนใช่ หรือไม่ เพราะเห็นเราเป็นไพร่ใช่ไหม จึงทำกับเราแบบนี้ ถ้าเห็นเราเป็นประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าเห็นเราเป็นไพร่จะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้ จะรังแกจะกดขี่ทำอะไรก็ได้

ความหมายของคำว่า “ไพร่” ของผมคือ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าคนจน-คนรวย เรื่องสูง-เรื่องต่ำ แต่เป็นเรื่องของคนที่ถูกกดขี่ ถูกลดทอนความเป็นประชาชน ผมต้องการสื่อสารสิ่งนี้

คำว่า “ไพร่” ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งบัญญัติขึ้นมีการใช้มาชั่วนาตาปี แต่ผมต้องการจับคู่คำ จะเรียกว่า “ขี้ข้า” (หัวเราะ) มันก็ดูจะไม่เข้าเท่าไร ครั้นจะไปเรียกว่า “พี่น้องขี้ข้าทั้งหลาย” มันก็ไม่ได้ หาอยู่หลายคำ จนกระทั่งสุดท้ายมาใช้คำว่า “ไพร่” นำมาสร้างเรื่องราวเป็นสนามการต่อสู้ระหว่างอะไรกับอะไร ไม่เชิงประชดแต่ต้องการจะทิ่มแทงไปตรงใจกลางของปัญหา ส่วนคำว่าอำมาตย์ก็มาจากอำมาตยาธิปไตย ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน

ผมเชื่อว่าปัญหาทางชนชั้นของประเทศนี้มีจริง แล้วนายกรณ์ ก็ได้ยืนยันอีกครั้งว่ามีจริง ผมไม่คิดว่าปี 2554 จะมีคนคิดแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมได้เห็นแล้ว

– วางอนาคตของครอบครัวไว้อย่างไร?

ผมว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงอีก 3-5 ปีน่าจะได้ข้อยุติและหลังจากนั้นผมจะอยู่ในฐานะใดไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตก กังวล ผมก็ดูแลครอบครัวให้เติบโตเป็นชีวิตที่มีความสุขที่เขาต้องการเท่านั้น

คือทำบ้านเมืองให้น่าอยู่เสียก่อน แล้วค่อยทำบ้านเราให้น่าอยู่สำหรับลูกเมียของเราเอง ถ้าไม่ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่สำหรับทุกคน มันหันมามองลูกเมียข้างหลังมันหันมองไม่เต็มตา เพราะหันไปมองข้างหน้ามันยังมีความเจ็บปวดมันยังมีการกดขี่เอารัดเอาเปรียบกันอยู่แบบนี้

ที่มา : มติชน 22 พฤษภาคม 2554
โดย : ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ


บ้านเมืองปี 2554รัฐบาลอภิสิทธิ์มั่นคง ประชาชน ล่มสลาย

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 2 ปีแห่งการบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลจัดงานแถลงข่าวแสดงผลงานเสียใหญ่โต คุยฟุ้งถึงความสำเร็จในด้านต่างๆ โดยอ้างว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวและสังคมไทยเป็นสุข ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เพิ่มถึง 7.9 เปอร์เซ็นต์ อัตราการว่างงานลดลง และรัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ใช้นโยบายเรียนฟรี เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน นายอภิสิทธิ์ย้ำว่า

“ผมทำงานมา 2 ปี แม้หลายเรื่องที่เล่าให้ฟังจะผลักดันให้สำเร็จ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่พี่น้องยังไม่พอใจ ยกตัวอย่างยาเสพติด อบายมุข ทุจริตคอร์รัปชัน และความขัดแย้งในสังคม”

นายอภิสิทธิ์อธิบายต่อไปว่า จะพยายามลดปัญหาความขัดแย้ง ให้คนไทยอยู่ร่วมกันได้ และสรุปว่า “ของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลจะให้คือเราจะสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนและคืน ความสงบสุขให้คนไทย”

ถ้าฟังจากที่นายกรัฐมนตรีแถลงดูเหมือนว่าสังคมไทยจะก้าวหน้าไปด้วยดี รัฐบาลบริหารประเทศเป็นที่ยอมรับ ปัญหาตกค้างก็มีไม่มากนัก นายอภิสิทธิ์น่าจะเป็นผู้นำที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชน แต่ความเป็นจริงโฉมหน้าของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นอย่างไร คงต้องเริ่มจากเรื่องที่ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยกรุงเทพได้เผยผลสำรวจ ทัศนคติของประชาชนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมาว่าจากการเก็บข้อมูลประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจากทุกภาคของประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,448 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจผลงานของรัฐบาลเพียง 3.82 คะแนนเท่านั้น จาก 10 คะแนน ขณะที่ปีก่อนนี้ได้ 3.87 คะแนน เท่ากับลดลง 0.05 คะแนน ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีได้คะแนนนิยม 4.44 คะแนน เทียบกับปีก่อนได้ 4.70 คะแนน เท่ากับลดลง 0.26 คะแนน

ถ้าดูจากคะแนนเหล่านี้เป็นตัวตั้งจะเห็นได้ชัดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งมิ ได้มาจากการชนะการเลือกตั้งมีคะแนนนิยมในหมู่ประชาชนค่อนข้างน้อยตั้งแต่ปี แรกที่บริหารประเทศ และยังน้อยลงอีกในปีนี้ ข้อเท็จจริงนี้ยังได้รับการยืนยันจากโพลของสถาบันพระปกเกล้าและสำนักงาน สถิติแห่งชาติที่เก็บข้อมูลจากประชาชน 33,800 คน พบว่าความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อนายอภิสิทธิ์ยังน้อยกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย

อะไรคือปัญหาหลักที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้รับความนิยมในระดับต่ำเช่น นี้ คงต้องอธิบายว่าปัญหาหลักของรัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งแต่แรกที่ขึ้นบริหารประเทศ ก็คือเรื่องความชอบธรรมทางการเมือง เพราะวิธีการได้มาซึ่งอำนาจนั้นเป็นวิธีการที่นายเสนาะ เทียนทอง เรียกว่า “ไฮแจ็ค” คือใช้วิธีการอันฉ้อฉลทางการเมือง โดยอาศัยอำนาจตุลาการยุบพรรคพลังประชาชนที่เป็นพรรครัฐบาล ตัดสิทธิทางการเมืองนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้นใช้อำนาจของกองทัพและกลโกงทางรัฐสภา รวบรวมเสียงที่แตกออกจากพรรคพลังประชาชนแล้วเอาพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอื่นๆมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ที่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งให้กลาย เป็นแกนกลางตั้งรัฐบาล และให้นายอภิสิทธิ์มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น ตลอดเวลาที่บริหารประเทศความชอบธรรมทางการเมืองจึงถูกท้าทายอยู่เสมอ จนเมื่อประชาชนคนเสื้อแดงมาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็แก้ปัญหาโดยการใช้กองทหารเข้ามาเข่นฆ่าสังหารจนมีผู้เสีย ชีวิตไป 91 คน และบาดเจ็บนับพันคน ทำให้นายอภิสิทธิ์กลายเป็นนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดที่น่าเกลียดที่สุดใน ประวัติศาสตร์ไทย

แต่ปัญหาสำคัญของรัฐบาลไม่เพียงแต่เรื่องปัญหาทางการเมืองเท่านั้น ในทางเศรษฐกิจก็เป็นที่ยอมรับกันตั้งแต่แรกว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีแนวทาง นโยบายเศรษฐกิจอันชัดเจน วิธีการหาเงินของรัฐบาลคือการหาทางเก็บภาษีเพิ่ม ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และการกู้เงินต่างประเทศ ซึ่งตัวเลขที่เป็นทางการระบุว่ารัฐบาลชุดนี้กู้เงินต่างประเทศมาแล้วราว 8 แสนล้านบาท โดยไม่มีการดำเนินการทางเศรษฐกิจที่เป็นชิ้นเป็นอัน การส่งออกก็ลดลงในปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตกต่ำอย่างหนักยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัว

ความล่าช้าของรัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจเห็น ได้ชัดจากกรณีมาบตาพุดที่ศาลปกครองกลางสั่งระงับชั่วคราวโครงการถึง 76 โครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ด้วยเหตุผลว่าโครงการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และส่งผลต่อการดำเนินการทางเศรษฐกิจระยะยาว รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการแก้ไขจัดการจนเวลาล่วงมานับปี และต่อมากรณีเงินบาทแข็งค่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กระทบต่อการส่งออกอย่างมาก รัฐบาลก็ไม่มีมาตรการที่จะแก้ปัญหาได้ทันท่วงที จนขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเชิงนโยบาย

ที่เห็นได้ชัดถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลอภิสิทธิ์คือปัญหาเรื่องอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลก็แก้ปัญหาอย่างล่าช้า ไม่ทันการณ์เท่ากับภาคเอกชน เช่น ครอบครัวข่าวช่อง 3 ที่ลงมือช่วยคลี่คลายปัญหาไปก่อนและไปได้ไกลมาก ทั้งที่รัฐบาลมีกลไกพร้อมเพรียงกว่ามากมาย

นอกจากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ เรื่องใหญ่ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่าในระยะ 2 ปีมีข่าวการทุจริตเกิดขึ้นแล้วถึง 120 กรณี ซึ่งการทุจริตภายใต้รัฐบาลชุดนี้ยังได้รับการยืนยันจากสื่อต่างประเทศอีก ด้วยว่าตัวเลขการทุจริตของประเทศไทยภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่มขึ้นยิ่งกว่า รัฐบาลชุดอื่นในอดีต การแถลงของนายกรัฐมนตรีว่าจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันนั้นเป็นเพียงลมปากที่ไม่เคย มีการดำเนินการที่เป็นจริงเลย

ด้วยเงื่อนไขแห่งความไร้ประสิทธิภาพในการบริหาร ความล้มเหลวในการดำเนินการทางเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนปัญหาความแตกแยกในบ้านเมือง จึงทำให้คะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์มีระดับที่ต่ำมากดังกล่าว และยังคาดได้ด้วยซ้ำว่าในปี 2554 นี้คะแนนนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีและพรรคประชาธิปัตย์จะยิ่งต่ำลงอีก แต่กระนั้นผมจะขอคาดการณ์ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์จะมีความมั่นคงต่อไป และจะบริหารประเทศไปได้อีก 1 ปีข้างหน้า

ส่วนสัญญาที่ว่าจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปีหน้านั้นให้ถือว่าเป็น ลมปากของนายกรัฐมนตรีเช่นกรณีอื่น เพราะมีความเป็นไปได้ว่านายอภิสิทธิ์จะถ่วงเวลา ไม่มีการยุบสภาจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาท้ายที่สุด และถ้าจะมีการเลือกตั้งใหม่ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่นำนายอภิสิทธิ์กลับมา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมนายกรัฐมนตรีที่บริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพและไม่มีคะแนนนิยมในหมู่ ประชาชนจึงสามารถบริหารประเทศได้อย่างมั่นคง คำตอบคือนายอภิสิทธิ์ยังได้รับการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากเครือข่ายของอำมา ตยาธิปไตยนั่นเอง หรือกล่าวได้ว่าทั้งชนชั้นนำ ทั้งคณะตุลาการและผู้นำในกองทัพล้วนโอบอุ้มนายอภิสิทธิ์ต่อไป

