ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ “ไพร่” ตัวพ่อ

เป็นข่าวร้อนฉ่าตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าถึงการปะทะคารม กันผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อ “อำมาตย์ชาย+อำมาตย์หญิง” กับ “ไพร่” ที่บังเอิญไปใช้บริการร้านอาหารเดียวกัน แม้จะไม่ได้ปะหน้ากันตรงๆ ก็ตาม

แต่แล้วเครื่องดื่มขวดเดียวก็ทำให้เรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

มติชน “อาทิตย์สุขสรรค์” มีโอกาสได้เป็นแขกรับเชิญที่บ้านเศรษฐสิริ ย่านสนามบินน้ำ เจ้าของบ้านไม่ใช่ใครอื่น คือ “ไพร่” ตัวพ่อ ที่กล่าวได้ว่ามีแม่ยกมากที่สุดในบรรดานักพูดเสื้อแดง

…ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น

เป็น คนอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2518 เป็นลูกชายคนเล็กของนายสำเนา และนางปรียา ใสยเกื้อ มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายเจตนันท์ สมรสกับ (แก้ม) สิริสกุล ใสยเกื้อ อดีตนางฟ้าสายการบินแห่งหนึ่ง มีทายาทเป็นชายหนึ่ง คือ ด.ช.นปก หรือ น้องช้างน้อย และหญิงหนึ่งคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ หรือ น้องตราตรึง

ชีวิตตั้งแต่เด็กเติบโตมาในครอบครัวผู้นำท้องถิ่น ที่มีปู่และตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน พออายุได้ไม่กี่เดือนพ่อแม่ก็แยกทางกัน เด็กชายเต้นจึงไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่

จบชั้นประถมจากโรงเรียนวัด พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช ซึ่งที่โรงเรียนนี้เองที่เป็นสถานเพาะบ่มเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้กลายเป็นดาว เด่นคว้าแชมป์บนเวทีโต้คารมมัธยมศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นรายการที่โด่งดังมากในขณะนั้น

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ความที่เป็นนักกิจกรรม นักโต้วาทีเก่า ทำให้เขามีวาจาเป็นเสมือนมนตราเรียกคะแนนความรักจากบรรดาแม่ยกได้อย่างท่วมท้น

เขาย้อนอดีตเมื่อวันวาน ที่มาของความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาว่า…

“ผม เป็นหลานผู้ใหญ่บ้าน เวลามีการทำถนนในหมู่บ้าน พวกคนขับรถดั๊มพ์ คนขับรถแทร็กเตอร์ก็จะกินมานอนที่บ้านผู้ใหญ่ มันกลายเป็นภาพที่ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เข้าใจว่าคนอยู่กับสังคมชนบท อยู่อย่างชาวบ้านอยู่อย่างไร

…ที่บ้านผมก็เป็นครอบครัวที่เป็นนักสู้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ผมผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ได้เผชิญหน้ากับอิทธิพล อำนาจมืดมาสารพัดรูปแบบ”

เขาสมัคร ส.ส.สองครั้งสองคราวเพราะชอบการเมือง ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สมใจ แต่เป็นได้แค่ 7 วัน

และนี่เป็นอีกครั้งของการสมัครเป็นแคนดิเดต ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย

ค่ำวันหนึ่ง ณัฐวุฒิ สวมชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงขาสั้น ลายสก๊อตแบบสบายๆ ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งคุยแบบสบายๆ ภายในบ้าน พร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับภรรยาสุดที่รักและแก้วตาดวงใจทั้งสอง

ตามเข้ามารู้จักกับเรื่องราวของเขา…ผู้ชายที่ประกาศกับใครๆ ว่า เขาคือ ไพร่ ตัวจริง

– เป็นนักโต้วาทีตั้งแต่ยังอยู่ชั้นมัธยม?

ผมเป็นนักกิจกรรม เวลาในโรงเรียนมีงานอะไรผมจะทำหน้าที่เป็นโฆษกมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยนั้นผมเกเรมาก กินเหล้า สูบบุหรี่ ตั้งแต่ ม.1 พอขึ้น ม.3 ก็ไปตีกับเด็ก ม.6 เป็นขาใหญ่ตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว

อย่างตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมปีใหม่ ผมก็บอกเพื่อนที่ห้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ไปปิดช่องหน้าต่างให้มืด แล้วเอาไฟมาติด เครื่องเสียงมาตั้ง เปิดเป็นดิสโก้เธคเต้นดื่มกันสนุกสนาน มีเพื่อนๆ มากันกว่า 300 คน สนุกกันมาก แต่เด็กผู้หญิงไม่เอาด้วยเพราะเหม็นควันบุหรี่ ออกไปร้องไห้หน้าห้องจนครูทราบเรื่อง ต้องเชิญผู้ปกครองมาพบครู ตอนนั้นผมพาแม่ไป แม่ผมร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าให้ลูกมาโรงเรียนแล้วจะมาเป็นแบบนี้ ผมเลยได้คิดว่า ผมทำให้น้ำตาลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเรายิ่งกว่าชีวิตไหล

