วาทกรรมตอแหลฉบับออนไลน์

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลัง ปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

ข้อความสรุปท้ายของบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 1 “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการใช้เฟซบุ๊คหรือสังคมออนไลน์ในทางการเมืองที่ได้ รับการตอบรับดีเกินคาด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการต่อสู้ทางการเมืองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

แต่บันทึกของนายอภิสิทธิ์ที่เขียน 3 ตอนนั้นไม่ใช่แค่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นความ จริงทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การจับขั้วทางการเมืองโดย “อำนาจพิเศษ” และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

พายเรือให้โจรนั่ง!

อย่างบันทึกตอนที่ 1 กล่าวถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และ “พายเรือให้โจรนั่ง” ว่าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมนายเนวินที่ตัดสินใจย้ายขั้วทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนั้นตนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านายเนวินตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ ประเทศเดินหน้าได้

ส่วนข้อกล่าวหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ไปปล้นอำนาจใคร แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา ทั้งไม่เคยติดต่อกับทหารคนใด และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้

ตุลาการ “วิบัติ”!

ในบันทึกตอนที่ 1 นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงช่วงก่อนการยุบพรรคพลังประชาชนว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย และได้ไปพบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

“คุณพสิษฐ์บอกผมว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและ ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายพสิษฐ์ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้นัดหมาย แต่ได้รับคำสั่งให้ไปพบนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยทราบก่อนเวลานัดไม่ถึง 1 ชั่วโมง และได้พูดเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนจริง โดยนายอภิสิทธิ์พูดว่า

“แม้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวก็ไม่ มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคง จับมือกันร่วมรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ในเฟซบุ๊ค หลังจากผมรับฟังจากท่านผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผมบอกว่าจะนำความกลับไปบอกผู้ใหญ่ให้ทราบถึงเป้าประสงค์ต่อไป”

นอกจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่ตรงกับนายพสิษฐ์แล้ว ยังทำให้เห็นชัดเจนว่ามี “ผู้ใหญ่” ที่ ไม่ได้เอ่ยนามเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆตามมาอีกหลาย พรรคหลังจากนั้น ซึ่งขณะนั้นคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” มีการพูดถึง อย่างมากมายเพื่อให้นำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมือง

แต่วันนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” กลับกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ พร้อมๆกับปฏิรูปการเมือง เพื่อหยุดปัญหา 2 มาตรฐานและการดึงสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

อำนาจพิเศษ!

ส่วนบันทึกของนายอภิสิทธิ์ตอนที่ 2 “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง” ก็ถูกนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบโต้ว่านายอภิสิทธิ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังแฉหมดเปลือกว่าหากการตั้งรัฐบาลไม่มี “พลังที่ไม่สามารถเลี่ยงได้” บีบบังคับก็จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ซึ่งนายอภิสิทธิ์อ้างในบันทึกว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100% เพราะต้องทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ “ผมต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มี และดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

คำพูดของนายชุมพลจึงไม่เพียงตอกหน้านาย อภิสิทธิ์ว่าโกหก ยังยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลมี “อำนาจพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับนายชุม พล เพราะอีกไม่นานคงทราบว่าการเขียนของตนคืออะไร ทั้งจะไม่หยุดเขียน เพราะต้องการบันทึกความจริงเอาไว้

ถูกยัดเยียดฆ่าประชาชน

อย่างไรก็ตาม บันทึกทั้ง 2 ตอนไม่ฮือฮาเท่าบันทึกตอนที่ 3 โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “ขอเสนอความจริง” เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยระบุชนวนเหตุการณ์ปี 2553 มาจากศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และกล่าวหาว่าศาลตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงใช้วาทกรรม “2 มาตรฐาน” ปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าพยายามประนีประนอม โดยยึดหลักกฎหมายและความถูกต้อง ยอมนั่งเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 2 วัน 6 ชั่วโมง และเสนอทางออกจะยุบสภาช่วงปลายปี เพื่อให้เศรษฐกิจมั่นคงและการเมืองเป็นไปตามกติกา เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น แต่ก็เกิดความรุนแรงเดือน “เมษา-พฤษภา” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าเพราะกองกำลังติดอาวุธ

นายอภิสิทธิ์ระบุอีกว่ามีการวางแผนเป็นขั้นตอนตั้งแต่เหตุการณ์เมษายน 2552 ที่เอามวลชนมาล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และไล่ล่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งมีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์เพื่อให้เข้าใจว่าตน “สั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอม รับวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างสันติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา

“หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภา ไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แกนนำคนเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”

วาทกรรมตอแหล!

ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ยังกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการฝึกอาวุธที่บริเวณแนวชายแดนบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง แต่จนถึงวันนี้ยังจับกุม “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ได้เลย นอกจากการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง รวมถึง “ผังล้มเจ้า” แม้จะกลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว แต่ยังใช้มาตรา 112 กล่าวหาและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อยชีวิต

จนมีคำถามว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนของฝ่ายใดกันแน่ เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ชอบซื้ออาวุธหรือไม่? ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ “ดีแต่พูด” สร้างภาพด้วยวาทกรรมปรองดองและประนีประนอม แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบทาง การเมืองใดๆกับ 91 ศพ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดสั่งสอนนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านว่า

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ก็มักจะอ้างแนวทางการปรองดอง แต่กลับโจมตีว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะทำคือการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศชัดเจนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ปัญหาเศรษกิจและปัญหาปาก ท้องของประชาชน

ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 170 เสียงจะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ เพราะมั่นใจว่าได้มากกว่า 170 เสียงแน่นอน แต่ถ้าแพ้ยับต้องยกบ้านยกเมืองให้กับคนเผาบ้านเผาเมืองไป กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับไม่สามารถจับคนเผา ผู้ก่อการร้าย คนชุดดำได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ใช้กำลังแทบจะทั้งกองทัพ

เรยาการเมือง?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น “ลากไส้อภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งฉายา “เรยาการเมือง” เพราะไม่จริงใจสร้างความปรองดอง เอาประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นส่วนเล็กของปัญหามาทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “แก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น”

โดยเฉพาะบันทึกตอนที่ 3 นายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความ 13 ประเด็นผ่านเฟซบุ๊คตอบโต้บทความของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ความรุนแรงปี 2552 ที่พัทยาว่านายอภิสิทธิ์จงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินที่เป็นชาย ฉกรรจ์ผมสั้นเกรียน ซึ่งมีทั้งปืน มีด และไม้เป็นอาวุธ ดักทำร้ายคนเสื้อแดงระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือจนบาดเจ็บหลายราย หรือกรณีชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่เสียชีวิตเพราะเป็นเหยื่อของการชุมนุมนั้น ผ่านมากว่า 2 ปี คดีคืบหน้าไปถึงไหน ได้คนทำความผิดหรือยัง และทำไมไม่พูดถึงคนเสื้อแดง 2 คนที่กลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยน้ำเจ้าพระยา

ภาพปิศาจ “ทักษิณ”

ส่วนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับการวาดภาพปิศาจใส่ฝ่ายตรง ข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยกับการต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวน มาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว 16.00-17.00 น. ซึ่งโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่บอกว่าไม่ใช่การขอคืน พื้นที่ แต่เป็นการปราบปรามประชาชน ทั้งมีข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต้องให้จบในคืนนั้น” ไม่มีตรงไหนเลยที่อธิบายว่านายอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

“การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี 2553 เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภา ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้น คำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชา เรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า นปช. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ และอยากเห็นว่าเป็นใคร หรือคนที่รัฐบาลจับนั้นเอาไปขังไว้ที่ไหน คนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิต ระบุได้ว่าคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และ มีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจน ทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหน และตายไปแล้วดวงวิญญาณยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏ”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า แกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ หากผิดจริงในคดีก่อการร้ายก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหมที่มีทหารอาวุธครบมือ แล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพ

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีก ผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูดสบตาประชาชนบ้างนะครับ”

มารยาร้อยเล่มเกวียน

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทวีตข้อความตอบโต้นายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คนชุดดำนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนก็เกินพอที่ทำให้นายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนความเสียหายหลังจากนั้นย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกัน

โดยเฉพาะการใช้วาทกรรมสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หรือ “คืนความสุขให้ คนกรุงเทพฯ” และ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ไม่สามารถลบล้างภาพความรุนแรงที่เกิดจากการล้อม ปราบประชาชนด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ได้