ดังนั้น ต่อให้นายอภิสิทธิ์ล้มเหลวในการบริหารยิ่งกว่านี้ จะเข่นฆ่าสังหารประชาชนมากกว่านี้ นายอภิสิทธิ์ก็ยังเป็นหุ่นเชิดอันเหมาะสมของเหล่าอำมาตย์อยู่นั่นเอง พรรคฝ่ายค้านเช่นพรรคเพื่อไทยต่างหากที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายกว่าที่จะ ถูกยุบหรือทุบทำลาย โดยเฉพาะถ้าหากว่ามีการเลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยชนะคาดการณ์ได้ว่าพรรคจะ ต้องถูกยุบอีก เพื่อเปิดทางให้ประชาธิปัตย์มาบริหารประเทศเช่นเดิม ระบบสองมาตรฐานได้ฝังรากลึกในหมู่ชนชั้นนำไทยเสียแล้ว

ในภาวะเช่นนี้ประชาชนจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับฆาตกรอำมหิตและเครือ ข่ายโจรไล่ไม่ไปเหล่านี้ คำตอบคือจะต้องแปรยุทธศาสตร์การต่อสู้ให้เป็นแบบระยะยาว เคลื่อนไหวจัดตั้งทางความคิดเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการตื่นตัวของประชาชน และเกิดปรากฏการณ์ตาสว่างให้มากที่สุดเพื่อจะสะสมกำลังของฝ่ายประชาชน รอคอยโอกาสต่อไป

ขอให้มั่นใจว่าในระยะยาวแล้วเหล่าอำมาตย์ไม่มีอนาคตแต่อย่างใด โดยกระแสการเมืองของโลกและกระแสในหมู่ประชาชนไทยที่เป็นกระแสประชาธิปไตย ในท้ายที่สุดพลังประชาธิปไตยจะต้องได้รับชัยชนะ และขณะนี้ขบวนการคนเสื้อแดงก็ถือว่าอยู่แนวหน้าสุดของขบวนการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตย ความสามัคคีและใจกว้างจะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงสะสมความได้เปรียบและนำไปสู่ชัย ชนะของประชาชนได้ในที่สุด

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 292 วันที่ 1 – 7 มกราคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

 


ทางตัน ‘อีลิตไทย’ กับการจุดไฟในนาคร

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผลออกมาดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าผู้คนคงยังไม่ได้คำตอบในเรื่องที่คาใจ ว่าพรรคประชาธิปัตย์ถูกหรือผิด แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับลอยตัว เพราะมองแค่เทคนิคกฎหมายว่าคดีขาดอายุความนั้น ความรู้สึกของผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ต่อเรื่องดังกล่าวนับว่ามีผลอย่างรุนแรง ในทางลบแม้ว่าผู้เขียนจะไม่ได้ทำวิจัยอย่างเป็นระบบ แต่จากการสัมภาษณ์และสังเกตกลุ่มคนที่หลากหลาย ทั้งกรณีมวลชนของกลุ่มคนเสื้อแดง และบรรดานักวิชาการ อาชีพอิสระที่เป็นชนชั้นกลางซึ่งไม่ได้เป็นพันธมิตรคนเสื้อแดงโดยตรงแต่รัก ความยุติธรรม ต่างก็มีความรู้สึกไม่เชื่อถือระบบที่ดำรงอยู่ในรัฐไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันรูปธรรมของการไม่พิจารณาคดีกลับช่วยตอก ย้ำข้อ กังขาเรื่องอำนาจนอกระบบ อำนาจที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของประชาชน หรือกลุ่มคนที่มีอำนาจโดยไม่ได้มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้นมี อิทธิพลต่อสังคมการเมืองไทยอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะมีใครออกมาพูดให้ยอมรับคำตัดสินอย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกที่แท้จริงแล้วกลับเป็นตรงกันข้าม

ในข้อเท็จจริงคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นชนชั้นกลาง เท่าที่ผู้เขียนได้สัมผัสและพูดคุยพบว่าคนเหล่านี้ยังมีความเชื่อมั่น มั่นใจและเคารพในระบบองค์กรและบุคลากรของศาลยุติธรรม ซึ่งมีภาวะความเป็นสถาบันและมีความสืบเนื่องในสังคมไทย มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มาอย่างช้านาน แต่กับองค์กรซึ่งเป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญฉบับหลังที่เรียกตนเองว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” วันนี้ได้แสดงธาตุแท้ออกมาแล้วว่าเป็นเพียงองค์กรอิสระคล้ายเอ็นจีโอ กระบวนการคัดสรรบุคลากรก็มีปัญหา เนื่องจากถูกคัดสรรโดยกลุ่มอำนาจยุคปฏิวัติที่ไม่มีความยึดโยงกับประชาชน รวมถึงมีที่มาในเชิงองค์ความรู้และวิชาชีพของตุลาการที่หลากหลาย

ดังนั้น พฤติกรรมขององค์กรที่เรียกตัวเองว่าศาลรัฐธรรมนูญในข้อเท็จจริงหรือ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติแล้วยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นบุคลากรใน กระบวนการยุติธรรมถึงขั้นที่จะเป็นศาลยุติธรรม เพราะการประพฤติและปฏิบัติที่ผ่านมาไม่ได้แสดงออกเลยว่ารักษาความยุติธรรม เป็นด้านหลัก หากแต่มีพฤติกรรมที่ยึดโยงกับกลุ่มอำนาจและมีปรัชญาแนวคิดเลือกที่จะใช้ เทคนิคกลไกของกฎหมายมารับใช้วัตถุประสงค์ทางการเมืองเสียมากกว่า

