ใบตองแห้งออนไลน์: มันส์พะยะค่ะ! (มันส์โคตรโคตร)

มันส์พะยะค่ะ มันส์หยดติ๋ง มันส์โคตรโคตร มันส์ chip หาย… ผมอุทานเป็นภาษาวัยรุ่นหลากยุค เมื่อเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาสัมภาษณ์พิเศษกับช่อง 5 ช่อง 7 อย่างที่ไทยโพสต์เอาไปพาดหัวตรงเป้าว่า “เลือกเพื่อสถาบัน ผบ.ทบ.ปลุกล้มก๊วนคนชั่ว”

แม้ไก่อูจะพยายามแก้ต่างว่า ผบ.ทบ.ไม่ได้สนับสนุนพรรคไหน หรือต่อต้านพรรคไหน แต่ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบนะครับ ฟังแล้วไม่ได้ต่างกันเลยกับ กนก รัตน์วงศ์สกุล เขียนลงเฟซบุคว่า “อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย”

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์พูดอย่างที่แปลเนื้อหาได้ชัดเจนว่า “อย่าให้พวกล้มเจ้ายึดประเทศไทย” ซึ่งเมื่ออนุมานตาม “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ.ที่ทำให้ไก่อูกลายเป็นไก่เนื้อแดงดินประสิว ท่านจะหมายถึงใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่มวลชนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่ยืนตรงข้ามพวกท่านมาตลอดตั้งแต่ รัฐประหาร

แถมท่านยังออกมาพูดตอนที่พรรคเพื่อไทยนำลิ่วในโพลล์ จน ปชป.ดิ้นพล่าน และต้องมีขบวนการเตะตัดขาต่างๆ นานา

แถมท่านยังออกมาพูดวันเดียวกับที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าไปพบ แต่ไก่อูยังอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ไป

โธ่ๆๆๆ จะให้ชาวบ้านเชื่อใครระหว่างไก่อูกับนักข่าว ในเมื่อเดาะยกบทกวี “เพียงหวังจักเฟื่องฟุ้ง หรือจึงมุ่งมาศึกษา…” ไก่อูยังปล่อยกระต๊ากๆ เต็มกองทัพบก ว่าเป็นพระราชนิพนธ์ ร.6 ทั้งที่เป็นบทกวีของนเรศ นโรปกรณ์ เขียนไว้ก่อนปี 2500 ก่อนถูกจับเข้าคุกยุคเผด็จการสฤษดิ์ในข้อหาคอมมิวนิสต์

ให้ตาย อับอายขายขี้หน้าไปทั้งสถาบัน จปร.น่าจะเรียกตัวกลับไปติววิชาวรรณคดีไทยใหม่ ขืนปล่อยไประวังขวัญใจสาวเฟซบุคจะบอกว่า “สาวเอยจะบอกให้” เป็นงานเขียนของหลวงวิจิตรวาทการ

ขวัญใจจริตตก
สถานการณ์การเลือกตั้งมาถึงวันนี้ ต้องซูฮกยกนิ้วให้ยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ว่าซูดด…ยอดจริงๆ ครับ จากที่เสื้อแดงประณามรัฐบาล ปชป.ฆ่าประชาชน เป็นร่างทรงอำมาตย์ ครบรอบปีพฤษภาอำมหิต พรรคเพื่อไทยกลับพลิกไปหาเสียงด้วยการชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และชูคำขวัญ “ไม่คิดแก้แค้นแต่จะแก้ไข” พร้อมกับเปิดตัวยิ่งลักษณ์ ซึ่งพร้อมทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นร่างทรงพี่ชาย อีกด้านเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนนิ่มนวล ไม่ก้าวร้าวเหมือนทักษิณ แสดงท่าทีพร้อมจะ “ปรองดอง” เพื่อความสงบ

ตอนแรกผมก็หงุดหงิด บ่นว่าทำไมไม่พูดเรื่อง “โค่นอำมาตย์” คืนประชาธิปไตย คืนความเป็นธรรม แก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปศาล ปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ แต่อย่างว่า ผมไม่ใช่นักการเมือง พรรคเพื่อไทยมองออกว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการในวันนื้คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความสงบ

เรื่องแก้เศรษฐกิจ ที่จริงนโยบายพรรคเพื่อไทยก็ไม่โดดเด่นอะไร เพียงแต่ ปชป.อยู่มาสองปีกว่า โชว์ความไร้ประสิทธิภาพจนชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายแล้ว

พรรคเพื่อไทยแค่หาเสียงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทุกอย่างก็เข้าล็อก เป็นไปตามสัจธรรมที่พวกพันธมิตรรู้ซึ้ง จนทำป้ายประชดชีวิต “เลือกพรรคไหนก็แพ้ทักษิณ” (Vote No เสียดีกว่า แม้แต่ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ก็ยังรู้ว่าสู้ทักษิณไม่ได้ จึงต้อง Vote No)

พอโพลล์นำลิ่ว กระแสขึ้น ทุกอย่างก็มาเอง แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ฝ่ายตรงข้ามกลับเริ่มก่อน ตั้งแต่แก้วสรร-หมอตุลย์ ซึ่งพอโผล่มาในช่วงที่เพื่อไทยติดลมบนซะแล้ว ในสายตาสาธารณะ ก็กลับถูกมองว่า “ตามรังควาน” “เล่นไม่เลิก” และกลับไปทำให้ยิ่งลักษณ์ได้คะแนนสงสารเห็นใจมากขึ้น

ปชป.ก็ดิ้นพล่าน โดยเฉพาะเมื่อเจอยุทธการอันกล้าหาญชาญชัยของมวลชนเสื้อแดง ไปชูป้าย 91 ศพ และ “ของแพง” “ดีแต่พูด” อยู่กลางมวลชนประชาธิปัตย์ ทำเอาขวัญใจจริตนิยมจิตตก ปรี๊ดแตก เหลือเชื่อว่านายกฯ ผู้ดีอังกฤษศิษย์ออกซ์ฟอร์ด ไปยืนโต้วาทีเอาชนะคะคานชาวบ้านอยู่กลางตลาด

“พี่ผู้ชายที่มายกป้ายดีแต่พูด ผมเข้าใจว่าคงไม่มีลูกจึงไม่ได้เรียนฟรี มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายหรือเปล่า เพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุครบถ้วนทุกคนแล้ว”

โห แปะ แปะ แปะ ขอปรบมือให้ ท่านนายกฯ รูปหล่อ ชนะการดีเบทขาดลอย สง่างามเหลือเกิน

เท่านั้นไม่พอ ไม่รู้ว่ามีปมอะไรในใจนักหนา แทนที่จะเก๊กหน้าหล่อไปเดินหาเสียงกับแม่ยก กลับเอาเวลาไปเขียนความในใจลงเฟซบุค เขียนออกมา 3 ภาค เป็นเรื่องทั้ง 3 ภาค โดยเฉพาะภาค 2 ที่ทำให้ชุมพล ศิลปอาชา ออกมาสวนว่า ถ้าไม่โดนบีบโดย “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ก็คงไม่ร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์

ถึงแม้ชุมพลออกมาขอโทษและกลบเกลื่อน แต่ใครจะเชื่อ ในเมื่อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

จำได้ไหมครับก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์ก็บอกว่าทำตามที่บรรหารต้องการทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ไม่ได้พาลูกเมียไปเที่ยวบึงฉวาก ตกลงจะพูดจาหามิตรหรือจะโต้วาทีเอามันปาก โง่หรือแกล้งฉลาด ไม่เข้าใจ

เอ้า พอเลขา กลต.ออกมาแถลงกรณียิ่งลักษณ์ ทั้งกรณ์ ทั้งมาร์คก็เต้น เรื่องถูกผิดโต้กันได้ แต่ทำไมต้องไปกล่าวหาเขาว่าทำตามโพล ทำงานให้เข้าตาใครบางคน หรือเตือนว่าข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลาง ทั้งที่ตลอด 2 ปีกว่า เลขา กลต.ก็ทำงานกับ รมว.คลังมาด้วยดี

ทำใจให้กว้างกว่าอวัยวะมดบ้างสิครับ ทำอย่างนี้มันแสดงว่าพวกคุณหมกมุ่นกับเรื่องเอาผิดยิ่งลักษณ์ มัวแต่ลุ้นแก้วสรร-หมอตุลย์ มากกว่าจะสู้กันในสนามเลือกตั้งอย่างแฟร์ๆ

ท้ายที่สุด พอเห็นว่าหมดทางสู้ วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ก็กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ปลุกเรื่อง “เผาบ้านเผาเมือง” ปลุกเรื่องนิรโทษกรรมทักษิณ แบบนี้จะเหลืออะไร้ ยิ่งเข้าทางเข้าไปใหญ่ เพราะมันแปลว่าพวกคุณนั่นแหละไม่ยอมให้สังคมสงบ

แต่เชื่อได้เลยว่า 2 สัปดาห์โค้งสุดท้าย สงครามข่าวสารจะเข้มข้น วันก่อนกรุงเทพธุรกิจก็พาดหัวถล่มนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย พวกขาประจำที่แอบแฝงอยู่ในคราบสื่อ นักวิชาการ หรือผู้มีชื่อเสียงทางสังคม จะทยอยกลับออกมาแสดงบทบาท เช่น คืนก่อน บรรเจิด สิงคะเนติ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์รายการเจิมศักดิ์ แบบคุยกันเองเออออกันเองแล้วก็หันไปต้าน Vote No

ถ้าเพื่อไทยชนะ ประยุทธ์ต้องลาออก
หันกลับไปที่กองทัพ พรรคเพื่อไทยพลิกกลยุทธ์ ยิ่งลักษณ์ขอเข้าพบ ผบ.ทบ.แน่นอน ทบ.ปฏิเสธอย่างมีเหตุผล เพราะจะยอมให้พรรคใดพรรคหนึ่งเข้าพบก็น่าเกลียด

ยกเว้นสุเทพเข้าพบ ซึ่งข่าวทุกสำนักยืนยันว่าจริง เพียงแต่อาจจะผิดไปหน่อยเรื่องเวลา คือสุเทพไปพบหลังจาก ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์พิเศษแล้ว (นี่แก้ต่างให้นะครับ) แต่ข่าวก็บอกว่า สุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์พบกันอยู่บ่อยๆ

แม้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เข้าพบ แต่อย่าลืมว่าภาพที่ออกไปทางสาธารณชนคือ “นารีขี่ม้าขาว” ยื่นมือเสนอไมตรี ทบ.ไม่รับก็ไม่เป็นไร แต่กลับตามมาด้วยการแจ้งจับผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าข่มขู่ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ ฉก.315

เรื่องนี้เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.นะครับ แต่ไหง ทบ.เพิ่งขุดขึ้นมาก็ไม่ทราบ

เรื่องที่ไก่อูเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่ผมไม่เชื่อ แต่ขำ คือถ้าเป็นเราชาวบ้านตาดำๆ มีลูกน้องนักการเมืองมาเลิกชายเสื้อให้ดูปืน เขาเรียกว่าข่มขู่ เป็นใครก็กลัวหัวหด แต่นี่เป็นทหารอาวุธครบมือกับรถฮัมวี่ ฉะนั้นไอ้การที่ลูกน้องนักการเมืองเลิกชายเสื้อให้ดูปืน มันไม่ใช่ข่มขู่ ภาษานักเลงเขาเรียกว่า “กรูไม่กลัวเมริง”

นักเลงแถวบ้านผมยังบอกว่าน่านับถือหัวจิตหัวใจมัน เจ๋งจริงๆ มีแค่ปืนสั้น ยังบังอาจไป “ข่มขู่ขัดขวางการปฏิบัติงาน” ของทหารทั้งหมู่

แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ฉก.ปราบยาเสพย์ติดประสาอะไร ขี่รถฮัมวี่ตระเวนไปในหมู่บ้านชานเมืองให้ผู้คนแตกตื่น ยาเสพย์ติดมันวางแผงขายอยู่ข้างถนนหรือครับ ถึงคิดจะทะเล่อทะล่าเข้าไปจับง่ายๆ

ตอนนั้น ผบ.ทบ.ก็ทำท่าแข็งกร้าว ยอมไม่ได้ ถ้าใครขวาง จะส่งกำลังเพิ่มเป็นชุดละ 50-100 นาย ดูซิว่าจะมีใครมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า ใครขัดขวางอาจจะมีส่วนร่วมกับพ่อค้ายาเสพย์ติด

เออ แปลกดีนะครับ ยกทหารเข้าไปตั้งเป็นร้อย ยังกะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องแจ้งให้ กกต.ทราบด้วย ทหารมีอำนาจทำได้ถึงขนาดนี้ ก็น่าจะทำเสียทุกหมู่บ้านในประเทศไทย รวมทั้งหมู่บ้านเสื้อแดงด้วย ผมเพียงแต่สงสัยว่าที่ท่านบอกว่าทำมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา เคยจับคนค้ายาเสพย์ติดได้มั่งหรือเปล่า เพราะถ้าเข้าไปทำให้ชาวบ้านแตกตื่นอย่างนี้ คนขายยาก็หนีหมด เผลอๆ จะจับได้แต่คนขายยาใส่เสื้อแดง

“ผมให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผมสงบปากสงบคำไปเยอะ พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในการเลือกตั้ง อยากจะโฆษณาอะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าท่านมาพาดพิงทหาร และมารังแกทหาร ผมรับไม่ได้”

สงบปากสงบคำที่ไหนกัน เพราะไม่กี่วันถัดมาก็ออกอากาศทั่วประเทศ อ้างว่ามีกลุ่มบุคคลไม่หวังดี ทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน สถานการณ์ภายนอกกดดันกองทัพ กองทัพถูกรังแก ฯลฯ ขอความเป็นธรรมให้กองทัพ

ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ท่านพูดเหมือนกับกองทัพอยู่เฉยๆ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยไปยุ่งกับใคร ก็ไอ้ความปั่นป่วนวุ่นวายวิกฤตทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเกิดเพราะกองทัพทำตัวเป็นโจรปล้นประชาธิปไตยเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ใช่หรือ จนบัดนี้ยังไม่เคยมีผู้นำเหล่าทัพรายไหนขอโทษประชาชน ขอขมาว่าทำผิดไปแล้ว จะไม่ทำอีก จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เห็นแต่ลอยหน้าลอยตายืนกรานว่าตัวเองทำถูกทุกอย่าง ทำเพื่อปกป้องชาติราชบัลลังก์ แล้วก็บานปลายมาจนต้องเดินตามแผนบันได 4 ขั้นตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร กระทั่งปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต

ผมยังมองคนในแง่ดี ผมคิดว่าท่านเสียใจจริง ท่านไม่อยากให้มีคนตาย แต่ท่านจะโทษใครล่ะ อย่าเอาแต่โทษคนอื่น กองทัพก่อกรรมแล้วก็ต้องรับ พวกคุณผิดมาตั้งแต่รัฐประหารแล้วก็ต้องรับผลพวงที่เกิดขึ้น เหมือนที่ในหลวงตรัสว่ากลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกมันก็ผิดหมด

ไก่อูอ้างว่าท่านไม่ได้พูดให้ประชาชนไม่เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แล้วที่ท่านเรียกร้องไม่ให้เลือกคนทำผิดกฎหมาย คนที่ใช้กริยาไม่เหมาะสม ท่านหมายถึงใครล่ะ นอกจากพรรคเพื่อไทยซึ่งมีแกนนำ นปช.สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อยู่สิบกว่าคน ซึ่งท่านพูดเป็นนัยอยู่แล้วก่อนหน้านี้ว่าให้มาสู้กันตามกระบวนการของกฎหมาย

ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน โดยพูดถึงคดีหมิ่นและข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ท่านพูดถึง อ.ใจ พูดถึงจักรภพ แม้ท่านไม่พูดถึงจตุพร พรหมพันธ์ คนฟังก็เข้าใจได้ จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์ พรรคเพื่อไทย ซึ่งท่านเองเป็นคนให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งจับ จนวันนี้ก็ยังถูกคุมขังไม่ได้ประกัน

ฉะนั้นที่ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน ก็ไม่มีทางตีความเป็นอื่นไปได้ นอกจากบอกให้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

แต่ทั้งหมดนี้ ผมขำอยู่อย่าง คือท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ถึงได้พูดออกทีวี แล้วคิดว่าจะมีคนดู แล้วคิดว่าจะมีคนฟังคนเชื่อท่าน ท่านเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาจากไหน (สมัยนี้ ต่อให้เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตคนเขาก็ยังไม่ฟังเลย) ท่านเป็นคนดีมีจิตใจสูงส่งมาจากไหน ก็แค่หัวหน้าส่วนราชการ ที่เลื่อนขั้นมาตามลำดับ ไม่ใช่สิ ข้ามลำดับด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหาร 49 ป่านนี้อย่างเก่งท่านก็เป็นแค่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เผลอๆ อาจเป็นแค่ที่ปรึกษากองทัพบกหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ใบเดียวไปทำงาน

ประชาชนเขามีความจำเป็นอะไรต้องฟังท่าน ต้องเชื่อท่าน ถ้าอย่างนั้น ประชาชนจำเป็นต้องฟังต้องเชื่อปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงไอซีที ปลัดกระทรวงเกษตร ฯลฯ ด้วยไหม (แล้วทำไมหัวหน้าส่วนราชการอื่นๆ ไม่มีสิทธิออกทีวีเรียกร้องให้ประชาชนเลือกคนดีบ้าง)

ไอ้ที่คนเขาฟังท่าน ก็เพียงเพราะเขาอยากรู้ท่าทีของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีปืน มีรถถัง มีกำลังพล (และมีรถฮัมวี) ที่มีศักยภาพพอจะแทรกแซงการเลือกตั้ง หรือพอจะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้

นั่นคือสิ่งที่ทูตานุทูตที่เสวนากันอยู่บ้านทูตนอรเวย์เขาฟัง นั่นคือสิ่งที่สำนักข่าวต่างประเทศเขาฟัง

ฉะนั้นคำพูดของท่านจึงไม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียง อาจส่งผลลบด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญคือส่งผลต่อความหวาดวิตกของประชาชนว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกเข้ามามากที่สุด ตามมติมหาชน กองทัพก็อาจเข้าไปแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลอีก และจะส่งผลให้บ้านเมืองไม่สงบ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ กองทัพก็จะเป็นหอกข้างแคร่ และทำให้ประเทศยิ่งวิกฤต อย่างที่บรรดานักลงทุนต่างชาติเขาวิตกกังวลกันอยู่

ท่านพูดแล้วจึงต้องรับผิดชอบนะครับ เพราะท่านพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เขาก็มีสิทธิที่จะเชิญท่านหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ไปนั่งประจำสำนักนายก รัฐมนตรี อย่างมีความชอบธรรมด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ท่านพูดเรื่องสถาบัน อ้างสถาบัน เข้ามาชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกไม่เลือก (ทั้งที่ กกต.ออกระเบียบห้ามพรรคการเมืองหาเสียง แต่ ผบ.ทบ.กลับเอาสถาบันมาหาเสียงหน้าตาเฉย) ถ้าสมมติว่าผลการเลือกตั้งออกมาวันที่ 3 ก.ค.แล้วพรรคเพื่อไทยยังชนะถล่มทลาย landslide ได้คะแนนเสียงใกล้เคียงครึ่ง ท่านจะแปลความหมายว่าอย่างไร แปลว่าคนครึ่งประเทศไม่เอาสถาบันอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย-ไม่ใช่ เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอย่างท่าน เรื่องสถาบันก็อยู่ส่วนสถาบัน นี่คนเขาเลือกพรรคการเมืองเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และคืนความสงบ คืนความยุติธรรมให้สังคม ท่านต่างหากที่เอาสถาบันมาขีดแบ่ง

ฉะนั้นถ้าคืนวันที่ 3 ก.ค.ผลออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะเกินครึ่ง ท่านควรจะเก็บกระเป๋าเขียนใบลาออกได้เลย แสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายชาติทหาร ทั้งรับผิดชอบต่อสถาบัน และเสียสละตัวเองเพื่อความสงบสุขของสังคม

หรือถ้าพรรคเพื่อไทยได้ใกล้เคียงครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาลได้ ท่านก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี

ไม่ต่างกับที่กนกต้องรับผิดชอบ คือคุณจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่กลับไปแสดงในเนชั่นทีวี (หรือมหาวิทยาลัยโยนกทีวี-ฮิฮิ) ไม่ควรมาออกจอทีวีของรัฐอีก

เรื่องมาตรา 112 ผมไม่ทราบว่าท่านพูดเพื่ออะไร เพราะถ้าจะมีการแก้ไขกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องของกองทัพ ที่จะต้องมาเสนอความเห็น ถ้าบอกว่าเป็นหน่วยงานหนึ่ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือกรมส่งเสริมการส่งออก ก็ควรเสนอความเห็นได้ด้วยเช่นกัน เพราะสถาบันไม่ใช่ของกองทัพ สถาบันเป็นของทุกคน

อย่างไรก็ดี ต้องขอขอบคุณท่าน ผบ.ทบ.ที่ช่วยยกประเด็นโต้แย้งเรื่องควรจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ ให้กลายเป็นประเด็นระดับชาติ เพราะนี่เป็นครั้งแรกนะครับ ที่เรื่องมาตรา 112 ได้ออกทีวีช่อง 5 ช่อง 7 ไปทั่วประเทศ เราพูดกันมานาน แต่ก็ยังอยู่เฉพาะในแวดวงนักคิดนักเขียนนักวิชาการ อยู่แค่ในเว็บไซต์ แต่ท่านช่วย “จุดพลุ” ให้เป็นประเด็นดีเบทระดับชาติ ขอขอบพระคุณยิ่ง

เพียงแต่ท้วงติงอีกนิดเดียว ที่ท่านพูดถึง อ.ใจ และจักรภพ ทั้งสองคนเขายังไม่มีความผิดนะครับ ศาลยังไม่ได้ตัดสิน เขาแค่หลบหนีเพราะเกรงจะไม่ได้ประกันและเกรงจะมีภัยคุกคาม

สรุปแล้วผมเลยไม่ทราบว่าท่าน ผบ.ทบ.ออกมาพูดเพื่ออะไร หรือถูกใครกดดันให้ออกมาพูด แต่ท่านพูดแล้วไม่ได้เป็นผลดีทั้งต่อตัวเองและต่อสถานการณ์ บอกแล้วไงครับ พรรคเพื่อไทยเขาวางยุทธศาสตร์อย่างฉลาด แสดงท่าทีพร้อมจะปรองดอง แล้วปล่อยให้ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามออกมาเต้นเอง ออกมาเต้น เอ้า! ออกมาเต้น (เด็ดขาดลีลาไปเล้ย)

เอาแค่ที่ท่านประกาศว่าจะให้ กอ.รมน.ดูแลสื่อสองขั้วที่ยั่วยุ ก็โดนสนธิ ลิ้ม ไล่ไปลงนรกแล้ว (ขณะที่ทักษิณห้ามพรรคเพื่อไทยตอบโต้ อยู่เฉยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ)

เห็นเกมอย่างนี้แล้วผมถึงได้ร้องว่ามันส์พะยะค่ะ มันส์สุดสุด มันส์โคตรโคตร มัน chip หาย แล้วคอยดูต่อไปว่าจะดิ้นกันอย่างไรอีก

เชื่อได้เลยว่า เดี๋ยวจะต้องมีบุคคลระดับสูงกว่าประยุทธ์ ออกมาเรียกร้องให้เลือกคนดี เลือกเพื่อสถาบันอีก

อดรนทนไม่ได้กันนักก็เรียงหน้าออกมาเล้ย

ที่มา : ประชาไท
โดย : ใบตองแห้งออนไลน์

 


ผังล้มเจ้า ใบอนุญาตฆ่าคนบริสุทธิ์ ?

คำสารภาพของ พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะจำเลย ต่อศาลในคดีหมิ่นประมาท อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ว่า ผังล้มเจ้าไม่มีจริง ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน ไม่มีมูลความจริงใดๆเลย ช็อคความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศ (รายละเอียดข่าว)

เพราะคนไทยไม่เชื่อว่า คนระดับโฆษกกองทัพบก ในนาม ศอฉ. จะเอาเรื่องร้ายแรงอย่างนี้มาโกหกออกทีวีเป็นทางการครั้งแล้วครั้งเล่า สื่อหลักประโคมข่าวไปทั่วประเทศ ตราหน้าว่าคนเสื้อแดงเป็นพวกล้มเจ้า สร้างความเกลียดชังระหว่างคนไทยด้วยกัน

เป็นบาดแผลร้าวลึกจนยากจะประสาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เพราะรัฐบาลมาจากการอุ้มของทหาร ไม่ได้มาจากเสียงประชาชน รัฐบาลสั่งใช้กำลังทุกอย่างที่มี ใช้ตำรวจจากทั่วประเทศ ใช้ทหาร ร.อ. จำนวนนับพันนาย อาวุธเต็มพิกัด เพื่อกดดันให้คนเสื้อแดงเลิกชุมนุม

เมื่อเห็นว่าคนเสื้อแดงไม่มีทีท่าจะหยุดชุมนุม ทหารก็วางแผนสลายการชุมนุม ด้วยการตั้งหน่วยล่าสังหาร สไนเปอร์ เตรียมเก็บเสื้อแดง

แต่ทหารเหล่านี้เป็นคนไทย ไม่อยากฆ่าคนไทยด้วยกัน พ.อ.สรรเสริญ จึงสร้างเรื่องผังล้มเจ้ามาล้างสมองทหารพวกนี้ ว่าเสื้อแดงมาชุมนุมเพื่อล้มเจ้า ทั้งๆที่เขาต้องการแค่ยุบสภา

ทหารถูกล้างสมองจนเชื่อ จึงกรีธาทัพเข้าบดขยี้ผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่ง ลอบยิงคนไม่มีอาวุธจากระยะไกลเหมือนล่าสัตว์ในป่า ไม่เลือกผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ แม้แต่พยาบาล หน่วยกู้ภัย ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ก็ไม่เว้น

คนหนีตายซมซานเข้าไปในวัดก็ยังตามไปยิงอย่างเลือดเย็น ทั้งหมดทั้งปวงเกิดจาก ผังล้มเจ้า ที่กองทัพบกโกหกคนไทยทั้งประเทศ

ผังล้มเจ้า จึงเปรียบเหมือน ใบอนุญาตฆ่าคนไทยผู้บริสุทธิ์อย่างเลือดเย็น การอ้างสถาบันเพื่อทำร้ายประชาชนเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า การขออนุญาตฆ่าประชาชนยังจะเกิดขึ้นอีกต่อไป

หยุดออกใบอนุญาตทำร้ายประชาชนด้วยครับ บาปกรรม

ที่มา : ไทยอีนิวส์ 28 พฤษภาคม 2554


ผังล้มเจ้า

หากไม่มีการฟ้องร้อง ประชาชนก็คงไม่ได้ความจริง และอาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการแบ่งแยกแผ่นดินที่ต้องการให้คนไทยเกิดความ เกลียดชังและเข่นฆ่ากันเองไปอีกนาน โดยเฉพาะการนำสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือ ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมามีผู้ถูกกล่าวหาและจับกุมเรื่องสถาบันหลายร้อยคน สื่อต่างๆถูกปิดนับไม่ถ้วน

เช่นเดียวกับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา และเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ถอนฟ้อง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในคดี “ผังขบวนการล้มเจ้า”

หลังจากศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท โดย พ.อ.สรรเสริญได้ลงนามยอมความ แถลงยอมรับต่อศาลว่า ผังขบวนการล้มเจ้าเป็นแค่การโยงบุคคลต่างๆแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกัน อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งขณะนั้น (วันที่ 26 เมษายน 2553) พ.อ.สรรเสริญยืนยันว่า มิได้แถลงว่าบุคคลทั้งปวงที่ปรากฏในผังมีความสัมพันธ์ในฐานะขบวนการล้มเจ้า แต่ศอฉ. ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง

ส่วนเอกสารที่แจกแก่สื่อมวลชนก็เพื่อให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสารว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร แต่สื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของ สังคม ผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ต้องไปฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความ ในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของ ศอฉ. เอง

คำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรของ พ.อ.สรรเสริญดังกล่าว จึงทำให้สังคมได้รู้ความจริงว่าผังขบวนการล้มเจ้าที่ถูกนำมากล่าวหาใส่ร้าย ป้ายสีกันมานานนับปีนั้น เป็นแค่ความเชื่อของ ศอฉ. จากสถานการณ์ในขณะนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากหลักฐานและข้อมูลที่เป็นจริง แต่ผลที่ตามมานั้น ศอฉ. และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกิดผลกระทบต่อสังคมโดย รวมอย่างกว้างขวาง

โดยเฉพาะประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกคนบางกลุ่มนำมาขยายผลในทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง แม้แต่รัฐบาลเองก็มีการนำเรื่องนี้มาตอกย้ำหลายครั้งหลายหน อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่นำมาพูดในลักษณะว่ามีการเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งวันนี้แกนนำและประชาชนนับร้อยถูกดำเนินคดีในเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน ทั้งที่เรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรม

ที่มา : โลกวันนี้ รายวัน 27 พฤษภาคม 2554


ข้อกล่าวหา “หมิ่นสถาบันหรือหมิ่นเบื้องสูง” นั้นไม่เป็นผลดีแก่ทั้งผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหา

ตามประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะที่ ๑ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และหมวด ๑  ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี  รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงห้าปี”

องค์ประกอบความผิดต้องประกอบด้วย

๑. หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย

๒. พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

๓. มีเจตนาตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง

ความหมายขององค์ประกอบทั้งสาม

๑. หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย

หมิ่นประมาท คือ ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง คือเป็นการกระทำผิดตมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ นั่นเอง

ดูหมิ่น ได้แก่การกระทำความผิดตามประมวลอาญากฎหมายอาญามาตรา ๑๓๖ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ โดยไม่จำต้องเกี่ยวกับหน้าที่ราชการแต่อย่างใด หรือตามประมวลอาญากฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ คือ ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา

แสดงความอาฆาตมาดร้าย ได้แก่ การแสดงออกด้วยกิริยาหรือวาจาด้วยความพยาบาทมาดร้ายว่าจะทำให้เสียหายในทาง ใด ๆ อันมิใช่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย การกล่าวว่า จะใช้สิทธิฟ้องคดีที่ศาล เช่นนี้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย

๒. พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ นี้ เป็นความผิดพิเศษ เพื่อถวายความเคารพสักการะความจงรักภักดี และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงจะนำบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๙, มาตรา ๓๓๐, และมาตรา ๓๓๑ มาใช้กับความผิดมาตรา ๑๑๒ ไม่ได้ เพราะมาตราทั้งสามดังกล่าวเป็นบทบัญญัติไว้สำหรับบุคคลธรรมดาสามัญที่ถูก หมิ่นประมาทเท่านั้น ความเป็นพิเศษของบทบัญญัติมาตรา ๑๑๒ อาจต้องทำความเข้าใจถึงข้อต่อไปนี้

๒.๑  ต้องตีความโดยเคร่งครัด ว่าให้ใช้ได้เฉพาะพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ส่วนการกระทำต่อบุคคลอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ชัดแจ้ง ผู้กระทำต้องมีความผิดตามกฎหมายที่ใช้สำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไปคือประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖ซึ่งมีโทษจำคุกเพียงไม่เกิน ๑ ปีหรือปรับไม่เกินสองพันบาท และอยู่ในประมวลกฎหมายอาญาหมวดที่ ๓ กล่าวให้ชัดคือถือว่าไม่ใช่ดูหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา ๑๑๒

๒.๒  ถ้าไม่ใช่บุคคลที่บัญญัติไว้ตามมาตรา ๑๑๒ อย่างชัดแจ้ง ผู้กระทำความผิดอาจนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙,๓๓๐,๓๓๑ มาใช้ต่อสู้คดีได้ เช่น ผู้กระทำความผิดอาจพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง

ยกเว้นข้อที่หาว่าหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่น ครูใหญ่โรงเรียนกล่าวว่า นายอำเภอไม่เป็นประชาธิปไตย โดยบังคับให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเลือกตั้งคนที่นายอำเภอชอบ ถ้าใครไม่เลือกก็ไม่ขอเงินเดือนขึ้นให้นั้น ถ้าเป็นความจริงก็ถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่สาธารณะชน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๕๑/๒๕๐๓)

อาจทำความเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ถ้าผู้กระทำความผิดต่อบุคคลตามมาตรา ๑๑๒ ไม่อาจจะยกมาตรา ๓๒๙, มาตรา ๓๓๐ และมาตรา ๓๓๑  ขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อให้ไม่ต้องรับความผิด หรือเพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษได้ ส่วนบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคคลตามมาตรา ๑๑๒ ผู้กระทำความผิดอาจยกกฎหมายมาตราทั้งสามขึ้นต่อสู้ได้

๓.  มีเจตนาตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง อันได้แก่

๓.๑  กระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของงการกระทำนั้น หรือ

๓.๒  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

นอกจากนั้น ยังมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๓ บัญญัติว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐ ต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสีพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” และมาตรา ๑๓๔ บัญญัติว่า

“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระ ราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ถ้าจะถามว่า บุคคลอื่นบอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าถูกกล่าวหาทำให้เสียชื่อเสียงจะมีสิทธิป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศตนเอง ได้หรือไม่ ก็ตอบว่าได้ แต่ต้องไปกล่าวหากันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ ซึ่งเป็นบททั่วไปสำหรับคุ้มครองบุคคลธรรมดา และผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยมีสิทธิจะใช้บทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ ,มาตรา ๓๓๐ และมาตรา ๓๓๑ มาต่อสู้ได้

ความเข้าใจตัวบทกฎหมายในเรื่องนี้นับว่ามีประโยชน์ต่อประเทศชาติของเราใน ปัจจุบันนี้ เพราะการเมืองแตกแยกเป็นสองขั้วและแต่ละขั้วก็มักจะกล่าวอ้างว่าฝ่ายตรงข้าม หมิ่นสถาบันหรือหมิ่นเบื้องสูง เพราะผู้กล่าวหาทราบดีว่าถ้าคิดข้อกล่าวหาอะไรเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ก็กล่าวหาในเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้กล่าวหามากที่สุด เพราะจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกโกรธแค้นชิงชัง เราจึงได้ยินคำพูดออกมาจากปากของผู้คนในสังคมอยู่เนือง ๆ บางทีก็เลยเถิดไปถึงว่าผู้ใดมีความคิดเห็นตรงข้ามกับตนก็ถือว่าไม่จงรัก ภักดี

ความจริงผู้กล่าวหาบุคคลอื่นในข้อหานี้อาจจะไม่รู้ตัวเองว่า ตนเองหรือกลุ่มของตนนั้นเองที่ขาดความจงรักภักดี เพราะอาจแปลเจตนาได้เลยว่านำข้อกล่าวหานี้มาเป็นประโยชน์ของตนหรือกลุ่มของ ตน เพราะการกล่าวหาเช่นนี้ ถือ ได้ว่าประสงค์จะให้สังคมเข้ามาเป็นพวกตนและให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามชั่วร้าย อันความจงรักภักดีนั้นเป็นเรื่องภายในจิตใจของบุคคลยากที่ผู้อื่นจะล่วงรู้ ได้ เว้นแต่จะอนุมานจากเรื่องที่บุคคลผู้นั้นทำ หรือคำที่บุคคลผู้นั้นพูด

ถ้ากล่าวหาบุคคลอื่นบ่อย ๆ หรือพูดพร่ำเพรื่อพูดโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน หากแต่เป็นการข่มผู้อื่นว่าไม่มี ผู้ใดจงรักภักดีเท่าตนหรือกลุ่มของคน น่าจะถือได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นขาดความจงรักภักดี ดังนั้นผลเสียหายที่จะเกิดแก่ทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาอาจสรุปได้ดังนี้

ผลเสียหายแก่ผู้กล่าวหา

๑. ขาดความจงรักภักดีอย่างจริงใจ เพราะได้นำสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะ มาเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์มาสู่ผู้กล่าวหากับพวก

๒. หากผู้กล่าวหาเกี่ยวพันอยู่ในสถาบันการเมือง และกล่าวหาผู้อยู่ในสถาบันเดียวกันในข้อกล่าวหานี้ ยิ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะสถาบันเบื้องสูงไม่อาจเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ว่าในทางใด ๆ  การนำข้อกล่าวหานี้มากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามแสดงว่าประสงค์จะดึงสถาบันเบื้องสูง มามัวหมองกับการเมือง

๓. เป็นการเอาเปรียบผู้ถูกกล่าวหาโดยวิถีทางที่น่าอัปยศและไม่ขอบธรรม เพราะผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจจะนำกฎหมายในกรณีนี้ซึ่งอาจใช้ต่อสู้กับผู้กล่าวหา ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดามาต่อสู้ได้ (เอาเปรียบในเชิงคดี)

๔. หากสังคมพิจารณาอย่างลึกซึ้ง และทราบเจตนามาลึก ๆ ของผู้กล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งทำลายกัน จะไม่ให้ความเชื่อถือ ผู้กล่าวหาอีกต่อไป

ผลเสียหายแก่ผู้ถูกกล่าวหา

๑. ถูกสังคมดูหมิ่น เกลียดชัง และมีผลถึงครอบครัวและสังคมรอบ ๆ ตัวผู้ถูกกล่าวหาด้วย

๒. ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นนักการเมือง อนาคตทางการเมืองดับไป (เคยมีตัวอย่างมาแล้ว)

๓. เป็นความเจ็บปวดแก่ผู้ถูกกล่าวหา  ยิ่งถ้าเป็นการใส่ร้ายกัน โดยไม่เป็นความจริงแล้วก็ยิ่งเกิดการแตกแยกจนยากที่จะสมานรอยร้าว

๔. ไม่สามารถนำข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่ใช้กับบุคคลธรรมดามาต่อสู้ได้ (กฎหมายปิดปาก)

๕. เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด หากผู้ถูกกล่าวหากระทำการดังกล่าวจริง สมควรปรับแนวความคิดใหม่ เพราะต้องเป็นที่เข้าใจว่าคนไทยไม่ยอมรับแนวความคิดนี้อย่างแน่นอน และไม่เป็นผลดีแก่ผู้ถูกกล่าวหาในทุก ๆ ด้าน

การกล่าวหากันในข้อหาดังกล่าว นอกจากจะทำความเสียหายแก่ทั้งผู้กล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ หากยังให้มีการกล่าวหากันต่อไปอีก แสดงว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีความจริงใจในการที่จะรักษาเทิดทูนสถาบันอันเป็นหลัก ของประเทศ และทั้งสองฝ่ายไม่มีความจริงใจในการแสวงหาแนวทางอยู่ร่วมกันโดยสันติ เมื่อเป็นเช่นนี้ความปรองดองของคนในชาติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ที่มา : มติชน ออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2554
โดย : สมลักษณ์ จัดกระบวนพล


ยุทธการล่าแม่มด!

ในประวัติศาสตร์ยุโรปเมื่อต้นยุคใหม่ ขณะที่ความรู้ความคิดใหม่กำลังเผยแพร่ พวกอนุรักษ์นิยมและฝ่ายผู้ถืออำนาจขณะนั้นวิตกว่าระเบียบสังคมที่ตนยึดถือ กำลังจะเป็นอันตราย ดังนั้น จึงมีการประดิษฐ์ข้อหาแม่มดขึ้นมาทำร้ายผู้คนที่ต้องหาว่ามีความคิดความ เชื่อที่แตกต่าง โดยกลุ่มกระแสหลักถือว่าความคิดที่ถูกต้องนั้นมีประการเดียวเท่านั้นคือ ต้องนับพระเจ้าตามแบบคริสต์กระแสหลัก ถ้าหากใครต้องสงสัยว่าจะมีแนวคิดอย่างอื่น เช่น ไม่นับถือพระเจ้า หรือนับถือแต่ปฏิบัติผิดประเพณี หรือเผยแพร่ความคิดที่ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านคริสตจักร ถือว่ามีแนวคิดแบบพ่อมดหมอผี เป็นสาวกซาตาน และเป็นพวกใช้เวทมนตร์คาถา ต้องกำจัดเสียโดยการเผาทั้งเป็น

แนวคิดแบบล่าแม่มดนี้แผ่ไปทั่วยุโรป และขยายไปยังอเมริกาเหนือ จึงนำมาซึ่งการเข่นฆ่าสังหารผู้คนจำนวนมาก จากสถิติที่พอรวบรวมได้การรณรงค์ล่าแม่มดเช่นนี้ทำให้ประชาชนถูกไต่สวน ดำเนินคดีและถูกเผาทั้งเป็นมากกว่า 40,000 คน และบุคคลสำคัญ เช่น โจน ออฟ อาร์ค หรือชาน ดาร์ค (ค.ศ. 1412-1431) ก็ถูกเผาทั้งเป็นภายใต้ข้อหาแม่มด ก่อนที่จะได้รับการยกย่องในฐานะวีรสตรีและนักบุญแห่งฝรั่งเศส

ต่อมาเมื่อยุโรปผ่านเข้าสู่ยุคเสรีนิยม ยอมรับความแตกต่างทางความคิดและเสรีภาพในการนับถือหรือไม่นับถือศาสนา นักคิดรุ่นใหม่จึงเห็นว่ายุทธการล่าแม่มดนั้นเป็นความผิดพลาดและทำให้เกิด การเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพราะผู้ที่ถูกสังหารจำนวนมากเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ไม่มีหลักฐานในการพิสูจน์ ไม่ได้อิงหลักเหตุและผล หากแต่เป็นความเชื่อว่าคนเหล่านั้นเป็นแม่มดจึงต้องจับเผาทั้งเป็น

ที่น่าสนใจคือยุทธการล่าแม่มดที่นำไปสู่การเผาคนทั้งเป็นจำนวนมากนี้ ดำเนินไปในนามของความดีงาม ความศรัทธาต่อพระเจ้า ความต้องการที่จะรักษาระเบียบสังคมให้มีความสงบสุข ดำเนินไปด้วยการใช้กฎหมาย ด้วยกระบวนการยุติธรรม ในสเปนและโปรตุเกสถึงกับมีการตั้งขึ้นมาเป็นศาลพิเศษหรือศาลศาสนาที่จะไต่ สวนลงโทษพวกความคิดนอกรีตเป็นการเฉพาะ ดังนั้น ยุทธการล่าแม่มดให้อำนาจแก่ชนชั้นนำ เช่น ราชสำนัก พระชั้นผู้ใหญ่ ขุนนาง และผู้พิพากษา พวกนี้ตั้งตัวเป็นหมอผีแล้วกล่าวหาคนจำนวนมากว่าเป็นแม่มด แล้วจะนำไปสู่การประหัตประหาร

ยุทธการล่าแม่มดในยุโรปหมดสิ้นไปตั้งแต่ ค.ศ. 1782 แต่ในสังคมไทยยุทธการในลักษณะเดียวกันยังคงอยู่และยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพียงแต่เปลี่ยนข้อกล่าวหาจากแม่มดมาสู่ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ผู้กล่าวหาในครั้งนี้ไม่ใช่หัวหน้าพระ แต่เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยในวันที่ 12 เมษายน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงตัวเป็นผู้ภักดีอย่างสุดตัว โดยการสั่งให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผู้ถูกล่าครั้งนี้คือแกนนำฝ่ายบวนการเสื้อแดง 3 คน ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ โดยอ้างว่าคำพูดและการแสดงออกของคนทั้งสามบนเวที นปช.แดงทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

เมื่อผู้บัญชาการทหารบกสร้างเรื่องกล่าวหาเช่นนี้ ในวันเดียวกัน นายธาริษ เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ดำเนินการต่อโดยอธิบายว่าจะดำเนินการถอนประกันกับคนเหล่านี้ รวมไปถึงแกนนำ นปช. อีก 7 คน ในทำนองว่าได้เกิดการละเมิดข้อตกลงและเงื่อนไขที่ให้ไว้กับศาลขึ้นจริง และมีส่วนร่วมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเป็นผู้นั่งอยู่บนเวที ในขณะที่นายจตุพรปราศรัยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งการกล่าวหาของดีเอสไอนับเป็นเรื่องตลกทีเดียวที่กล่าวหาว่าผู้ที่นั่ง อยู่ในบริเวณที่มีการทำความผิดถือว่าทำผิดไปด้วย

ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่านี่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายอำนาจรัฐเล่นงาน ประชาชนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างน้อยในกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ฝ่ายอำนาจรัฐก็ได้สร้างขบวนการใส่ร้ายป้ายสีขบวนการนักศึกษา แล้วก่อกระแสปราบปรามเข่นฆ่าจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับร้อยคน จากนั้นก็ก่อการรัฐประหาร ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ปรากฏว่าในระยะ 5 ปี นับตั้งแต่รัฐประหาร พ.ศ. 2549 ได้มีการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาโจมตีขบวนการคนเสื้อแดงหลายครั้ง ที่สำคัญคือเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ฝ่ายกองทัพในนามของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ออกผังล้มเจ้ามากล่าวหาฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงว่าเป็นพวกล้มเจ้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกระแสการปราบปรามของฝ่ายทหารที่เกิดขึ้นใน เดือนพฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน

ประเด็นการนำข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใส่ร้ายป้ายสีแกนนำคนเสื้อแดง ครั้งนี้ดูจะขยายตัวลุกลาม เพราะสื่อมวลชนฝ่ายรัฐได้นำเรื่องไปโหมกระหน่ำโจมตีและโยงเข้ากับพรรคเพื่อ ไทย เพื่อสร้างกระแสให้ประชาชนเสื่อมคลายในพรรคเพื่อไทย และยังสร้างความวิตกแก่กลุ่มการเมืองภายในพรรค ดังเช่นวันที่ 18 เมษายน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ลาออกจากพรรคด้วยการอ้างเหตุผลเรื่องกระแสหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และยังมีรายงานว่าจะมีสมาชิกที่เป็น ส.ส. บางส่วนอาจลาออกด้วยเหตุผลเดียวกัน

ฝ่ายกองทัพเองก็ได้รุกในประเด็นนี้ต่อไป โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้ฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) สั่งการให้กอ.รมน.ภาคและจังหวัด ตรวจสอบการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ทางสถานีวิทยุชุมชน เว็บไซต์ และอินเทอร์เน็ต เพื่อแจ้งเบาะแสและข้อมูลการละเมิดสถาบันฯไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (ไอซีที) และตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากนั้นในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2554 พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ก็ได้แสดงท่าทีสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ โดยโจมตีการปราศรัยของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า มีคำพูดบางช่วงที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างยิ่ง เพราะคนไทยส่วนใหญ่รักชาติและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และอธิบายว่า ทหารต้องออกมาแสดงบทบาท เพราะทหารทุกคนคือประชาชนที่เป็นลูกหลานของประชาชน

ต่อมาวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2554 พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ ได้ประกาศให้ทหารทำหน้าที่ทหารรักษาพระองค์และปกป้องสถาบัน รวมถึงเป็นกองหนุนให้แก่ผบ.ทบ. และย้ำว่า ทหารทุกคนคิดเหมือนผบ.ทบ. พร้อมทำทุกอย่างที่ ผบ.ทบ.สั่งและหนุนทุกอย่างที่ ผบ.ทบ.ทำ

จะเห็นได้ว่า ฝ่ายกองทัพได้เคลื่อนเต็มที่ในการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อแกนนำของกลุ่ม เสื้อแดง โดยนำเอากฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเป็นเครื่องมือ เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงเห็นได้ว่ากองทัพขณะนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นหมอผีที่นำในยุทธการล่าแม่มด โดยมิได้คำนึงว่า การใช้กฏหมายมาตรา 112 นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่

พล.อ.ประยุทธพยายามจะอ้างว่า ขออย่าการเมืองเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยว แต่การผูกขาดความภักดีไว้กับกองทัพแต่เพียงผู้เดียวและเที่ยวเอาข้อหาหมิ่น พระบรมเดชานุภาพไปสร้างกระแสโจมตีคนอื่นนั้น ถือเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่การเมืองโดยตรงหรือไม่

แต่ที่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนคือ การล่าแม่มดในครั้งนี้จะนำไปสู่อะไรที่มากกว่านี้หรือไม่ เช่น การก่อรัฐประหาร หรือการเข้าแทรกแซงทางการเมืองในการทำลายพรรคเพื่อไทย

ที่แน่นอนคือ ทั้งหมดนี้เป็นการเมืองแบบล้าหลังและเป็นยุทธการล่าแม่มดสมัยใหม่ที่ประเทศ ก้าวหน้าทางการเมืองทั้งหลายเขาไม่ทำกันแล้ว ดังนั้น ถ้าจะยุติการล่าแม่มด ต้องผลักดันให้มีการยกเลิกมาตรา 112 จะดีกว่า

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 307 วันที่ 23-29 เมษายน พ.ศ. 2554 หน้า 9 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