ข้อหา “ฆาตกรฆ่าประชาชน” ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นการยัดเยียดให้กับตนนั้นแตกต่างจากที่นาย อภิสิทธิ์และ ศอฉ. โยนความผิดทั้งหมดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งวันนี้ยังจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้ง 91 ศพนั้นมีตัวตนชัดเจน คนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน มีจำนวนมากที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หลายคนต้องพิการ และยังมีผู้บริสุทธิ์อีกหลายร้อยคนถูกจับคุมขังโดยไร้หลักนิติธรรม

บันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” จึงยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ตาสว่าง” และเป็นการประจานตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่เพียงอ้างข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” และ “บิดเบือนข้อเท็จจริง” เท่านั้น ยังเป็นการ “พูดเองเออเอง” เพราะขี้ขลาดและกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย

Facebook ของนายอภิสิทธิ์จึง เป็นแค่ Fakebook ไร้คุณค่า ด้วยวาทกรรมตอแหล “ดีแต่แก้ตัว” ฉบับออนไลน์เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


Thailand’s PM Abhisit Vejjajiva: “He’s only good at talking”

There is now little doubt that in the campaign for the up and coming Thai general election the performance of both incumbent Thai Prime Minister, Abhisit Vejjajiva, and his Democrat Party has been nothing short of useless.

Harried and heckled, laughed at and derided, the Democrat Party is leaking potential voters at an astonishing rate as the opposition Pheu Thai Party – led by Yingluck Shinawatra, the photogenic sister of Thailand’s former PM Thaksin (he was ousted in an illegal military coup in 2006) – soar in the polls (fellow Asian Correspondent blogger Bangkok Pundit offers in-depth analysis of the most recent polls here).

With a planned Democrat Party “rally” to be held at the Ratchaprasong intersection this coming Thursday (a site associated with the deaths of the Abhisit-ordered Bangkok Massacre), something many consider an act of deliberate provocation not befitting a party of government or the kind of statesman Abhisit is often claimed to be, it seems like things can only get worse for Thailand’s unelected, and seemingly unelectable, party of government.

But what is really irking Thailand’s incredibly privileged, elitist, Eton and Oxford educated Prime Minister? Enter a Suphanburi-born female trade union leader who was raised without any of the privileges handed out to Abhisit.

To those who follow the grassroots activists of the progressive, non-Pheu Thai, non-Thaksin aligned Red Shirt movement, Jittra Cotshadet needs no introduction. After leading her co-workers out on strike at the infamous Triumph clothing factory she then went on to form the successful Try Arm workers co-operative. Present at and involved in every single major Red Shirt protest in the last two years, Jittra once told me in graphic detail how she helped clean up the brains blown out of the skulls of her fellow Red Shirts by Thai Army snipers at Kok Wua. She is as passionate and committed an activist you could wish to meet. And Abhisit is terrified of her.

“This person who accuses me – how dare she!” This was the whining statement Abhisit placed on his Facebook page last night – as petty and pathetic as it is possible to imagine and a comment that formed one part of a lengthy, thin-skinned, disjointed rant that only adds to the speculation that Abhisit could actually be losing more than just the election. Readers must now be wondering what is the terrible accusation that Jittra has “dared” to utter.

Back in March, at a forum held at Thammasat University to celebrate International Women’s Day, Jittra silently held up a series of hand-drawn placards while PM Abhisit delivered his speech (she received a death threat just after that event and has more recently been subject to a hate campaign by the notoriously fascistic Social Sanctions cybergroup). The statement that has since gone on to be so irksome for Thailand’s Eton/Oxbridge-educated PM was a devastating one-line put-down “He’s only good at talking.”

Unbeknown to many foreign-media commentators this simple phrase has now become one of the key election slogans and memes for the anti-Abhisit camp. It has caught a distinct mood amongst the Thai public, appearing on banners, T-shirts, websites, etc etc. And Abhisit’s incredibly poor reaction to it has only stoked the fires of its use – he has repeatedly whined about it (here, here and here are just three examples). In the last 24 hours even a new twitter hashtag has appeared (#HIOGAT) and it seems Jittra’s effective little statement could now be the epitaph to Abhisit’s declining political career.