อย่างที่เคยเรียนไปแล้วในฉบับที่ผ่านมาว่าผู้คนทั้งสังคมมีความ ยุติธรรม ในใจอยู่แล้วไม่ว่าจะสีเหลืองหรือสีแดง วันนี้ต้องการรู้เพียงว่าพรรคประชาธิปัตย์โกงหรือไม่ โดยองค์กรสำคัญที่จะเป็นคนพิจารณาพิพากษาคดีได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกลับเลือกใช้ปรัชญาแนวคิดนับเอาเทคนิคกลไกทางกฎหมายเป็นแนวทางในการทำมา หากินค้าความ คล้ายๆที่เราพบเห็นบ่อยในสังคมไทยคือ คนจน คนด้อยโอกาสและไม่รู้กฎหมายจะเป็นเหยื่อของพ่อค้าความค้าคดี ท้ายที่สุดสังคมไทยเลยไม่ได้ไขข้อเท็จจริง ผลกระทบที่จะได้รับในอนาคตคือความเป็นปึกแผ่นของสังคมขาดสะบั้นลง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในเรื่องความเป็นไปของรัฐไทยแล้วจะเห็นได้ว่ากลุ่มอำนาจนอกระบบ ที่ช่วยกันประคับประคองเลือกเอารัฐบาลเทพประทานของนายมาร์คให้เข้ามาอยู่จน ถึงปัจจุบันนั้นอยู่ในสภาวะถึงทางตันจริงๆ เพราะรัฐบาลแม้จะช่วยเหลือกันจนเสียหลักการ เสียความยุติธรรม หรือยุติแล้วซึ่งความเป็นธรรมก็ตาม รัฐบาลก็อยู่ต่อไปแบบไร้ความสามารถ ดังที่เราได้เห็นรูปธรรมกรณีสำคัญ เช่น การจัดวางยุทธศาสตร์ด้านความสัมพันธ์กับประเทศใหญ่โดยไร้ความสามารถที่จะ สร้างสมดุล เพราะการเลือกที่ลำเอียง รวมถึงไร้ข้อต่อรองในเชิงการเมืองระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง

กรณีของนายวิคเตอร์ บูท ชาวรัสเซียนั้น ข่าวสารที่ออกมาจากเว็บไซต์สำคัญวิกิลีกส์แสดงให้ชาวโลกเห็นชัดเจนว่ารัฐบาล นายมาร์คเดินตามก้นสหรัฐมากเกินไป ในขณะที่รัฐบาลตัดสินใจส่งตัวนายบูทให้สหรัฐโดยไม่ได้ถนอมน้ำใจหรือสร้าง เงื่อนไขเชิงยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์กับรัสเซีย เท่ากับเราเลือกคบมหาอำนาจฝ่ายเดียว ซึ่งในวันนี้ใครก็รู้ว่าสหรัฐมีปัญหาภายในของตัวเอง ขณะที่รัสเซียก็เป็นมิตรแท้ดั้งเดิมมายาวนาน

ในขณะที่ประเทศใหญ่ในเอเชียอีกประเทศหนึ่งคือจีน ต้องยอมรับว่าความสำคัญของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีมากยิ่ง ขึ้นทุกขณะ ยกเว้นไทย ต่างมีความสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายพันธมิตรกันอย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะประเด็นทางเศรษฐกิจ วันนี้จีนมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจบดบังสหรัฐไปแล้ว ส่วนประเทศสำคัญ 4 เสืออาเซียนก็เจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งและเลือกที่จะจัดวางให้ความ สัมพันธ์กับจีนอย่างมาก ตรงกันข้ามกับไทยที่ยังเดินตามสหรัฐทุกฝีก้าว

แม้รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะปฏิเสธว่าเรื่องวิกิลีกส์เผยแพร่เหมือนโจมตีไทยว่ายอมตามแรงกดดันของสหรัฐ นั้นไม่เป็นความจริงก็ตาม แต่คนที่รู้พฤติกรรมและประวัติ หรือพูดหยาบๆคือกำพืดของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องรู้ดีว่าเป็นลูกสมุนอเมริกาขนานแท้ ใครไม่เชื่อลองไปทบทวนเหตุการณ์ยุคสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะต้อง ไปสวามิภักดิ์กับ “คุณพ่อสหรัฐ” จนเป็นเหมือน “กู๊ดบอย” เด็กดีของคุณพ่อ และกรณีที่ฝังใจสังคมไทยอย่างมากจนถึงปัจจุบันได้แก่ การจัดการกับนักศึกษาพม่าที่ยึดสถานทูตไทย ซึ่งท้ายที่สุดไทยก็ยอมทำตามสหรัฐจนเสียเพื่อนอย่างพม่าไปในช่วงนั้น รวมถึงกรณีจัดการกับกลุ่มก๊อดอาร์มีก็พิสูจน์ถึงความเป็นกู๊ดบอยอย่างดี

ในภาพรวมแล้วอยากบอกว่าพวกอีลิตหรือกลุ่มอำนาจนอกระบบที่เลือกใช้ บริการ นักปฏิวัติจนกระทั่งสถาปนานายมาร์คมาเป็นรัฐบาล ซึ่งมีลักษณะคล้ายโอบามา คือดีแต่พูดแต่ทำงานไม่เป็นนั้น รัฐไทยมีแต่ความตกต่ำ ดูได้ง่ายๆแค่เรื่องการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ไทยได้เหรียญทองเป็นอันดับ 9 จากเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเคยได้อันดับ 3 หรือ 4 เท่านั้น เมื่อไม่กี่วันนี้เล่นฟุตบอลไทยยังเสมอกับลาว นี่ไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกแล้ว