หลังจากนั้นเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ลดกิจกรรมโลดโผน แล้วหันไปเริ่มสนใจกิจกรรมการเมืองในโรงเรียน พอมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน ผมทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ช่วยหาเสียง ช่วยปราศรัยให้กับพรรคๆ หนึ่ง จนชนะได้เป็นกรรมการนักเรียน คราวนี้พอมีรายการโต้วาที อาจารย์จึงส่งไปแข่ง ตอนนั้นโต้วาทีดังมาก มีนักเรียนหญิงวิทยาลัยต่างๆ ขอเพลงให้ฟังทุกคืน รายการวิทยุดังๆ เชิญผมไปสัมภาษณ์ มีจดหมายจากทั่วประเทศเขียนมาถึงเป็นลังๆ

– มีครูสอนโต้คารม?

มี อาจารย์ที่โรงเรียนช่วยสอนบ้าง เช่น อาจารย์ทวี แดงหวาน แต่จริงๆ แล้วผมสั่งสมประสบการณ์ในการพูดมาจากการปราศรัยช่วยน้าชายหาเสียงตอนสมัคร ส.จ.ที่อำเภอสิชล ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ยังพูดไม่ค่อยเป็น แต่ก็มีคนมาฟังกันมากคงเพราะบอกกันปากต่อปากว่ามีเด็กมาพูด ปรากฏว่า น้าชายผมชนะเลือกตั้ง

– ได้สัมผัสกับการเมืองเต็มๆ ด้วยตนเองครั้งแรกเมื่อไหร่?

ตอนอายุครบ 25 ปี ในปี 2544 รัฐธรรมนูญกำหนดให้คนอายุ 25 ปีลงสมัครเลือกตั้งได้ แบบลงเขตเดียวเบอร์เดียวจึงตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.สังกัดพรรคชาติพัฒนาโดยมี กร ทัพพะรังสี เป็นหัวหน้าพรรค

ตอนนั้นซื้อรถเก๋งมือสอง ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด ขับลงไปที่บ้านเปิดเวทีปราศรัยอย่างเดียว มีคนฟังเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มีคู่ต่อสู้คือ มาโนชย์ วิชัยกุล ของพรรคประชาธิปัตย์เป็น ส.ส.มาหลายสมัย ผมแพ้ได้คะแนนเป็นลำดับที่สอง แต่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของพรรคชาติพัฒนาในภาคใต้

– สอบตกส.ส.แล้วกลับไปทำอะไรต่อ?

พอสอบตกก็หมดตัว เหลือรถคันเดียวหมดไปหลายแสนบาท กลับมาบ้าน ตั้งหลักอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มมีงานทอล์คโชว์เข้ามา มีรายการโทรทัศน์ติดต่อเข้ามา อีกรายการรัฐบาลหุ่น ให้เลียนแบบเสียงของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี พอทำไปๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน มีบางส่วนถอนตัว แล้วผมเข้าไปทำหน้าที่แทนเขียนบทล้อการเมือง รายการเริ่มดัง เงินก็เข้ามามาก เริ่มไปเรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่นิด้า คิดว่ายังไงก็ควรจะมีฐานทางการศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าจะอย่างไรก็ตามผมก็ต้องกลับไปการเมืองอีก และงานที่ผมทำเป็นนักพูด นักบรรยายก็จำเป็นจะต้องมีวิชาความรู้อะไรพอสมควร

ปี 2548 ผมก็ลงสมัคร ส.ส.อีกครั้งในนามพรรคไทยรักไทย เขต 4 จ.นครศรีธรรมราช มีคนสมัคร 4-5 คน มีการทำโพล ผมคะแนนดีกว่าเพื่อน แต่ก็แพ้อีกได้คะแนน 28,000 คะแนน หมดตัวอีกรอบ แถมยังเป็นหนี้อีก ผมหมกตัวอยู่ในคอนโดฯไม่ออกไปไหนเลยไม่มีเงิน ได้กินข้าววันละ 2 กล่องที่แฟนซื้อมาให้ เป็นอย่างนี้ประมาณครึ่งเดือน ตัดสินใจนำสร้อยทอง ที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดไปขาย เป็นสร้อยที่ได้มาตอนเป็นแชมป์โต้คารมจากสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมัธยม

– เลิกสนใจการเมือง ?