By Andrew Spooner on Asian Correspondent, 20 June 2011


ไม่ได้อยู่ที่มาร์ค

การหาเสียงเลือกตั้งดำเนินไปอย่างเข้มข้น

ระหว่างทางดูเหมือนจะมีปัญหาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แก้ไม่ตกอยู่หลายอย่าง

นอกจากคำถาม ‘ใครสั่งฆ่า 91 ศพ’ เข้าใจว่าอีกสิ่งหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์อยากหลีกหนีไปให้ไกลทุกครั้งเวลาเดินหาเสียง ก็คือป้าย ‘ดีแต่พูด’

3 คำห้วน สั้น แต่ได้ใจความ

เพราะไม่ว่าจะหาเสียงอย่างไร ด้วยการชูนโยบายสานต่อเรียนฟรี เบี้ยผู้สูงอายุ การประกันราคาพืชผล ฯลฯ หรือนโยบายใหม่ๆ เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไฟฟ้าฟรีถาวร ฯลฯ เมื่อปะทะเข้ากับป้าย ‘ดีแต่พูด’ ทุกอย่างก็ไร้ความหมาย

ล่าสุดยังเกิดปัญหาที่ตัวนายอภิสิทธิ์เองก็คงไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นเรื่องบานปลาย คือข้อเขียนเปิดใจผ่าน ‘เฟซบุ๊ก’

ที่สร้างความไม่พอใจให้กับ นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลที่มีประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ

นายชุมพลเห็นว่าบางประโยคเปิดใจของนายอภิสิทธิ์ เป็นการไม่ให้เกียรติพรรคร่วม

“บอกไปได้อย่างไรว่าที่เลือกพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาเพราะว่าไม่มีตัวเลือก”

แต่จุดที่ทำให้เรื่องบานปลายจริงๆ คือ

“ไม่ใช่พรรคชาติไทยพัฒนาอยากจะร่วมรัฐบาล ถ้าไม่ถูกบีบบังคับก็ไม่ร่วมแน่ เราถูกบีบด้วยพลังที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องมาร่วม”

การที่ชาติไทยพัฒนาเป็นหนึ่งในพรรคร่วม คำให้สัมภาษณ์ของนายชุมพลจึงเป็นคำให้การต่อประชาชนในฐานะประจักษ์พยาน

ยืนยัน ‘พลังพิเศษ’ ที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดโฉม หน้าการเมืองไทยนั้น มีอยู่จริง

ตัดฉากกลับมายังนายอภิสิทธิ์ กรณีที่ตั้งข้อสงสัยเอากับพรรคเพื่อไทยว่า

ทำไมในเมื่อคาดการณ์ว่าจะได้รับเลือกตั้ง 270 ที่นั่ง แล้วยังจะเรียกร้องว่าพรรคอันดับ 1 ต้องจัดตั้งรัฐบาล เพราะถ้าได้เกิน 250 เสียงก็เป็นรัฐบาลได้แล้ว

ถ้าคิดตามสูตรคณิตศาสตร์ทางการเมือง แน่นอนว่าน่าจะเป็นตามที่นายอภิสิทธิ์กล่าว

กระนั้นก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ยังหมายถึง ‘พลังพิเศษ’ ที่อยู่เบื้องหลังประชาธิปัตย์ ทั้งในรูปของ ‘มือ’ ที่มองเห็นและมองไม่เห็น ต้องแพ้ไปด้วย

ข้อสำคัญจึงไม่ได้อยู่ตรงนายอภิสิทธิ์ยอมรับผลเลือกตั้งได้หรือไม่

แต่อยู่ที่ ‘มือ’ เหล่านั้นต่างหาก ว่าจะยอมรับ ได้หรือไม่

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ 14 มิถุนายน 2554
คอลัมน์ : เหล็กใน

 


(ไม่) ดีแต่พูด

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา มี “มือดี” นำสติ๊กเกอร์ข้อความ “ใครเอ่ย? ดีแต่พูด”ไปติดไว้ที่หน้าห้องสุขา ใกล้ห้องสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล

มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า พื้นที่หนึ่งที่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองเป็นพิเศษ และมักแสดงให้เห็นถึงพลวัตของการเมืองไทยได้อย่างแม่นยำเสมอมา

ก็คือ “พื้นที่กึ่งสาธารณะ” อย่าง “ห้องน้ำสาธารณะ”

จากเหตุการณ์นี้ ถือว่าห้องน้ำสาธารณะบริเวณทำเนียบรัฐบาล ได้แสดงศักยภาพระดับสูงของตนเองออกมาอีกครั้งหนึ่ง

โดยการเน้นย้ำถึง “จุดเด่น/ข้อด้อยที่สุด” ของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นั่นคือ “ดีแต่พูด”

แม้หลายคนอาจโจมตีว่า อภิสิทธิ์ถนัดทำงานด้วย “คำพูด” มากกว่า “การกระทำ”

แต่อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมั่นใจในศักยภาพเชิงวาทศิลป์ของตนเอง อันนำไปสู่การท้าดีเบตกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คู่ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านบนสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับคุณป้าประชาชนคนธรรมดาท่านหนึ่งขณะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ออกตระเวนหาเสียงย่านซอยอ่อนนุช 67 ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

คุณป้า: ใครสั่งทหารออกมาฆ่าประชาชน?

อภิสิทธิ์: ไม่มีใครสั่งทหารฆ่าประชาชน

คุณป้า: แล้วทำไมทหารออกมาล่ะ?

อภิสิทธิ์: ทราบมั้ยครับว่าใครสั่งชุดดำมาฆ่าคน?

คุณป้า: ไม่ทราบ ชุดดำเนี่ยไม่มีทางรู้ แต่คนที่สั่งทหารออกมานี่ต้องรู้ เพราะทหารมีผู้บังคับบัญชาสั่งมา

อภิสิทธิ์: ไม่มีใครสั่งทหารฆ่าประชาชน ทหารออกมารักษากฎหมาย

คุณป้า: รักษากฎหมาย แล้วทำไมทำผิดกฎหมาย ฆ่าประชาชน?

อภิสิทธิ์: ไม่ได้ทำผิดหรอกครับ

คุณป้า: ไม่ได้ทำผิด แล้วใครยิง? ปีหนึ่งแล้ว ทำไมไม่จบซะที? เมื่อไหร่จะรู้ซะทีว่าชายชุดดำคือใคร?

อภิสิทธิ์: ก็พยายามแล้วครับ จำเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ได้มั้ย?

คุณป้า: ฉันเสียใจมากเลย เมื่อก่อนฉันรักประชาธิปัตย์มากเลย เลือกประชาธิปัตย์มาตลอด

อภิสิทธิ์: เหรอ อยู่เขตไหนครับ?

คุณป้า: อยู่เขตบางนา

อภิสิทธิ์: เลือกใครล่ะ? ชื่ออะไร?

คุณป้า: สมัยเสนีย์ ปราโมช

อภิสิทธิ์: อ๋อ สมัยนู้น โอเค ทราบมั้ยครับว่าใครฆ่า พ.อ.ร่มเกล้า?

คุณป้า: ไม่ทราบค่ะ เพราะฉันเป็นประชาชน ถ้ารู้แล้ว ไม่มาถามนายกฯหรอกค่ะ เพราะนายกฯรู้ทุกอย่าง นายกฯเป็นผู้ดูแลกฎหมาย ทุกอย่างอยู่กับนายกฯ

หลังอ่านบทสนทนานี้จบลง เราอาจพบว่า แม้จะพยายามเลี่ยงให้ “คำตอบ” และย้อน“คำถาม” กลับไป ตามประสาคนชอบ “พูด” มากกว่า “รับฟัง” สักเพียงใดก็ตาม

ทว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถูกจี้ถามอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อมแล้ว

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ออกอาการ “พูดไม่เก่ง” หรือ “ไปไม่เป็น” ได้เหมือนกัน

ที่มา : มติชน ออนไลน์ 9 มิถุนายน 2554 โดย ปราปต์ บุนปาน


วิเคราะห์บันทึก ‘มาร์ค’ สะท้อนความรู้สึกโดดเดี่ยวคุมสถานการณ์ไม่ได้

นักวิชาการวิเคราะห์บันทึก “อภิสิทธิ์” ที่เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ค สะท้อนให้เห็นว่ากำลังถูกโดดเดี่ยว และเริ่มคุมปัจจัยต่างๆให้เอื้อกับฝ่ายตัวเองไม่ได้ แถมยังเป็นการปิดโอกาสตัวเองกลับเข้าทำเนียบ เพราะจะหาคนร่วมทำงานด้วยยากในอนาคต ข้องใจท่าทีที่แสดงออกต่อสื่อต่างประเทศแตกต่างกับการแสดงออกต่อคนไทยอย่างสิ้นเชิง หลังพบให้สัมภาษณ์สื่อนอกว่ากำลังเจรจากับเพื่อไทย เพื่อหาทางทำงานร่วมกันหลังเลือกตั้ง “ชุมพล” ยัวะไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล เผยหากไม่ถูกอำนาจนอกระบบบีบให้หนุนประชาธิปัตย์ไม่มีทางไปร่วมงานด้วยแน่นอน “ณัฐวุฒิ” ยุให้เขียนออกมาอีก เพราะเป็นใบเสร็จมัดคอและประจานตัวเองว่าทำอะไรเอาไว้บ้าง

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบันทึกจากใจถึงคนไทยทั้งประเทศ เผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊คส่วนตัวจำนวน 2 ตอน ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่สามารถสื่อสารกับคนทั้งประเทศ จึงเลือกที่จะสื่อสารกับผู้สนับสนุนตัวเองผ่านทางเฟซบุ๊ค

“อภิสิทธิ์” กำลังรู้สึกโดดเดี่ยว

“สะท้อนให้เห็นความรู้สึกโดดเดี่ยวในตัวนายอภิสิทธิ์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไปปราศรัยหาเสียงที่ไหนไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าว เพราะไม่มีเนื้อหาสาระที่โดดเด่น เป็นการแสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์กำลังควบคุมปัจจัยต่างๆไม่ได้”

ดร.พิชญ์กล่าวอีกว่า ข้อเขียนทั้ง 2 ตอนไม่เป็นผลดีกับนายอภิสิทธิ์เอง ต่อไปจะหาคนทำงานร่วมด้วยลำบากมากขึ้น เพราะเป็นไปในลักษณะโยนความผิดให้คนอื่น ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจจัดการอะไรเลย

งงพูดกับสื่อนอกต่างกับคนไทย

ดร.พิชญ์กล่าวอีกว่า งงกับท่าทีของนายอภิสิทธิ์ที่มักพูดผ่านสื่อต่างประเทศแตกต่างกับการพูดหรือแสดงออกกับสื่อในประเทศ โดยล่าสุดให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ยอมรับว่ากระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปีที่แล้วมีความล่าช้า และบอกว่ากำลังเจรจากับพรรคเพื่อไทยว่าจะร่วมกันทำงานได้อย่างไรหลังการเลือกตั้ง ซึ่งต่างจากการพูดกับคนในประเทศที่ไม่เคยบอกว่าจะปรองดองกับใคร นอกจากบอกว่าต้องเดินหน้าตามกฎหมาย

นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลลำบากใจ พูดออกมาได้อย่างไรว่าที่ดึงพรรคต่างๆมาร่วมรัฐบาลเพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ถือว่าไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล

“ชุมพล” แฉถูกบีบหนุนประชาธิปัตย์

“ทั้งการให้สัมภาณ์และข้อความที่เขียนในเฟซบุ๊คเป็นเรื่องไม่ควรทำ ไม่ใช่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาอยากไปร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่มีการบีบบังคับเราไม่ไปร่วมด้วยแน่นอน แต่นี่เราถูกบีบด้วยพลังที่เราไม่อาจต้านทานได้ ต้องจำใจมาร่วม อยากสะกิดเตือนไว้หน่อยเราต้องการความสงบก่อนการเลือกตั้ง มีปัญหากับฝ่ายค้านแล้ว อย่าทำอะไรให้มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง”

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกระทบต่อความร่วมมือกันวันข้างหน้าหรือไม่ นายชุมพลกล่าวว่า ยังถือเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อยากเตือนเอาไว้ก่อนพูดอะไรควรคิดก่อน และต้องให้เกียรติกัน

“อภิสิทธิ์” เขียนบันทึกเอาแต่ได้

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า บันทึกทั้ง 2 ตอนของนายอภิสิทธิ์เป็นการพูดเอาแต่ได้ ที่บอกว่าหากได้เป็นนายกฯอีกจะยอมขาดทุนเพื่อให้ประเทศได้กำไรนั้นไม่จริง เพราะนายอภิสิทธิ์กับพรรคประชาธิปัตย์ได้กำไรมามากแล้วจากช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา

“พรรคที่แพ้เลือกตั้งแต่ได้เป็นรัฐบาลเพราะมีอำนาจพิเศษมาจัดการให้ยังไม่เรียกว่าได้กำไรอีกหรือ รัฐบาลที่ฆ่าประชาชนจำนวนมากแต่ยังอยู่ต่อมาได้อีกเป็นปีอย่างนี้ ยังไม่กำไรอีกหรือ แต่เป็นกำไรบนความขาดทุนอย่างย่อยยับของประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม”

ผสมไม่เลือกเพราะอยากเป็นรัฐบาล

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ที่นายอภิสิทธิ์อธิบายส่วนผสมการจัดตั้งรัฐบาลที่มีนักการเมืองหลายประเภทรวมตัวกันว่า ตัวผู้เล่นมีเท่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนตัวได้ เพราะคนที่มีอำนาจเปลี่ยนตัวคือประชาชน หากนายอภิสิทธิ์เข้าใจ ควรยอมรับว่าประชาชนไม่ได้เลือกนายอภิสิทธิ์มาเป็นรัฐบาล แต่มาเป็นรัฐบาลด้วยวิธีพิเศษ ที่อ้างว่าเลือกผู้เล่นไม่ได้ไม่จริง แต่ไม่คิดจะเลือก เพราะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลมากกว่า

“บันทึกที่นายอภิสิทธิ์เขียนถือเป็นใบเสร็จชั้นดีที่มัดตัวเองในหลายเรื่อง เช่น เรื่องบอกว่าเคารพกฎหมาย ทุกคนต้องเสมอภาค แต่ก็ยอมรับว่าไปพบเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และรู้ผลคดีก่อนว่าจะยุบพรรคพลังประชาชน ก่อนตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ก็พบกัน จึงไม่รู้ว่ารู้ก่อนล่วงหน้าด้วยใช่หรือไม่ว่าจะไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งเรื่องทุจริตไม่ต้องพูดถึง รัฐบาลนี้เอกชนโอดโอยมากที่สุดว่ากินหัวคิวกันหนัก เรียกรับ 30-50% ของมูลค่าโครงการ แล้วยังมีหน้ามาอวดว่าต่อต้านทุจริต เรื่องที่รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนลาออกไม่ใช่เรื่องแสดงความรับผิดชอบ แต่มันจวนตัวเลยต้องโดดหนีก่อนมากกว่า”

เพื่อไทยชนะไม่ได้เป็นรัฐบาล

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า ยิ่งใกล้เลือกตั้งกลุ่มที่ต่อต้านพรรคเพื่อไทยจะเคลื่อนไหวหนักขึ้น ต้องทำทุกรูปแบบเพื่อไม่ให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง หรือชนะแต่ไม่ให้ตั้งรัฐบาล

“แม้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งก็ยากที่จะตั้งรัฐบาล เพราะเชื่อว่าจะมีกลไกอำนาจรัฐเชื่อโยงกับองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย ถ้าเล่นกับตามกติกา ปล่อยการเมืองตามธรรมชาติ พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้แน่นอน”

“เสนาะ” ได้พรรคร่วมงานแล้ว

นายเสนาะ เทียนทอง ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มั่นใจว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน หากไม่ได้เสียงเกินครึ่งก็มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่จับมือเป็นพันธมิตรกันไว้แล้ว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ที่ยังมีคนเสื้อแดงมาต่อต้านเวลาลงพื้นที่หาเสียงเพราะต้องการแย่งพื้นที่ข่าว การมาคุยมาสอบถามเป็นเรื่องที่ทำได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็พยายามเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่การมาขัดขวางการหาเสียงเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ส่วนตัวเห็นว่ากระบวนการที่มาขัดขวางเป็นเรื่องของการแบ่งงานกันทำ

“อภิสิทธิ์” อ้อนเลือก ปชป. ก้าวข้ามขัดแย้ง

“จะพยายามอดทนหากมากันเองตามธรรมชาติพร้อมชี้แจง แต่หากจัดตั้งมาก็ต้องหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา อยากให้ประชาชนช่วยกันพิจารณาว่ากลุ่มเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ และทำการเมืองแบบไหน การเอามวลชนมาต่อต้านขัดขวางไม่ใช่ประชาธิปไตย” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า หากประชาชนต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะต้องการสร้างความปรองดองภายใต้กรอบกฎหมาย ต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ทุกเสียงที่ลงให้พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นเสียงที่ยืนยันว่าสังคมต้องการก้าวพ้นความขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องเกี่ยวกับคนเสื้อแดง

ยันข้อความในเฟซบุ๊คเป็นความจริง

นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ไม่ขอตอบโต้คนที่วิจารณ์บันทึกที่เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ค แต่ขอยืนยันว่าทุกข้อความเป็นความจริงทั้งหมด หวังว่าประชาชนจะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา

นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคเพื่อไทย แถลงตอบโต้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ที่กล่าวหาว่าพกอาวุธปืนข่มขู่เจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจปราบปรามยาเสพติด 315 (ฉก.315) โดยนำภาพถ่ายในวันเกิดเหตุมายืนยันว่าไม่ได้พกอาวุธปืนอย่างที่ถูกกล่าวหา

ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยยันไม่ถูกแจ้งความ

“วันเกิดเหตุผมได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ว่ามีทหารขับรถฮัมวีเข้ามา จึงเข้าไปสอบถามว่ามาทำอะไร และขอดูเอกสารที่เอามาแจกประชาชน พร้อมถ่ายภาพเอาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สอบว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ไม่มีการยื้อแย่งเอกสาร พูดจาข่มขู่อย่างที่ถูกกล่าวหา และที่ว่าทหารไปแจ้งความเอาไว้นั้น ผมสอบถามตำรวจแล้วไม่มีการแจ้งความ แค่ให้ลงบันทึกประจำวันไว้เท่านั้น” นายไพโรจน์กล่าวและว่า หลังจากนี้จะไปแจ้งความดำเนินคดี พ.อ.สรรเสริญ เพราะเป็นการกล่าวหาเท็จ ทำให้ได้รับความเสียหาย

ติงทหารลงพื้นที่ช่วงเลือกตั้งไม่เหมาะ

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากให้ประชาชนพิจารณาดูว่าขณะที่กำลังมีการเลือกตั้ง มีการหาเสียง มีทหารลงไปในพื้นที่ปะทะคารมกับผู้สมัคร ส.ส. เป็นเรื่องสมควรหรือไม่

“ผมอยากรู้ว่ารัฐบาลและกองทัพคิดอย่างไร เพราะในช่วงเลือกตั้งควรให้นักการเมืองหาเสียงได้อย่างเต็มที่ ไม่ควรทำอะไรที่ทำให้เกิดปัญหา หรือให้คิดไปได้ว่าพยายามจะแทรกแซง”

“ยิ่งลักษณ์” เชื่อคุย ผบ.ทบ. หลังเลือกตั้ง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคจะชี้แจงข้อเท็จจริงกับประชาชนได้ และคงไม่มีผลกระทบอะไรกับคะแนนเสียงของพรรค มั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ทำให้พรรคกับกองทัพขัดแย้งกันมากขึ้น

ส่วนเรื่องที่ขอคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ได้เข้าไปคุยอะไรเป็นพิเศษ แค่อยากขอคำแนะนำ ส่วนที่ ผบ.ทบ. เกรงว่าให้พบพรรคเดียวจะไม่เป็นกลาง และต้องรอหลังเลือกตั้งนั้น ก็สุดแล้วแต่จะให้เข้าพบทุกพรรคก็เป็นเรื่องดี เชื่อว่าหลังเลือกตั้งคงได้คุยกัน

โฆษก ทบ. ไม่หนักใจถูกแจ้งความ

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ไม่กังวลที่นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ จะแจ้งความดำเนินคดี เพราะการแถลงข่าวของตนชัดเจนว่าไม่ได้กล่าวหาว่านายไพโรจน์พกปืน แต่บอกว่าลูกน้องนายไพโรจน์เปิดชายเสื้อให้ดูว่ามีปืนเพื่อข่มขู่เจ้าหน้าที่ และกระชากเอกสารในมือเจ้าหน้าที่ไปอ่าน ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ และขัดขวางการทำหน้าที่ จึงได้แจ้งความไว้แล้วที่สถานีตำรวจนครบาลหนองจอก ในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้ กกต. รับทราบก่อนการลงพื้นที่ เพราะไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่ไปทำเรื่องยาเสพติด และทำมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา

ที่มา : โลกวันนี้รายวัน 10 มิถุนายน 2554