ทั้งหมดเป็นเพราะกลุ่มอีลิตและพวกอำนาจนอกระบบคิดว่าฉลาดเสียเต็ม ประดา อยากแก้ปัญหาบ้านเมืองแต่ไร้สติปัญญา กลับใช้กำลังทำการปฏิวัติ ไม่เคยคิดหรือเชื่อว่าประชาชนก็มีความสามารถ และภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย ประชาชนคนไทยในสังคมวันนี้มีวุฒิภาวะทางการเมืองสูงขึ้นแล้ว

ความโง่เขลาเบาปัญญาของกลุ่มคนพวกนี้ที่เลือกแนวทางเผด็จการและ พยายาม สร้างแต่วาทกรรมเพื่อให้คนยอมรับระบอบแบบเดิมๆ ต้องอิงพื้นฐานปรัชญาแนวคิดสังคมไทยจากวัฒนธรรมทางสังคมดั้งเดิมในลักษณะที่ ใช้ความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล ซึ่งลักษณะเช่นนี้เคยทำงานอย่างได้ผลเฉพาะในช่วงสงครามเย็น แต่โลกหลังสงครามเย็นเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ต้องให้ประชาชนใช้วิธีคิดหรือ จิตสำนึกของตนเองพิจารณาเนื้อหาต่างๆบนหลักเหตุและผล การเลือกเฟ้นหาผู้ที่จะมาใช้อำนาจแทนตนเองจึงอิงกับระบอบประชาธิปไตยมากกว่า ระบอบอื่น เช่น อีลิตเลือกให้เพราะคิดว่าคนข้างล่างยังโง่อยู่ หรืออีกขั้วหนึ่งที่เลวที่สุดคือระบบเผด็จการ

ผู้เขียนเชื่อว่าฟางเส้นสุดท้ายของสังคมไทยที่จะให้ความเชื่อถือ หรือไว้ ใจกับกลุ่มอีลิตอยู่บ้างนั้นได้ขาดสะบั้นลงแล้ว จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญเล่นบทศรีธนญชัยนั่นเอง เพราะฉะนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ประชาชนจะรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่ยอมรับวาทกรรม หรือการใช้อำนาจของกลุ่มอำนาจ หรือแม้แต่วิธีการที่จะคัดสรรหรือเลือกตั้งในระบบที่ผิดแปลกไปจากข้อเท็จ จริงของความเป็นประชาธิปไตย

ถ้าหากอีลิตยังดึงดันจะหาวิธีการได้มาซึ่งอำนาจนอกระบบ หรือในลักษณะที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนยอมรับได้แล้ว เชื่อว่าไฟในใจของผู้คนจะถูกสุมให้เกิดการต่อต้าน ขัดขืน จะเบาหรือหนักก็อยู่ที่สติปัญญาของฝ่ายอีลิตเองว่าจะเลือกเล่นเกมใด เพราะในโลกนี้ไม่มีพลังอำนาจใดจะยิ่งใหญ่กว่าพลังของประชาชนอย่างแน่นอน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 289 วันที่ 11 – 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 10 คอลัมน์ ทหารใหม่วันนี้ โดย ชายชาติ ชื่นประชา


สู้เพื่อความเป็นธรรมให้คนตาย

สู้เพื่อความเป็นธรรมให้คนตาย
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข วันที่ 4 – 10 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า 16
คอลัมน์ : ฟังจากปาก
โดย : กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ยืนยันว่าจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตในการสลายการชุมนุมต่อไป เพราะการที่รัฐบาลสั่งฆ่าประชาชนถือว่าเขาเหล่านั้นเป็นทรราช และให้รัฐบาลระวังให้ดีเมื่อเขาหมดความอดทนจะระเบิดออกมา

ภาพรวมคดี 91 ศพ

เท่าที่ดูการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มคนเสื้อแดง 91 ศพ ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งจริงๆแล้วการสอบสวนต้องเริ่มตั้งแต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมในเดือน เม.ย. เพราะมีผู้เสียชีวิตครั้งแรก จนถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พ.ค. ที่มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตมาโดยตลอด และที่ชัดเจนแล้วคือเหตุการณ์ 10 เม.ย. ทั้งหมดเสียชีวิตด้วยฝีมือทหาร เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าถูกกระสุนเอ็ม 16 กับกระสุนปืนทราโว่ คือปืน 2 ชนิดนี้ใช้กระสุนแบบเดียวกันได้

แม้ตรงนี้จะยังไม่มีการหาข้อสรุป มีการชันสูตรพลิกศพไปบ้าง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าลักษณะการเสียชีวิตเป็นแบบไหน คือโดนกระสุนที่หน้าอกส่วนใหญ่ ดังนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการเสียชีวิตจากการเข้ามาสลายการชุมนุมจนถึงเหตุการณ์ 19 พ.ค. ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ที่สำคัญจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงว่าหน่วยไหนเป็นคนเอากำลังทหารเข้ามา ใช้กำลังทหารกี่นาย ใช้กระสุนไปกี่นัด แม้กระทั่งผลการชันสูตรก็ยังอึมครึมไม่ชัดเจน นี่เป็นปัญหาทางการเมือง หรือกรณีรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางมาคารวะสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นที่เสียชีวิตของนักข่าวญี่ปุ่น ก็หมายความว่าคนต่างประเทศเห็นคุณค่าของผู้เสียชีวิตของเขามาก