ไม่ครับ จากนั้นเริ่มมีคนติดต่อให้ไปพูดอีก เริ่มมีรายได้ ผมเริ่มสนิทกับพี่ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ (พ.ศ.2548) พี่ตู่มักจะโทร.มาชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มคบกันมาอยู่ด้วยกันตลอด จนมีการตั้งรัฐบาล

มาคิดทำ โทรทัศน์ช่องเอ็มวี 1 โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการก่อนที่จะเป็นเอ็มวี 1 ก็มีผมกับพี่ตู่ ไปจัดรายการทางยูบีซี 9 ชื่อรายการ “คุยข่าวมันวันอาทิตย์” ทำสักพัก ก็ไปทำเอ็มวี 1 โทรทัศน์ดาวเทียม

จากนั้นวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้เป็นผู้แทนสมใจ หลังสมัครลงปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ลำดับดีมากคือ 98 ส่วนพี่ตู่ลำดับ 97 เข้าไปรายงานตัว ได้บัตรผู้แทนราษฎร แต่การเลือกตั้งครั้งประกาศเป็นโมฆะ เป็น ส.ส.ได้เพียง 7 วัน

จนมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังเกิดการปฏิวัติ ผมกับพี่ตู่ โทร.หาพี่วีระ (วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.) พี่วีระก็บอกให้ไปเจอกันที่พรรคไทยรักไทยเปิดแถลงข่าวสู้ว่าไม่ยอมรับการปฏิวัติ

ก็ไปที่พรรคไทยรักไทย ผมไม่รู้เรื่องไม่เคยสู้กับคณะปฏิวัติ ผมนึกไม่ออกเลย ผมอยากเป็นผู้แทนฯเฉยๆ จะสู้อย่างไรกับการปฏิวัติ แต่ผมเคยเป็นผู้ชุมนุมตอนเดือนพฤษภา สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งเวทีขับไล่เผด็จการ ไม่รู้จักแกนนำ และคิดอยู่ในใจแล้วว่าผมไม่เอาการรัฐประหารตั้งแต่พฤษภาคม ปี 2535

– พอการต่อสู้ดุเดือดขึ้นกลัวบ้างหรือเปล่า?

ผมเป็นคนไม่กลัวคน ผมเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ถ้าพูดเอาฮาก็พูดได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าข่มเหงกันไม่ได้รังแกกันไม่ได้ ไม่กลัว ไม่เคยวิตกกังวลกับเรื่องว่าเขาจะเอาไปขังหรือไปฆ่าเวลาสู้

เพราะถ้าสู้แล้วมันคิดเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้าคิดเรื่องนั้นก็ไม่ต้องสู้ แต่ไม่ใช่มุทะลุจนไม่รอบคอบ พรรคพวกก็บอกว่าผมได้ทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ผมว่าจริงๆ ไม่ใช่ แต่ว่ามันอยู่ที่สถานการณ์ไหนควรทำอย่างไรจะไม่บู๊เพราะอารมณ์ โมโห แต่จะบู๊เพราะจำเป็นเท่านั้น และต้องให้ชนะเท่านั้น รวมทั้งต้องมีวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด สมัยเด็กผมไม่เคยตีใครด้วยความโมโห ผมตีให้เพื่อนทั้งนั้นจริงๆ

– ในช่วงการต่อสู้ที่รุนแรง คิดถึงลูก?

ห่วง คิดว่าลูกไม่ควรมารับผิดชอบหรือเผชิญอะไรกับสิ่งที่เราสู้ ไม่แฟร์ เพราะว่าลูกควรจะมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ควรมีชีวิตผ่านความทุกข์และความกด ดัน แต่ว่าเมื่อเราออกมาสู้ลูกก็หลีกเลี่ยงผลกระทบพวกนี้ไม่พ้น ตอนถูกขังก็เป็นห่วง ห่วงมากเข้าก็เลยปรับวิธีคิดใหม่ ถ้าคิดว่าสามคนเป็นแค่ลูกเมีย มันห่วงไม่จบ ผมก็เลยคิดว่าเขาสามคนเป็นเสื้อแดง เมื่อสามคนเป็นคนเสื้อแดงเขาจะต้องสู้เขาก็ต้องผ่านความเจ็บปวดพวกนี้มาให้ ได้ เพราะครอบครัวเสื้อแดงหลายครอบครัว เจ็บปวดกว่านี้อีกคนที่เขารักตาย พิการ บาดเจ็บ ผมแค่ถูกขังก็มีวันออก เห็นหน้ากันได้ทุกวันเวลาไปเยี่ยม

– เข้าไปอยู่ในคุกได้อะไรบ้าง?