แต่วันนี้แม้กระทั่งความจริงหรือตัวนายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ตรงนี้เห็นได้ชัดเจน ว่ามีความแตกต่างในเรื่องคุณค่าหรือมุมมองที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าขณะนี้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดนี้ในสายตาของต่างประเทศเรียกได้ว่าติดลบแบบติดดิน ไม่เหลืออะไรแล้ว โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือ การที่รัฐบาลกล้าฆ่าคนมันหมดไป แม้กระทั่งปรัชญาของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่า ประชาชนต้องมาก่อน กลายเป็นว่าประชาชนต้องตายก่อน การที่คุณกล้าสังหารคนแม้กระทั่งเป็นผู้ก่อการร้ายจริงๆก็ผิดแล้ว เมื่อรัฐบาลกล้าฆ่าคนตายได้เพื่ออำนาจของตนเองเขาเรียกว่าทรราช

บทบาทของดีเอสไอ

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความชัดเจนแล้วว่าทำหน้าที่เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่ม นปช. ที่ชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯและราชประสงค์ ซึ่งการทำหน้าที่นี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของฝ่ายรัฐบาลที่จะเล่นงาน นปช. ตรงนี้ถือว่าดีเอสไอเป็นคู่ขัดแย้ง เพราะดีเอสไอเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) การให้ดีเอสไอมาเป็นผู้ดำเนินคดีและชันสูตรหรือดำเนินการใดๆทั้งที่ตัวเองเป็นคู่ขัดแย้ง ผลสรุปจะออกมาแบบไหน ในเมื่อคู่ขัดแย้งคือ ศอฉ. ในนามของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต ผมเห็นว่าผลการดำเนินการไม่อาจหาข้อยุติได้

ความจริงเรื่องนี้ต้องดำเนินการตั้งแต่การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาสลายการชุมนุมถูกหรือผิด 2.ทำไมรัฐบาลจึงเลือกใช้ความรุนแรงแทนการเจรจา ทั้งๆที่มีกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เข้าไปถึงจุดที่กำลังเจรจาแล้ว และแกนนำก็กำลังรับเงื่อนไขการเจรจา ถึงตรงนี้เราต้องมาพิจารณาว่าดีเอสไอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้ดำเนินคดี เพราะเป็นคู่ขัดแย้ง การดำเนินการของดีเอสไอจึงไม่มีความชอบธรรม แม้แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ยังคงใช้ดีเอสไอต่อไปเพื่อทำให้ความจริงไม่ปรากฏ และโยนความผิดให้คนเสื้อแดง ทำให้เรื่องนี้ไม่มีความชัดเจน ทั้งๆที่การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกับการใช้กำลังทหารมันผิดหลักการสลายการชุมนุมตั้งแต่ต้น

การสลายการชุมนุมมีขั้นตอนตามหลักสากลจากเบาไปหาหนัก และต้องใช้ตำรวจปราบปรามจลาจลที่เป็นผู้ผ่านการฝึกซ้อม ผ่านการฝึกฝนที่จะสลายการชุมนุม แต่การใช้กำลังทหารถือเป็นความป่าเถื่อน ความล้าหลัง และเมื่อมาดูมาตรการก็พบว่าเป็นมาตรการทางสงคราม ไม่ใช่มาตรการสลายการชุมนุม เช่น ใช้คำว่า “กระชับวงล้อม” เป็นภาษาทางสงคราม และเมื่อไปดูภาพยนตร์สงครามในอดีตก็จะใช้วิธีการปิดล้อมคู่ต่อสู้หรือข้าศึกก่อน ทำให้ขาดเสบียง ไม่สามารถมีกำลังเพิ่มเติมได้ เป็นวิธีคิดแบบการทำสงคราม แล้วค่อยๆบุกเข้าไปเมื่อข้าศึกอยู่ในภาวะปวกเปียกหรือในภาวะที่หิวโหย หมดขวัญกำลังใจ

รัฐบาลวางแผนการสลายการชุมนุมแบบการทำสงคราม เช่น การยิงคนไม่ให้เข้าไปร่วมชุมนุม มาตรการกระชับวงล้อม และการเด็ดหัวผู้นำอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง การวางแผนนี้คือการทำสงคราม การใช้สไนเปอร์ยิงการ์ดหรือแกนนำหัวหน้าการ์ดคือมาตรการทางการสงคราม ตรงนี้ผิดตั้งแต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผิดตั้งแต่การใช้กำลังทหาร และผิดทั้งมาตรการในการสลายการชุมนุมที่ไม่ได้เคารพกติกาสากลและหลักสิทธิ มนุษยชน สุดท้ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มองพวกเขาเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน เขาถึงกล้ายิง ถ้ารัฐบาลมองคนเสื้อแดงเป็นคนไทยเหมือนกันไม่มีใครกล้ายิงแน่

แม้ว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้าย แต่มิติผู้ก่อการร้ายก็เกิดขึ้นหลังจากการใช้ทหารปราบปราม จนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครคือผู้ก่อการร้ายตัวจริง แต่รัฐบาลได้ดำเนินการปราบปราม ทั้งๆที่ยังมองไม่เห็นว่าผู้ก่อการร้ายอยู่ตรงไหน ถือว่าผิดในกระบวนการยุติธรรมด้วย ดังนั้น ขอเตือนว่าบทสรุปของดีเอสไอจะเหมือนกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ สุดท้ายใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในการทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม ถ้าวันหนึ่งเกิดมีการพิสูจน์ในภายหลังไม่ว่าจะ 10-20 ปีข้างหน้า คนที่เกี่ยวข้องต้องได้รับผลแห่งกรรม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สุดท้ายต้องเอาเข้าคุกหมด เพราะความจริงปกปิดไม่ได้

สู้เพื่อความเป็นธรรมให้คนตาย

การต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้ที่เสียชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดงมีหลายด้าน ด้านหนึ่งคือการทำข้อเท็จจริงในระดับสากล เช่น ศาลอาญาระหว่างประเทศ ตรงนี้ก็มีการดำเนินการอยู่ หรือผู้เสียหายจะดำเนินการฟ้องร้องด้วยตัวเองในเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะได้ศึกษาและรวบรวมกันต่อไป แม้ในทางปฏิบัติยังมีความยากลำบากเพราะรัฐบาลยังไม่ยอมเปิดเผยความจริง และพยายามวิ่งหนีโดยการคุกคามกลุ่มคนที่เคลื่อนไหว เช่น กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ โดยใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เราก็ต้องทำไปเรื่อยๆ อย่างน้อยคนจำนวนมากที่เป็นประจักษ์ยังมีชีวิตและยังบอกเล่าเก้าสิบกัน

แม้รัฐบาลจะกดดันคนเสื้อแดงตลอดเวลาเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหว เช่น การเร่งรัดการดำเนินคดี ซึ่งนายสมบัติโดนไป 2 คดี ส่วนผมโดนไป 1 คดี และพยายามสกัดกั้นและข่มขู่ว่าจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เรายังเชื่อมั่นว่าการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับผู้ที่เสียชีวิตยังมีโอกาสชนะ เพราะเราชนะตั้งแต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และชนะในแง่ข้อเท็จจริง เพราะใน 91 ศพไม่มีใครเป็นผู้ก่อการร้าย และที่ปรากฏชัดที่สุดคือ 6 คนที่โดนยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯมีทั้งหน่วยกู้ภัย พยาบาล นี่ยังเป็นความผิดอยู่ ส่วนนี้รัฐบาลไม่กล้าพูดถึง ตรงนี้เป็นพยานบอกได้ว่าความโหดเหี้ยมอำมหิตเกิดในรัฐบาลนี้ ไม่มีใครรับผิดชอบ และพยายามบิดเบือนกันต่อไป

เสื้อแดงจะขับไล่รัฐบาลต่อไป

ภาคประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดงมีการเคลื่อนไหวต่อต้านและขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตลอดเวลา วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่ายังไม่ได้ละทิ้งความคิด ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ก็บอกว่าคนเสื้อแดงยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ แต่มองการเคลื่อนไหวนั้นด้วยสายตาของคนหวาดผวา ไม่ได้มองด้วยสิทธิเสรีภาพของพวกเขา ไม่ได้มองเขาเป็นมนุษย์ ซึ่งเขาควรจะเคียดแค้นชิงชังรัฐบาลที่ญาติพี่น้องและเพื่อนของเขาตาย ดังนั้น วันนี้รัฐบาลหวังอย่างเดียวว่าขอนั่งทับปล่องภูเขาไฟแล้วตะโกนบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าวันนั้นมาถึงก็จะระเบิดตูมตามซ้ำ วันนี้ก็เริ่มมีแล้ว

เพราะฉะนั้นสถานการณ์ตอนนี้ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์คือการนั่งอยู่บนปล่องภูเขาไฟ รอวันระเบิด และสถานการณ์ของรัฐบาลต่อไปจะทำให้ระบบทั้งระบบพังไปด้วย วันนี้รัฐบาลลากเอากองทัพมาใช้ประโยชน์จนได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลทหาร สร้างรัฐทหารขึ้นมา ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อสร้างความสะพรึงกลัว แล้วก็ปกครองด้วยการกดขี่ ซึ่งจะอยู่ได้ไม่นาน และมีการดึงเอาตุลาการเข้ามาใช้ประโยชน์ กระบวนการยุติธรรมก็สูญเสียต้นทุนความน่าเชื่อถือตั้งแต่ดีเอสไอ อัยการ ไปจนถึงศาล ความเป็นกลาง ความยุติธรรมหมดไป ทำให้ประชาชนไม่มีความหวัง จึงต้องต่อสู้ทุกรูปแบบทั้งบนดินใต้ดิน

ผมขอบอกว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นคนเพาะเชื้อความรุนแรงขึ้นในสังคม และจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้ การเคลื่อนไหวในขณะนี้ รัฐบาลจะมองไม่เห็นเพราะเข้าไปกินถึงเนื้อในของรัฐบาลแล้ว คนในกองทัพ คนในระบบราชการ ลึกๆ เขาไม่พอใจ และประชาชนเมื่อถูกปิดกั้น เขาไปทำงานไม่เปิดเผย วันนี้ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คิดอะไรอยู่ คิดไปไกลขนาดไหนไม่มีใครรู้ ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งวันเปลี่ยนแปลงเองด้วย เพราะคุณทำให้คนเหล่านี้ไปสู้แบบใต้ดิน เขาก็ต้องสู้ในลักษณะที่ไม่เปิดเผย เพราะรัฐบาลปราบปรามและกดผู้ที่ต่อสู้โดยเปิดเผย แล้ววันนี้ไม่รู้ว่าคนที่สู้โดยไม่เปิดเผยมีปริมาณเท่าไร ที่สำคัญไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