ผมอ่านหนังสือเป็นลังๆ มีญาติพี่น้องส่งให้ คิดว่าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบันจนหมดและประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี เหมา เจ๋อ ตุง ดร.ซุน ยัด เซ็น การปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนในอังกฤษการปฏิวัติฝรั่งเศส การต่อสู้ในปากีสถาน การต่อสู้ของโฮจิมินห์ ฯลฯ

อ่านแล้วเอามาเทียบ เคียงกับการต่อสู้ของเราจะเห็นมิติของการตัดสินใจมิติการประเมินสถานการณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น บางเรื่องเทียบเคียงกันได้เลยบางเรื่องเป็นความแตกต่างที่เราเก็บไว้ในคลัง ของความรู้เผื่อว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ เผื่อว่าสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนมันมีลักษณะคล้ายคลึงกันเทียบเคียงกัน มันอยู่ที่เราจะจับอะไรมาพูด

– ทำไมจึงหยิบคำว่า “ไพร่” มาใช้ในการต่อสู้?

ผมเพียงแค่ต้องการสื่อสารกับคนทั้งสังคม ที่ผมเรียกตัวเองว่า “ไพร่” เพื่อจะสื่อว่าที่พวกคุณทำกับเราทุกอย่างเพราะไม่ได้เห็นเราเป็นประชาชนใช่ หรือไม่ เพราะเห็นเราเป็นไพร่ใช่ไหม จึงทำกับเราแบบนี้ ถ้าเห็นเราเป็นประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าเห็นเราเป็นไพร่จะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้ จะรังแกจะกดขี่ทำอะไรก็ได้

ความหมายของคำว่า “ไพร่” ของผมคือ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าคนจน-คนรวย เรื่องสูง-เรื่องต่ำ แต่เป็นเรื่องของคนที่ถูกกดขี่ ถูกลดทอนความเป็นประชาชน ผมต้องการสื่อสารสิ่งนี้

คำว่า “ไพร่” ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งบัญญัติขึ้นมีการใช้มาชั่วนาตาปี แต่ผมต้องการจับคู่คำ จะเรียกว่า “ขี้ข้า” (หัวเราะ) มันก็ดูจะไม่เข้าเท่าไร ครั้นจะไปเรียกว่า “พี่น้องขี้ข้าทั้งหลาย” มันก็ไม่ได้ หาอยู่หลายคำ จนกระทั่งสุดท้ายมาใช้คำว่า “ไพร่” นำมาสร้างเรื่องราวเป็นสนามการต่อสู้ระหว่างอะไรกับอะไร ไม่เชิงประชดแต่ต้องการจะทิ่มแทงไปตรงใจกลางของปัญหา ส่วนคำว่าอำมาตย์ก็มาจากอำมาตยาธิปไตย ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน

ผมเชื่อว่าปัญหาทางชนชั้นของประเทศนี้มีจริง แล้วนายกรณ์ ก็ได้ยืนยันอีกครั้งว่ามีจริง ผมไม่คิดว่าปี 2554 จะมีคนคิดแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมได้เห็นแล้ว

– วางอนาคตของครอบครัวไว้อย่างไร?

ผมว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงอีก 3-5 ปีน่าจะได้ข้อยุติและหลังจากนั้นผมจะอยู่ในฐานะใดไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตก กังวล ผมก็ดูแลครอบครัวให้เติบโตเป็นชีวิตที่มีความสุขที่เขาต้องการเท่านั้น

คือทำบ้านเมืองให้น่าอยู่เสียก่อน แล้วค่อยทำบ้านเราให้น่าอยู่สำหรับลูกเมียของเราเอง ถ้าไม่ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่สำหรับทุกคน มันหันมามองลูกเมียข้างหลังมันหันมองไม่เต็มตา เพราะหันไปมองข้างหน้ามันยังมีความเจ็บปวดมันยังมีการกดขี่เอารัดเอาเปรียบกันอยู่แบบนี้

ที่มา : มติชน 22 พฤษภาคม 2554
โดย : ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ


คนโง่กับคนชั่ว!

มีคนพูดกันว่า “สถานการณ์เปลี่ยน คนเปลี่ยน”!

เหมือนสงครามล้างเผ่าพันธุ์พวกพ้องเดียวกันของ “เด็กเส้น” กับ “หล่อหลักลอย” ครั้งนี้เริ่มมีกลิ่นทะแม่งๆทั้งเหม็นและเน่าโชยมาอย่างน่าสงสัย ไม่ใช่แค่ “มิตรกลายเป็นศัตรู” หรือ “ศัตรูที่กลายเป็นมิตร”

แม้ล่าสุด “หล่อหลักลอย” จะงัด “กฎหมายความมั่นคง” ขึ้นมากำราบ “เด็กเส้น” โดยยื่นดาบให้ “บิ๊กน้อย” นั่งบัญชาการเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในพื้นที่ 7 เขตรอบอาณาจักร “หล่อหลักลอย” โดยจะเพิ่มกำลัง “หมาต๋า” จาก 20 กองร้อยเป็น 50 กองร้อย

ขณะที่ “เทพอมทุกข์” ก็สั่งให้สามารถเพิ่มกำลัง “หมาต๋า” ให้ทำงานได้ 100% เพื่อส่งสัญญาณถึง “เด็กเส้น” ว่าพร้อมจะสกัดและสลายม็อบทันทีหากล้ำเส้น!

แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอำนาจความมั่นคงที่นำร่องใช้งวดแรก 15 วันนั้น ไม่ได้ใช้เฉพาะ “เด็กเส้น” เท่านั้น แต่ถือโอกาสเตรียมไว้จัดการกับ “ไพร่ไม่มีเส้น” ที่จะนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ด้วย

การจัดการกับม็อบ 2 กลุ่ม 2 สี จึงจะเป็นการพิสูจน์ชัดๆอีกครั้งว่าจะใช้ “มาตรฐานเดียว” หรือ “มาตรฐานกู มาตรฐานมึง” อย่างไร เพราะที่ผ่านมา “บิ๊กหมาต๋า” ไม่กล้าแตะ “เด็กเส้น”

ทำให้เชื่อว่าครั้งนี้ “บิ๊กน้อย” ก็ทำได้แค่ “ขู่” แม้จะมีประกาศ “ศอ.รส.” ออกข้อกำหนดให้ “เด็กเส้น” ต้องเปิดการจราจรให้สามารถสัญจรไปมาได้ตามปรกติก็ตาม

แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งว่า “เด็กเส้น” ไม่ยอมทำตามแน่!

ถ้า “บิ๊กน้อย” ไม่สามารถบังคับใช้ “กฎหมาย” ได้ “กฎหมาย” ก็กลายเป็น “กฎหมา (ย)” ซึ่งจะมีผลทันทีกับการชุมนุมใหญ่ของ “ไพร่ไม่มีเส้น”

แต่ที่หลายคน โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิชาเกิน ต่างมองว่ากระแสคลั่งชาติที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งกระหายสงครามและคลั่งความ รุนแรงนั้นต้องมีเบื้องลึกมากกว่า “เด็กเส้น” ออกมาไล่บี้ “หล่อหลักลอย” เพราะปม “ปราสาทพระวิหาร” ที่งัดออกมา หรือกรณีพื้นที่ซับซ้อนไม่กี่ตารางกิโลเมตรนั้น เปรียบเทียบไม่ได้เลยกับผลประโยชน์มหาศาลที่อยู่ทั้งใต้ดินและใต้มหาสมุทร ที่ยังไม่มีการสำรวจอีกมากมาย

ในที่สุดใครหรือกลุ่มใดจะเอา “พุงปลา” ไปกิน เหมือนเพลง “ตาอินกะตานา” ที่ต่างก็หาปลา และเมื่อได้ปลามาก็จะแบ่งปันกันกินทุกวัน แต่แล้ววันหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟ้าครึ้มฝนหรือเคราะห์กรรมทำให้ทั้ง สองกลับแย่งปลากันและไม่สามารถตกลงกันได้เหมือนโกรธกันมาเป็นแรมปี

เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็มี “ตาอยู่” โผล่ออกมาเป็น “พระเอกขี่ม้าขาว” เพื่อเป็นคนกลางจัดการแบ่งปลาให้กับตาอินกับตานาซึ่งได้ “หัว” กับ “หาง” ปลา แต่ “ตาอยู่” กลับได้ “พุงปลา” ที่น่ากินที่สุดไป

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่บอกว่าใคร “กินหญ้า” หรือ “กินข้าว” แต่ยังเตือนสติว่า “คนโง่มักเป็นเหยื่อคนฉลาด” แต่ไม่ร้ายเท่ากับเป็นเหยื่อ “คนชั่วที่โกงบ้านโกงเมือง”!

ที่มา : โลกวันนี้ 10 กุมภาพันธ์ 2554
โดย : นายหัวดี

 


ไอ้โม่งกับอีแอบ!

ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย หลังจาก “เจ๊ใหญ่ไพร่ไม่มีเส้น” ออกมาแถลงกดดัน “หล่อหลักลอย” ที่เพิ่งมุด “บ้านหลายเสา” มาหมาดๆ ให้ดำเนินคดีทางกฎหมายกับ “ป๋า” พร้อมกับ “ปู่สิทธิ” และ “ลุงอานันท์” เพราะก้าวล่วง “สถาบัน”

เรื่องทั้งหมดตั้งแท่นจาก “วิกิลีกส์” เว็บจอมแฉ ที่เมื่อกลางเดือนธันวาคมออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าบุคคลทั้งสามไปเล่นใต้โต๊ะ กับ “อดีตทูตลุงแซม”

อีกทั้ง “เจ๊ใหญ่” ยังจะเดินหน้ายื่นหนังสือต่อ “ศาลอาญาโลก” เพื่อขอให้ส่งผู้แทนมาสังเกตการณ์การพิจารณาคดี “ไพร่ไม่มีเส้น” ที่วันนี้ยังส่อว่าจะถูกคุมยาว โดยให้เหตุผลว่าเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมกับกระบวนการยุติธรรมในสยาม

การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การก้าวกระโดดเปิดเกมใหม่เท่านั้น แต่ยังทำให้บรรดา “อีแอบ” ทั้งหลายสะดุ้งเฮือก!

โดยเฉพาะ “หล่อหลักลอย” ที่ต้องปวดหัวและปรับเกมเพื่อรับมือยุทธศาสตร์ของ “เจ๊ใหญ่” ซึ่งเป็นที่รู้กิตติศัพท์กันดีว่าพูดจริงทำจริง

ไม่ได้ “เหวง” หรือ “มาร์ค”!

ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการขังยาว “ไพร่เสื้อแดง” หรือไม่นั้นน่าจะเป็น “คนละเรื่องเดียว” เพราะโดยกระบวนการของท่านเปาต้องว่ากันไปตามข้อหาที่อำนาจรัฐตั้งแท่นมา ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าข้อหาถึงขั้น “ประหารชีวิต” ที่ “ดีแต่ไอ” เด็กใต้รักแร้ “หล่อหลักลอย” ยัดให้ “ไพร่ไม่มีเส้น” นั้นเพราะต้องการปิดประตูช่วย “ไพร่ไม่มีเส้น” นั่นเอง

แต่หาก “หล่อหลักลอย” มีความจริงใจจะทำให้ถนนปูด้วยดอกกุหลาบ ไม่ใช่วางตะปูและทุ่นระเบิด ก็มีอำนาจที่จะให้ “ดีแต่ไอ” ทำบันทึกแนบท้ายให้กับ “ท่านเปา” ได้

แต่ถ้าทำเป็น “โง่” เหมือนพวก “กินหญ้า” ก็ไปขอความเห็นหรืออ่านบทความของ “ลุงคณิต” ที่ชี้แจงอย่างละเอียด ทั้งยังออกมาตั้งสมมุติฐานถึงวิกฤต “ศาลพระภูมิ” วันนี้ว่า หากเป็น “ท่านเปา” จะคิดอย่างไร

“ต้องเก็บมาคิดว่าทำไมตัดสินไปแล้วประชาชนถึงไม่เชื่อ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาเก็บเอามาคิดหรือเปล่า…ความไม่เป็นธรรมไม่ได้เกิดจาก กฎหมาย แต่เกิดจากความไม่เข้าใจของคนบังคับใช้กฎหมายที่ผิดเพี้ยน…เหตุที่เป็น อย่างนี้เพราะพฤติกรรมของคนบังคับใช้กฎหมายที่น่ารังเกียจ คือขี้เกียจ กลัวกระแสบีบคั้นจากสังคมและการเมือง และเสนอตัวรับใช้นักการเมือง”

ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องของ “สถาบัน” ซึ่งวันนี้ “ไพร่ทั้งแผ่นดิน” ได้แต่แหงนหน้ามองไป “เบื้องบน” เพื่อให้สยามกลับมามี “รอยยิ้ม” อีกครั้ง

แม้จะฝันลมๆแล้งๆเหมือน “ประชาวิวัฒน์” ของ “หล่อหลักลอย” ก็ตาม แต่งานนี้ “ไอ้โม่ง” กับ “อีแอบ” ไม่สนุกแน่!

ที่มา : โลกวันนี้ 6 มกราคม 2554

 


ประชาคมมธ.-จุฬาฯ จับมือปลุกเพื่อนนักศึกษาแสดงพลังช่วย “ไพร่” ต่อสู้เปลี่ยนแปลงเป็น “พลเมือง”

ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใน “วันรัฐธรรมนูญ” 10 ธันวาคม ในปีนี้มีกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดง ประชาชนทั่วไป และนักศึกษา มารวมตัวกันประกาศเจตนารมณ์ตามระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพในการ แสดงออกและยื่นข้อเรียกร้องเนื่องในวันครบรอบ 8 เดือน ของการใช้กำลังสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว ถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน ให้ปล่อยนักโทษการเมือง และเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่มาจากตัวแทนประชาชน

กลุ่มนิสิตนักศึกษาจาก ประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบและกลุ่มประชาคมจุฬาฯ เพื่อประชาชน ได้อ่านแถลงการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่อหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงที่มารวม ตัวกันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมและเรียกร้องให้ปล่อย นักโทษการเมืองที่ถูกจองจำ

ข้อเรียกร้องของทั้ง 2 ประชาคม มีเนื้อหาดังนี้

1. ต้องเร่งให้ดำเนินการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อออกกฎหมายใหม่ เพื่อออกกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดยผู้แทนที่ชอบธรรมจากประชาชนทั้ง ประเทศ โดยมีเนื้อหาอยู่บนบรรทัดฐานแห่งเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มาจาก ประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แทนฉบับปัจจุบันที่ไม่มีความชอบธรรมในที่มาและกระบวนการร่างทั้งฉบับ

2.รับ ผิดชอบต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจากการสลายการชุมนุม โดยการเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม

3.รัฐบาล ต้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด และหยุดคุกคามผู้มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาลด้วยการยกเลิกพระราชกำหนดบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชน

น.ส.รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด นักศึกษา ปี 1 สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า  วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ วันสิทธิมนุษยชน และเป็นวันครบรอบ 8 เดือน การสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว เรามาเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองและเรามาเพื่อหาผู้ รับผิดชอบจากการสลายการชุมนุม และยกเลิกรัฐธรรมนูญบนกองเลือด นี่คือ เป้าหมายของเราภายในวันนี้

“กลุ่มของพวกเราดำเนินงานตั้งแต่การจัดงาน “รำลึก19 กันยา ประเทศชาติไม่ดีขึ้น”  งาน “6 ตุลา ใครฆ่าพี่เราไม่ลืม” นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใน social network กับเครือข่าวนักศึกษาทั่วประเทศ เพียงแต่ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับจุฬาฯ เป็นแกนหลัก เรามาแสดงออกในเรื่องสิทธิทางการเมืองที่พวกเราพึงมี พวกเราเข้ามาเพื่อจุดประเด็นให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นที่ยังไม่กล้าได้เห็น ว่า ยังมีคนที่คิดเหมือนเขานะเรายังกล้าออกมาทำและเชื่อว่าถ้าเราเป็นจุดเริ่ม ต้นให้เขา เขาก็จะกล้าออกมาเหมือนกับเรา” นักศึกษารัฐศาสตร์กล่าว

นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คนเดิม ยังกล่าวอีกว่า ผ่านไป 8 เดือนแล้วยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ พวกเราเรียกร้องกันมากี่ครั้งก็ยังถูกเมินเฉยและไม่มีผู้ออกมารับผิดชอบ แต่พวกเราจะเรียกร้องต่อไป เพราะไม่ว่าพวกเราจะเรียกร้อง 1 ครั้ง 10 ครั้ง 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้ง ก็ต้องทำเพื่อคนที่ตายไป

“เราเชื่อว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ตายไปเรื่องแค่นี้มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวก เรา เราต้องพูดซ้ำๆให้เขาได้ยินว่าพวกเราไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ จนกว่าฆาตกรตัวจริงจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ถึงแม้ใครจะเมินเฉยต่อโชคชะตาของพวกเราต่อการเสียชีวิตของพวกเราจะเย็นชาไม่ ดูดำดูดี แต่ตอนนี้พวกเราชาวไพร่ที่กำลังต่อสู้เป็นพลเมืองจะไม่ขอเรียกร้องให้ผู้ใด มากำหนดโชคชะตาของพวกเรา เพราะพวกเราทุกคนจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง” น.ส.รวิวรรณ กล่าว

จากนั้นนักศึกษาหญิงคนเดิมได้ จับโทรโข่งประกาศบอกเจตนารมณ์ว่า “ขอให้พี่น้องทุกคนสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ นักศึกษาทุกคนยืนอยู่ข้างความยุติธรรมเสมอ เพราะพลังต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่ชนชั้นกลาง ที่เมินเฉยต่ออำนาจรัฐที่เข่นฆ่าประชาชน แต่พลังที่แท้จริง คือ พลังของพี่น้องทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ”

ขณะที่นักศึกษาชายที่มาร่วมทำกิจกรรมในกลุ่ม ฝากไปถึงเพื่อนๆนักศึกษาว่า อยากให้เพื่อนนักศึกษาเข้าใจโลก เข้าใจสังคม เปิดใจให้กับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในสังคม สังคมนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถ้าไม่มีพลังจากพวกคุณ

นักศึกษาชายคนอีกคน ให้สัมภาษณ์ว่า “กิจกรรมของพวกเราจะมี เรื่อยๆ ไหนๆก็ต้องออกจากบ้านมาเพื่อเรียกร้องอยู่แล้ว และคิดว่าเราคงไม่กลับไปตราบใดที่ยังไม่มีความรับผิดชอบจากตรงนี้  ไม่กลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว เราแค่ยืนอยู่บนความถูกต้อง สิทธิเสรีภาพในการพูด หลักประชาธิปไตยที่ต้องไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าอยู่สีไหน แค่ยืนอยู่บนหลักความถูกต้องแล้วต้องออกมา ไม่มีอะไรต้องกลัว ความกลัวทำให้เสื่อม ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าเขาปกครองเราด้วยความกลัวและถ้าเรากลัวเขา เราก็แพ้ครับ”

นักศึกษากลุ่มนี้บอกว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาทั่วไปจะได้แนวร่วมเพิ่ม ครั้งละ 3-4 คน จากวงสัมมนาเล็กๆ ที่จัดกันเอง แม้จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่พอใจพยายามออกมาคัดค้านกิจกรรมดังกล่าว แต่พวกเขาก็จะยังคงสู้ต่อไปในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน รวมพลทีละนิดเพื่อเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่

ทั้งนี้ หลังจากประกาศเจตนารมณ์เสร็จแล้ว กลุ่มนักศึกษาได้เคลื่อนไปยังสี่แยกคอกวัวเพื่อทำการแสดงละครเหตุการณ์เสีย ชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดงโดยการ “นอนตาย” ที่ถนนราชดำเนิน

ที่มา : มติชน 11 ธันวาคม 2553


ชีวิตไพร่

“ขังลืมเสื้อแดง แต่ลืมขังเสื้อเหลือง”

ป้ายข้อความของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องเพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้นิติรัฐ 2 มาตรฐาน รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยุบศูนยอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และปล่อยตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวนักโทษการเมืองทั้งหมด

เพราะวันนี้กว่า 6 เดือนแล้วที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน และคนเสื้อแดงถูกคุมขังในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาก่อการร้าย ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายจากกรณียึดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อค่ำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 แต่ให้ประกันตัว และยังไม่มีการส่งฟ้องใดๆ

แม้พธม. จะอ้างว่าไม่ได้ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ แต่การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท) เป็นผู้สั่งปิดเอง แต่แถลงการณ์ พธม. ฉบับที่ 26/2551 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 มีข้อความระบุว่า

“พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับการชุมนุม และเพิ่มมาตรการอารยะขัดขืน โดยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยื่นคำขาดผ่านพี่น้องประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกไปยังนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และคณะรัฐบาล ให้ลาออกจากตำแหน่งโดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข”

ขณะที่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษอำมหิต” ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 91 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน คนเสื้อแดงที่เป็นฝ่ายถูกกระทำกลับมีแนวโน้มถูก “ขังฟรี ตายฟรี และเจ็บฟรี” ส่วน “คนสั่งฆ่ายังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล”

และยิ่งน่าสลดหดหู่เมื่อพบว่ามีการจับกุมแบบเหวี่ยงแห ทรมานและบังคับให้คนเสื้อแดงที่ถูกจับสารภาพอีกด้วย ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งไม่ได้กระทำความผิด ทั้งยังมีการจับกุมนักศึกษาที่เพียงแค่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองซึ่งตรงข้ามกับรัฐบาลและ ศอฉ.

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดีร่วมกันวางเพลิงเผาศาลากลางจังหวัดมุกดาหารเกิดอาการเครียดที่ ไม่ได้รับการประกันตัว จึงตัดสินใจดื่มน้ำยาปรับผ้านุ่มหลังกล่าวลาภรรยาที่ไปเยี่ยม

ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนได้รับการร้องเรียนจากทนายผู้ต้องขังคดีหมิ่น เบื้องสูงตามมาตรา 112 กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เกือบทุกรายจะถูกซ้อม ทรมานในเรือนจำ

ดังนั้น ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่มีความยุติธรรมและ 2 มาตรฐาน ก็ไม่มีวันที่จะเกิดความปรองดอง ทั้งยังอาจจะเห็นมิคสัญญีครั้งใหญ่อีกด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2553