เวลานี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์อาจไม่รู้ว่าโครงสร้างของรัฐบาลอ่อนและเปราะบางมาก ไม่รู้จะล้มเมื่อไร เหมือนโดนปลวกกินแต่ไม่มีใครเห็นว่าบ้านหลังนี้โดนปลวกกินแล้ว พวกผมยังไม่รู้เลย แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะรัฐบาลผลักไสไล่ส่งเขาไปอยู่ในชนบท มีความคิดแบบรุนแรงมากขึ้น มีความคิดแบบปฏิเสธระบบมากขึ้น ปฏิเสธโครงสร้างและความคิดเก่าๆ อย่าว่าแต่ประชาชนเลย หน่วยงานของรัฐก็รู้ดี ตอนนี้นายอภิสิทธิ์อยู่ในอำนาจต่อไปจะฉุดให้ระบบพัง เชื่อว่ารัฐบาลรู้ดี และอยากให้ลองไปสำรวจในทางวิทยาศาสตร์ เช่น ไปชนบทดูจะพบว่าหมดแล้ว ผมคิดว่าคนคิดอะไรลึกซึ้งมากขึ้น

นักวิชาการตอนนี้อาจคิดไม่ทันว่าชาวบ้านไปไกลถึงไหน เขาสามารถอธิบายได้หมด ไม่ใช่เป็นแค่ตาสีตาสา เป็นไพร่ฟ้าอีกต่อไป เขาหยิ่งในความเป็นพลเมือง เขาเชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นคนมากขึ้น เพราะคนพวกนี้อยู่ตามจุดต่างๆเป็นทั้งพ่อค้าแม่ขาย นายทุน นักธุรกิจ แท็กซี่ ครูบาอาจารย์ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรืออย่างนักศึกษาก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหวแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ดูและรอเวลาอย่างเดียว ส่วนจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดอีกครั้งหรือไม่นั้นไม่มีใครรู้ หวังอย่างเดียวว่าจะหยุดการนองเลือด และหวังว่าจะเปลี่ยนผ่านโดยสันติ เราจึงต่อสู้อย่างเปิดเผยและพยายามเตือนรัฐบาล

ถ้ารัฐบาลยังยื้อและยังหวงในอำนาจ ประชาชนจะไม่ไปเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่จะฉุดระบบการเมืองไปด้วย โครงสร้างทางสังคมจะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะความยุติธรรมไม่มีแล้ว เขาก็ไปใช้แนวทางของเขา จะส่งผลให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และระบอบอำมาตย์ที่หนุนหลังอยู่ต้องพบจุดจบ ซึ่งตอนนี้ก็มีข้อเรียกร้องที่เริ่มพูดกันแล้วคือให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง นปช. ทุกคน การเป็นนักโทษการเมืองหมายถึงคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างแต่ถูกระบบเผด็จการจับกุมคุมขัง ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยถือว่านี่คือบทสะท้อนของความเป็นเผด็จการ เขาไม่ถือว่าคนเหล่านี้คือใครนอกจากเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

เขาพูดถึงการปฏิรูประบบศาลยุติธรรม เช่น ต้องการให้ประธานศาลฎีกามาจากการรับรองของ ส.ว. หรือ ส.ส. แบบสหรัฐ เริ่มมีการพูดถึงระบบลูกขุน คือต้องการนำระบบคณะลูกขุนมาไต่สวนในข้อขัดแย้งหรือในคดีต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้ามาดูแลหรือมีส่วนในการกำหนดเข้ามาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เพราะตอนนี้อำนาจตุลาการเป็นอำนาจที่ลอยจากประชาชน เป็นอำนาจที่ต่อเนื่องดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอำนาจเดียวที่ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับประชาชน ยังเป็นอำนาจขุนนาง อำนาจราชการ เช่น ผู้พิพากษามาจากกรรมการตุลาการ (กต.) เขาก็อยากเปลี่ยน ต้องมาจากการรับรองจาก ส.ว. และ ส.ส. เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในอำนาจระหว่างตุลาการกับประชาชน

ถ้าเปลี่ยนได้จะเป็นอย่างไร

เรากำลังเข้าสู่ยุคแสวงหา ยังไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหน ถ้าเป็นแบบเมื่อก่อนเขาเรียกว่ายุครุ่งเรืองทางปัญญา คนในยุโรปก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เป็นยุคนี้ ยุคที่ประชาชนคิดถึงทางเลือกทางออกของสังคมไทย ก็จะมีนักปรัชญาเกิดขึ้นทางสังคมเยอะแยะไปหมด และนักคิดปัญญาชนก็จะมาพูดคุยเพื่อทำการบ้านและแสวงหากันเพื่อปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง ขณะนี้สมัชชา 19 พ.ค. และคณาจารย์ต่างๆต้องพูดคุยและเสนอทางออก ซึ่งการปฏิรูปประเทศไทยก็จะเกิดขึ้น การเปลี่ยนผ่านแบบสันติก็จะเกิดขึ้นด้วย นั่นหมายความว่าดีที่สุดคือผู้ปกครองยินยอม กองทัพต้องหยุดรับใช้อำมาตย์ เป็นกองทัพของประชาชน

นอกจากนี้ผมอยากฝากถึงภาคประชาชนและกลุ่มแนวร่วมที่กำลังต่อสู้กับรัฐบาลระบอบอำมาตย์ในขณะนี้ว่า ประชาชนต้องมองให้ไกลขึ้น ข้ามพ้นความคิด ความเชื่อ บารมีบุคคล ข้ามพ้นความเป็นทักษิณ ข้ามพ้นบารมีบุคคลที่คาดหวังว่าจะมีใครมาทำให้โดยเราลุกขึ้นมารวมตัวกัน และเคลื่อนไหวเพื่อสังคมเปลี่ยนผ่านโดยสันติ ซึ่งต้องใช้เวลาและความอดทนอดกลั้นสูงมาก และผมเชื่อว่าวันนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว