“กติกา” ที่ไร้ “ตัวอักษร”

ทั้งที่เราครองบอลอยู่ และเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ตามกติกา เราไม่ต้องเตะบอลออกให้เกมหยุดลง เพื่อผู้ตัดสินจะได้ไปดูอาการของคนเจ็บ

แต่ในโลกนี้มีกติกาทั้งที่เป็น “ตัวอักษร” และไม่ได้เขียนเป็น “ตัวอักษร”

“มารยาท” หรือ “น้ำใจนักกีฬา” คือ “กติกา” ที่ไร้ “ตัวอักษร”

และเมื่อปฐมพยาบาลนักบอลที่เจ็บเสร็จ ทีมคู่แข่งก็จะทุ่มบอลคืนให้กับเรา

กติกาก็ไม่ได้เขียนเช่นเดียวกัน

แต่นักบอลทุกคนก็ทำกัน

นี่คือ 1 ในความงดงามของเกมฟุตบอลที่คนที่ดูกีฬาเห็นอยู่เป็นประจำ

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะแฟนบอลทีม “นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด” ก็รู้และเคยเห็น

ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่นักบอลทำเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็น “นิวคาสเซิล” หรือคู่แข่ง คุณอภิสิทธิ์ก็คงปรบมือให้

“ปรบมือ” ด้วยความชื่นชมใน “น้ำใจนักกีฬา” ของนักฟุตบอล

ผม นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เมื่อเห็นการประชุมคณะรัฐมนตรีแบบมาราธอน 15 ชั่วโมง และการอ้างกติการัฐธรรมนูญเรื่องการรวบรวมเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล

ทั้ง 2 เรื่อง คุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำผิดกติกาอะไรเลย

มีอำนาจ 100% ในการดำเนินการทั้ง 2 เรื่อง

เพราะตราบใดที่ยังไม่ยุบสภา คณะรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มในการอนุมัติโครงการต่างๆ

แม้จะใช้เวลายาวนาน 15 ชั่วโมง กับ 211 วาระการประชุม

หรือใช้เวลาเฉลี่ย 4.2 นาทีต่อ 1 วาระ

ช่างเป็นการใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนอย่างละเอียดรอบคอบจริงๆ

ทั้งที่หลายเรื่อง ไม่ใช่เรื่องรีบเร่ง ปล่อยให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาก็ได้

แต่ก็ยังดึงดันที่จะทำ

หรือเรื่อง “มารยาท” ในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

“กติกา” ตามตัวอักษรในรัฐธรรมนูญ คือใครที่รวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้ คนนั้นก็เป็น “นายกรัฐมนตรี”

ขอเพียงแค่เป็น ส.ส.เท่านั้นเอง

หัวหน้าพรรคการเมืองไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด

แต่สำหรับ “กติกา” ที่ไร้ “ตัวอักษร” หรือที่เรียกว่า “มารยาท” ทางการเมือง

เมื่อประชาชนเลือกพรรคใดมากที่สุด ก็แสดงว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้พรรคนั้นบริหารประเทศ

พรรคอื่นควรจะเตะบอลทิ้งจริงๆ ปล่อยให้พรรคอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลก่อน

มีคนเคยบอกว่าช่วงที่วิกฤตจะพิสูจน์หัวใจของคนเรา

ในเกมฟุตบอล ต่อให้ทีมนั้นโดนนำอยู่และเหลือไม่กี่นาทีจะหมดเวลาการแข่งขัน

แต่ถ้านักเตะคู่แข่งบาดเจ็บ เขาก็จะเตะบอลทิ้งเพื่อให้เกมหยุดลง

แม้ในใจของนักเตะทุกคนอยากเอาชนะ

แต่ “น้ำใจนักกีฬา” นั้นสำคัญกว่า

ผมเห็นนักเตะ “นิวคาสเซิล” ทำแบบนั้นเป็นประจำ

ที่มา : มติชนออนไลน์ 8 พ.ค. 2554
โดย : สรกล อดุลยานนท์


หมื่นล้าน!?

ครม.มีมติให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเรียบร้อยแล้ว

ในฐานะคนไทยคนหนึ่งก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา รู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น โล่งอก ไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้

เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใช้กันมายาวนาน 7-8 เดือน ผู้ที่รับประโยชน์ไปเต็มๆ คือรัฐบาล

มีโล่ป้องกันตัว มีอำนาจเหลือเฟือ

หากพูด ถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งไม่ใช่คนเสื้อแดง ยังรู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย กลับถูกพ.ร.ก.พิเศษตัวนี้ละเมิดสิทธิเสรีภาพเสียด้วยซ้ำ!

เศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม

ภาพการ บังคับใช้กฎหมายพิเศษที่แพร่ออกไปทั่วโลก ทำให้เมืองไทยไม่แตกต่างไปจากประเทศเผด็จการ ถูกมองว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงอันดับต้นๆ

โดยเฉพาะ 91 ศพก็เป็นผลพวงของกฎหมายพิเศษตัวนี้

การยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปได้ เท่ากับเป็นบุญของคนไทยทั้งประเทศ

ฉะนั้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ควรยกเอาเรื่องการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นความดีความชอบของตัวเอง!!

แต่ สิ่งที่ต้องจับตากันให้ดี คือผลที่จะตามมาหลังเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังศอฉ.หมดหน้าที่ รัฐบาลต้องใจกว้าง เปิดให้มีการตรวจสอบการทำงานของศอฉ.ในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก

คืองบประมาณของศอฉ.

ความจริงหลังสลายม็อบแดงที่ราชประสงค์ไม่นาน เคยมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบงบประมาณของศอฉ.

ตอนนั้นก็มีข่าวแว่วๆ ออกมาว่าช่วง 2-3 เดือนหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค. น่าจะมีการใช้งบฯ ไป 4-5 พันล้านบาท!

แบ่งคร่าวๆ เป็นเบี้ยเลี้ยงทหารเกือบ 2 หมื่นนาย

ค่ายุทโธปกรณ์ พูดประสาชาวบ้านคือค่ากระสุนปืนนั่นละ ยังมีค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าจิปาถะอีกจำนวนมาก

ขนาดค่าตัวโฆษกที่ออกมานั่งแถลงข่าว ยังต้องจ่ายให้เป็นพิเศษ

แต่ตอนนี้ล่วงเลยจากเหตุการณ์ 19 พ.ค.มา 7-8 เดือนแล้ว

คาดการณ์ตัวเลขกลมๆ งบศอฉ.น่าจะเฉียดๆ หมื่นล้าน!

ตรงนี้แหละที่รัฐบาลโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ต้องออกมาแจงสี่เบี้ย เอาตัวเลขมากางกันให้เห็นชัดๆ เอาเงินภาษีประชาชนไปใช้อะไรบ้าง

จะมัวแต่พูดว่าอยากปรองดองอย่างเดียวไม่พอ

มันต้องโปร่งใสด้วย!

ที่มา : ข่าวสดรายวัน 24 ธันวาคม 2553
คอลัมน์ : เหล็กใน

 


เรื่องจริงที่ต้องรับรู้.. น้ำท่วมเกือบทั้งหมดมาจากฝีมือ “ทหาร” เป็นผู้กระทำทั้งนั้น

เรื่องจริงที่ต้องรับรู้.. น้ำท่วมเกือบทั้งหมดมาจากฝีมือ “ทหาร” เป็นผู้กระทำทั้งนั้น
โดย : อ่างขาง

จากหัวข้อ คล้ายกับว่าผมกำลังจะใส่ร้ายทหาร ผมกำลังจะตั้งกระทู้ประชดประชัน หรือไม่ผมกำลังหาทางเชื่อมโยง เหตุเพราะผมเกลียดทหาร แต่ขอให้ท่านที่คิดเช่นนี้อ่านให้จบซะก่อนและคิดตาม ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนนี้เป็นความจริงมากน้อยเพียงไหน

ท่านทราบไหมว่า คลองระบายน้ำ คลองส่งน้ำ ถนนเข้าหมู่บ้าน ฝายกักเก็บ บ่อเก็บกักน้ำ ปัจจุบันนี้หน่วยงานไหนเป็นผู้ดำเนินการ

“กองทัพไทย” เป็นเจ้าภาพทั้งหมดครับ โดยใช้หน่วยงานที่เรียกว่า นทพ.(หน่วยทหารพัฒนา) แต่ละจังหวัดเป็นผู้ก่อสร้าง ทั้งสิ้น

มันแปลกตรงที่สร้างไม่รู้จักพอไม่รู้จักหมด ยิ่งสร้างมาก งานก็ยิ่งมีอีกมาก วันนี้ขุดคลองทำถนน แต่อีกสามปีข้างหน้า ไอ้ที่เดียวกันนี้ ตั้งงบประมาณกันอีกแล้วสร้างอีกแล้วมากกว่าเดิมด้วย โดยใช้งบที่เรียกชื่อใหม่แทนที่ จากงานที่เรียกขึ้นตันว่า “งานก่อสร้าง” เปลี่ยนชื่อใหม่กลายเป็น “งานซ่อมบำรุง”ขุดลอกแทน งบที่ได้มาได้มากกว่างบก่อสร้างอีก หมุนเวียนไปกันแบบนี้สร้างกันทั้งชาติ ไม่มีวันหมด

มาดูงบประมาณกันว่าเขาตั้งเบิกกันอย่างไร คิดเป็นค่าน้ำมันทั้งหมด คิดตามปริมาณเนื้องาน เป็นรถขุดกี่คัน เป็นรถบรรทุกกี่คัน เป็นรถเกลี่ยดินกี่คัน เป็นรถเกรด รถบด รถน้ำ ค่าอะไหล่ ค่าน้ำมันเครื่อง จิปาถะ ตามรายการคิดเฉลี่ยแล้ว ตกราคาประมาณ 50 บาท ต่อ ลบ.ม. ของแถมที่ตามมานอกเหนือจากงบประมาณนี้ก็คือ ค่าจ้างลูกจ้างพิเศษ ค่างานล่วงเวลา ค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินที่เบิกประจำเดือนอีกต่างหาก แต่ละครั้งแต่ละเดือนมีเงินเกินมากว่า10ล้านบาท

เมื่อเวลาทำงานจริง (ย้ำว่าถ้าทำงานจริง) งานทั้งหมดไม่ได้ทำอะไรเลยเหมาต่อผู้รับเหมาท้องถิ่นทั้งหมด คิดเฉลี่ย ลบ.ม. ละ 8 บาท ทำได้กี่ลบ.ม.ก็เบิกไปตามนั้นไม่เกี่ยวกับ ราคางานที่ได้มา เช่นงานบอกว่าขุดลึก3เมตรกว้าง15เมตร ทำจริงอาจจะขุดลึก 1.5เมตรกว้าง7เมตร แค่นั้นก็พอแล้ว

แล้วงานอะไรที่ทำไม่จริงล่ะ ก็งานขุดลอกคลองไงครับ 3 ปีตั้งงบประมาณกันอีกแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เรียกผู้รับเหมาเจ้าเดิมนั่นแหละเข้ามาเจรจา อ้างถูกตรวจสอบว่าขุดความลึกไม่ได้ ให้ช่วยมาขุดเพิ่มให้ แต่ก็ไม่ถึงขนาดใจดำ จะช่วยค่าน้ำมันเพิ่ม ครั้งนี้ไม่ให้เป็นลบ.ม.แล้ว เหมาจ่ายกันไปเลย ทั้งหมดเท่าไร

งานซ่อมถนนก็เช่นเดียวกันใช้วิธีการแบบนี้เช่นเดียวกัน สองเด้ง รับมาเต็มๆ แต่เหมาจ่ายแบบช่วยค่าน้ำมันไม่ถึง10เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณที่ได้มา

ส่วนต่างที่เหลือไม่ต้องถามนะครับอยู่ที่ใคร? ตั้งแต่คนที่เซ็นหนังสือข้างบน ยัน ผบ.หน่วย เฉลี่ยกันไม่อั้น ใครทำเงินได้มากคนนั้นก็อยู่ยาว (50-8 เหลือ ลบ.ม. ละ 42 บาทสบายๆ นิ่มๆ ครั้งละ ไม่รู้กี่ล้านลบ.ม.) ปีหนึ่งๆแต่ละจังหวัดผบ.หน่วยยศแค่พอ. มีรายได้เมื่อหักแล้วจะเหลือคนละกว่า20ล้านบาท ทุกคน

มาดูกันว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้ำท่วมด้วย ทหารกินก็แค่กินไม่เห็นมันเกี่ยวกันเลย

เกี่ยวครับ ทุกคลอง ทุกถนน ทุกบ่อกักเก็บน้ำ ทั้งเขื่อนกั้นน้ำ ทั้งหมดมันอยู่ในแผนของกระทรวงคมนาคม ในแผนของกระทรวงมหาดไทย กรมโยธาฯ กรมชลประทาน สำนักผังเมืองหมดอยู่แล้ว เมื่อทหารเข้ามา เอางบประมาณเข้ามา ก็ทำตามแผนอันนี้เช่นกัน

แต่เมื่อมันทำไปแล้วไม่มีคุณภาพ คลองไม่เป็นคลอง เป็นที่เลี้ยงจิ้งหรีด เป็นที่ปลูกหญ้าให้ควายกิน เป็นที่ปลูกผัก บางแห่งสร้างเป็นอาคารพานิชย์บ้างไปแล้วก็ยังมี เมื่อถึงเวลาฝนตกลงมามันจึงไม่สามารถเป็นไปตามผังที่จะระบายน้ำได้ น้ำจึงเอ่อล้นขึ้นมาท่วมบ้านเรือนชาวบ้าน ที่จริงมันเป็นแบบนี้มานานปีดีดักแล้ว แต่บังเอิญมันไม่หนักหนาสาหัสแบบนี้ จึงไม่เป็นข่าวออกมาฟ้องออกมาประจานกัน

แถบภาคอีสาน น้ำจึงแล้งและขาดแคลนแคลนมากก็เพราะเหตุผลอันนี้ด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าตั้งคำถามว่า ทำไมไม่มีการร้องเรียนกัน ตอบว่า ร้องเรียนไปที่ใครครับ เจรกองทัพเหรอ แล้วได้อะไร มีทหารคนไหนเคยผิดบ้าง สอบไปสอบมา แป๊ปเดียว คนสอบก็ย้าย คนสอบก็ร่ำรวยแล้วก็เกษียณไปด้วยความสบายใจ

แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องละเช่นกรมการปกครองทำไมเงียบ คำตอบ ไม่เงียบได้อย่างไร ก็มันมีงบช่วยเหลือ งบภัยแล้ง คอยรอรับอยู่แล้ว โวยไปก็มีแต่เจ็บตัว นิ่งดีกว่า รวยมีเงินใช้อีกด้วย

คนที่เดือดร้อนก็ประชาชนนี่แหละคนอื่นไม่มีใครเดือดร้องด้วยหรอก

เดี๋ยวจะหาว่าที่เขียนมานี้เหตุเพราะบังเอิญแท้ๆ ไม่จริงทั้งหมด ผมจึงจะยกตัวอย่างมาให้ดูแบบชัดๆ

ภาคใต้ไม่มีคำว่าฝนแล้ง มีแต่คำว่า น้ำท่วมใช่ไหม

หลายปีที่ผ่านมาตอนนั้นนายกฯของไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เกิด น้ำท่วมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่จ.สงขลา เป็นที่เดือดร้อนไปทั่ว ทั้งหมดเหตุมาจากปริมาณน้ำฝนที่ตกมาจำนวนมากไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน น้ำจึงเอ่อล้นขึ้นมาท่วมตัวเมืองหาดใหญ่อยู่หลายวัน

มีคำถามออกมาว่าโครงการพระราชดำริที่ให้ขุดลอกคลองหอยโข่งไม่ได้ผลเหรอ น้ำจึงท่วมขนาดนั้นและอยู่ยาวนานหลายวันด้วย นานอยู่เป็นอาทิตย์กว่าน้ำจะลด

หลังจากงานนั้นเกิดอะไรขึ้น ตรวจสอบแล้วพบว่าคลองหอยโข่งที่ขุดเพื่อระบายน้ำนั้น แท้จริง มันไม่ใช่คลอง มันแค่ลำลาง ทำกันแบบขอไปทีเท่านั้น คนที่ทำก็คือ นทพ.ทัพภาค 4 ใช้เงินไปร่วมหมื่นล้าน ระยะเวลาทำงานเกือบ 5 ปี ตั้งแต่สมัยคนที่ชื่อ ชวน หลีกภัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีพล.ท.ปานเทพ แม่ทัพภาค 4 รองเสธ.ฯชื่อพอ.ปฐมพงศ์ (คนที่เป็นเสื้อเหลืองทุกวันนี่แหละครับ)

แต่ทำไปแล้วใช้ไม่ได้ขนาดความกว้างคลองใหญ่ไม่ถึง 6 เมตร ทั้งที่ในแบบให้กว้าง 15 เมตร ทุกคลองซอยล้วนตีบตันทั้งสิ้น บางคลองมีความกว้างเฉลี่ยแล้วไม่ถึงเมตร เมื่อคลองไม่เป็นคลองน้ำมันจึงไมไหล ชาวบ้านก็ไม่ได้ใช้น้ำเพื่อการเกษตร ทางระบายน้ำออกไปจึงไม่มีกลายเป็นคันดินกั้นน้ำไปซะอีก จากประโยชน์กลายเป็นโทษในทันที

แล้วรัฐบาลทักษิณฯ ก็ตั้งงบกันใหม่อีกครั้งอย่างเร่งด่วนสำรวจใหม่ทำงบประมาณใหม่ คือทำคลองให้เป็นคลอง งบครั้งนั้นตั้งไปยังไม่ถึงพันล้านบาทในระยะเวลาทำงานแค่ปีเดียว คนที่ถืองบประมาณลงไปทำชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตรทำไม่ถึงปีเสร็จเรียบร้อย ตั้งแต่บัดนั้นยันบัดนี้ น้ำไม่เคยท่วมหาดใหญ่แบบหนักหนาสาหัสอีกเลย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก ทุกอย่างตรวจสอบได้ จริงหรือไม่

อีสานเช่นเดียวกับภาคใต้ น้ำท่วมเพราะสาเหตุนี้จริงๆ

ทหารรั้วของชาติ (ที่ผมยังนึกไม่ออกว่าชาติไหน) นี่แหละเป็นต้นแห่งเหตุทำให้น้ำท่วมใหญ่ในอีสานเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีประเทศไทยมา เป็นทหารคนเดียวกันกับคนที่เอาเงินภาษีไปซื้อปืนมายิงประชาชน ทหารแห่งประเทศไทย ฆ่าประชาชนตัวเองแล้วได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต

แล้วอย่านึกนะครับว่าทหารที่ออกมาช่วยเหลือน้ำท่วมในครั้งนี้ จะเสียสละ ไม่ใช่ทั้งนั้นครับ เบื้องหลังก็เบิกงบประมาณกันทั้งนั้น รวยอีกแล้วทั้งขึ้นทั้งล่อง

“บุญคุณไม่เคยมี ความแค้นยังคงที่เหมือนเดิมระหว่างทหารกับประชาชน”


‘งบลับ’ งบเข่นฆ่าประชาชน

‘งบลับ’ งบเข่นฆ่าประชาชน
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 273 วันที่ 21-27 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 16
คอลัมน์ : ฟังจากปาก
โดย : วัฒนา อ่อนกำปัง

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย หนึ่งในคณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับงบลับและงบกลางของรัฐบาล เพราะถามใครก็ตอบไม่ได้ว่าเอาไปทำอะไร โดยเฉพาะงบของ ศอฉ. ที่ว่าเอาไปเป็นเบี้ยเลี้ยงทหาร ทำให้มองว่านี่คือเงินของประชาชนที่เอามาเข่นฆ่าประชาชน เหตุที่มองเช่นนี้เพราะสาเหตุดังนี้

งบประมาณกระจุกหรือไม่

ภาพรวมของการพิจารณางบประมาณในยุคของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะบอกว่างบกระจุกไม่ได้หรอก แต่เพราะไม่มีสมองมากกว่า รวมทั้งทำงานไม่เป็น ทั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารประเทศก็มีการออกมาพูดว่าการ เมืองไม่เกี่ยวกับงบประมาณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีมาจากผู้แทนราษฎร ผู้แทนราษฎรก็คือนักการเมือง แต่พอมาบริหารเองนายอภิสิทธิ์กลับบอกว่าการจัดการงบประมาณปีนี้กระจุกไม่ กระจาย เป็นการยอมรับว่าการบริหารงานแบบนี้เป็นแบบมีพรรคร่วม ซึ่งไม่เหมือนยุคพรรคไทยรักไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาลพรรคเดียว งบเลยกระจายได้ เพราะนโยบายพรรคบอกกระจายไปสู่พี่น้อง สู่ความยากจน กระจายได้เลยไม่กระจุก แต่งบปีนี้กระจุกเพราะอะไร เพราะเป็นพรรคร่วม และรัฐบาลนี้มาจากเสียงข้างน้อยด้วย ก็ต้องเกรงใจพรรคร่วม

ผมยกตัวอย่างเช่น แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์แต่กลับไม่ได้ดูแลกระทรวงหลักๆ อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ แต่พรรคร่วมกลับเป็นผู้ดูแล ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อว่าพรรคอะไร ก็รู้กันอยู่ ทีนี้คนเป็นนายกฯก็ไม่สามารถสั่งได้ว่างบประมาณต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น เป็นเหตุให้เกิดความอึดอัดกับพรรครัฐบาลเอง ล่าสุดนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ออกมาพูดชัดเจนว่าตั้งแต่เป็นผู้แทนราษฎรมาไม่เคยเห็นยุคไหนกินเปอร์เซ็นต์ มาก 30-50% เท่ายุคนี้ นี่คือคำพูดของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องย้อนกลับไป งบเลยกระจายไม่ได้ มันเลยกระจุกอยู่ กระจุกอยู่ที่กระทรวงไหนไปดูเอา ไปกระจุกอยู่ในงบส่วนกลาง กระจุกอยู่ในกลาโหม เงินไปอยู่ในความมั่นคงหมด เงินรัฐบาลไม่ได้ไปอยู่ที่กระทรวงท่องเที่ยว กระทรวงพัฒนาอะไรต่างๆไม่มี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรฯงบประมาณน้อยนิดเดียว แต่งบกลางไปดูเหอะ

ในส่วนของงบกลางเป็นอย่างไร

ความจริงที่รัฐบาลไม่ยอมพูดถึงก็คือศูนย์อำนายการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพราะ ศอฉ. ไม่มีองค์กรหลักในการเบิกเงินสนับสนุนการทำงาน ซึ่งผมเป็นกรรมาธิการงบประมาณ ผมถามผู้แทนของ ศอฉ. ว่าที่ผ่านมามีการเบิกเงินทำงานมาจากไหน เพื่อจะได้ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบได้ ให้สำนักงานงบประมาณตรวจสอบได้ สุดท้ายไม่มีคำตอบ แต่เขียนเป็นโพยมาบอกว่าที่ผ่านมาใช้งบกลาง ที่ผ่านมา ศอฉ. เอางบของหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้มาใช้เพื่อดำเนินการ ยกตัวอย่างเช่นเบี้ยเลี้ยงทหารที่มาทำงานในช่วงที่มีการสลายการชุมนมของ กลุ่มคนเสื้อแดงคิดเป็นเงินงบประมาณกว่า 2,080 ล้านบาท ไม่นับรวมงบประมาณจากที่อื่นอีกมากกว่า 3,000 ล้านบาท เรื่องนี้รัฐบาลจะตอบสังคมได้หรือไม่ นี่เป็นเหตุให้งบประมาณไม่กระจาย ที่กระจุกก็มีเหตุผลอันนี้แหละ

เบี้ยเลี้ยงประเภทไหนที่รัฐบาลเอามาปราบคนเสื้อแดง เป็นคำถามที่รัฐบาลตอบไม่ได้ และจนถึงวันนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่ยกเลิก จะยกเลิกได้ยังไง ถ้ายกเลิกแล้วก็ไม่มีเบี้ยเลี้ยงจ่าย พูดตรงๆคือไม่รู้จะเอาใบเสร็จที่ไหนมาให้ตรวจสอบทีหลัง จะได้อ้างว่าจังหวัดนั้นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จังหวัดนี้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้มีกำลังทหารไปเบิกเบี้ยเลี้ยง นี่เป็นคำพูดของพี่ในฐานะที่เป็นรองโฆษกกรรมาธิการฯ ถามชัดเจนในกรรมาธิการเลย ตั้งแต่ความมั่นคง กระทรวงกลาโหม สำนักนายกฯ สภาพัฒน์ จากการสอบถามทางสำนักงบประมาณก็พูดไม่ออก โดยบอกว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) เป็นคนดำเนินการ บางครั้งก็บอกว่าสำนักนายกฯเป็นคนดำเนินการ สำนักงบประมาณไม่ได้เป็นคนดำเนินการ

มหาดไทยได้งบมากแค่ไหน

งบที่กระทรวงมหาดไทยได้ค่อนข้างมีปัญหา เช่น งบมากระจุกอยู่ท้องถิ่น มีปัญหาอยู่ โดยมีข่าวการซื้องบไปลง อบจ. แต่ละที่โดยวิธีการวิ่งหาประโยชน์ วิ่งหาเปอร์เซ็นต์ก่อน ถามว่าเรื่องนี้นายกฯรู้ไหม นายกฯรู้แต่พูดไม่ออก

งบโครงการไทยเข้มแข็ง

ที่มาของโครงการไทยเข้มแข็ง คำว่าไทยเข้มแข็งนี่นะ อยากจะบอกผู้สื่อข่าวทั้งประเทศว่าที่นายอภิสิทธิ์ไปติดรูปว่าเป็นโครงการ รัฐบาล แต่ความจริงต้องบอกว่าคือโครงการใครเข้มแข็ง ไม่ใช่ไทยเข้มแข็ง ต้องใช้คำว่ากู้เงินไทยเข้มแข็ง คือกู้มาแล้วไปไหน กู้มาแล้วไปหาประโยชน์ ที่เขาบอกว่ากู้มาโกงน่ะจริงไหม ถ้าไม่จริงไปตรวจสอบทุกโครงการเลย ในงบประมาณมีการประมูลก่อนด้วยซ้ำไป และจะเอาผลเอสพี 2 มาใช้ คณะกรรมาธิการไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าในกฎหมายในวาระหนึ่ง กฎหมายเข้าสภานี่โครงการต้องอยู่ในสภาเล่มหนึ่ง ไม่ใช่เอางบประมาณที่ประมูลได้แล้วมาเข้าเป็นงบประมาณแผ่นดิน

คนไทยเลยเป็นหนี้หัวโต

ต้องพูดความจริงกันแล้วว่ารัฐบาลบริหารประเทศแบบต่างตอบแทน ไม่ต้องไปดูอื่นไกล การที่นายอภิสิทธิ์เอานายกษิต ภิรมย์ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ถามว่าความสัมพันธ์ในประเทศรอบๆอาเซียนนี่ไม่มีเลย อาทิ พม่าปิดด่านที่แม่สอด ล่าสุดนี่ก็เริ่มกับเขมร ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ฟังเสียงคนที่อยู่ตามชายแดน คนที่ทำมาค้าขายอยู่ทุกวันนี้บอกว่าถ้ามีการทะเลาะกันเกิดขึ้น แล้วถ้าเขาปิดประเทศ ต่างคนต่างปิดประเทศจะอยู่กันยังไง ความผูกพันมีมาช้านาน แต่วันนี้นายกฯไม่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหา นายกฯนั่งลอยตัวอย่างเดียวแล้วบอกว่าผมแก้ไขได้ นี่คือเหตุผล

งบกลาโหมแตะไม่ได้จริงหรือ

ฐานะที่เราเป็นคณะกรรมาธิการงบประมาณ ก็พยายามขอเอกสาร อย่างงบ ศอฉ. นี่ขอเอกสารไปก็บอกว่าไม่มี บอกว่าให้ไม่ได้ เป็นความลับ ทีนี้พอให้ไม่ได้ก็ให้ทำเป็นเอกสารมาโดยใช้วิธีเขียน ก็เขียนมาว่าจ่ายเบี้ยเลี้ยงเป็นเงิน 2,080 ล้านบาท เอาไปใช้ที่ไหน อย่างไร วันนี้องค์กรอิสระต้องออกมาทำงาน เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีไว้ทำไม ต้องมาตรวจสอบรัฐ องค์กรอิสระต่างๆที่มีอยู่ต้องออกมา วันนี้องค์กรตามรัฐธรรมนูญเงียบหมด ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ละเลงงบประเทศไทยอยู่ ต้องพูดอย่างนี้เลย สภาพัฒน์นี่ถามชัดเจนว่าวันนี้หนี้สาธารณะไปเท่าไรแล้ว จีดีพีไปเท่าไรแล้ว ออกมาพูดชัดเจนว่าส่งออกเยี่ยม ขายได้ดี ถามกันว่าที่โฆษณาบอกว่าประเทศไทยส่งออกเยี่ยมน่ะไปดูข้าวในสต็อก วันนี้ชาวบ้านขายจริงๆ 6,000 บาทต่อตัน คุณส่งออกไม่ได้จริงอย่างที่บอก ล่าสุดถามในสำนักงบประมาณด้วยซ้ำไปว่าข้าวนี่เราเป็นหนึ่งในเอเชียแต่ให้ เวียดนามแซงไปได้ยังไง เพราะคุณทำมาค้าขายกับต่างชาติไม่ได้ คุณขายไม่เป็น

คราวนี้ลองมามองเรื่องเงินกู้ซึ่งจะชนเพดานอยู่แล้ว เหลืออีก 20,000 ล้านบาท จะชนเพดานแล้วนะ นี่คือความจริงที่ต้องเอามาพูดกับประชาชน ไม่ใช่ว่าคุณจะใช้อำนาจกู้ผ่านสภาอย่างเดียว พอ ส.ว. ตีตกก็เงียบ และก็ทนอยู่อย่างนี้ แต่ถามว่าเวลาคุณไม่อยู่ใครจะเป็นคนใช้หนี้ ก็จะย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลยุค IMF ที่กู้แล้วคนที่ใช้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สุดท้ายคุณก็ไล่บี้ทักษิณอย่างเดียว ให้ทักษิณอยู่ประเทศนี้ไม่ได้ แต่ถ้าถึงเวลาจริงๆมีหนี้ขนาดนี้ประเทศต้องหยุดชั่วครู่แล้วคิดกันว่าใครมี ฝีมือ เหมือนทำงานกับคนทำงานไม่เป็น ยกตัวอย่างเหมือนเรียนหนังสือ คนเรียนเก่งก็พยายามอ่านหนังสือค้นคว้าตำรับตำราใช่ไหม แล้วนี่เรียนไม่เก่ง รอลอกเพื่อนอย่างเดียว พอลอกเขาแต่ต้นตำรับไม่อยู่ก็ทำไม่เป็น ทำไม่เป็นการเมืองก็ไม่เข้มแข็ง เพราะมีหลายพรรค นายกฯไม่สามารถสั่งได้ ไม่ต้องไปมองเรื่องอะไร เรื่องรถเมล์เอ็นจีวีอย่างนี้ สภาล่มนี่นายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย พรรคภูมิใจไทยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าไม่เกี่ยวกับพรรค ที่จริงแล้วเป็นหน้าที่ของรัฐบาล สภาล่มคุณต้องรับผิดชอบด้วยซ้ำไป นี่ไม่รับผิดชอบอะไรเลย คนไทยต้องมามองเรื่องภาคการเมือง ภาคประชาชน ภาคสังคม วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธียัดเยียดหมด แล้วก็อ้างตัวว่าเก่ง อ้างตัวว่าดี

สภาล่มเป็นประวัติการณ์

ต้องกลับไปถามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นนายกฯที่มองสภาเป็นหลัก สภาล่มกี่ครั้ง มีสถิติอยู่ รัฐบาลก็หน้าตาเฉย บอกล่มเดี๋ยวก็ไม่มีปัญหา อาทิตย์หน้าก็ครบ อย่างนี้เหรอ ถ้าเป็นต่างประเทศสภาล่มรัฐมนตรีหรือนายกฯต้องลาออกแสดงสปิริต แต่นายกฯไทยบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวคุยกับพรรคร่วมใหม่ ไม่ได้ทะเลาะกัน ทีนี้บ้านเราที่ติดตามการเมืองเขาเบื่อแล้ว เบื่อตรงที่ยัดเยียดว่าให้นักการเมืองมันเลวมันชั่วเหลือเกิน สุดท้ายพอล่อตัวนักการเมืองก็ต้องกลับมาล่อสภา ที่นี้คุณก็กลับมาทำให้เห็นว่าสภานี้คุณรักษาไว้ไม่ได้ คือทำสภาล่มเป็นประวัติศาสตร์ ทีนี้พรรคประชาธิปัตย์จะตอบสังคมยังไง วันหนึ่งขณะที่ผมอยู่พรรคไทยรักไทยและเป็นรัฐบาล คุณลุกขึ้นพูดเลยว่าการรักษาองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านมีหน้าที่อย่างเดียวคือทำให้สภาล่ม

นายอภิสิทธิ์ไม่นึกถึงคำพูดที่ผ่านมา

ก็ไม่มีอะไร สติเสียไปแล้ว เลอะเลือนไปแล้ว แล้วมีคนไปยกว่าเป็นอภิสิทธัตถะ ผมอยากถามว่าใครเป็นคนตั้งให้ อยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนคิด คำว่าสิทธัตถะนี่หมายถึงพระพุทธเจ้า อภิสิทธิ์ไม่ใช่ ต้องเขียนว่าอภิสิทธิ์อะไรนะที่ทำให้บ้านเมืองวิกฤต เพราะอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ต้องใช้คำนี้ อย่าใช้คำว่าสิทธัตถะ อย่าเอาเรื่องศาสนามาเกี่ยว พระพุทธเจ้าก่อกำเนิดพระพุทธศาสนามา 2,500 ปี ท่านรักษาศาสนาพุทธไว้ ท่านก็ใช้วิธีบวชและสั่งสอนให้คนเป็นคนดี ถามว่าคุณตั้งชื่ออย่างนี้ เลียนแบบอย่างนี้ไม่สมควร ถ้าเป็นสมัยก่อนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร ยิ่งกว่าการลบหลู่อีกนะ คุณจะชื่นชมกันยังไง เป็นอะไรไม่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนดีเท่านั้นที่จะปกครองบ้านเมือง ต้องเอาพระราชดำรัสของในหลวงมาใช้ คนดีท้อแท้คนเลวก็ครองเมือง เดี๋ยวนี้ต้องหาคนดีว่าอยู่ตรงไหน

กองทัพกับรัฐบาลแยกกันไม่ออก

กองทัพอย่ายุ่งกับการเมืองมากเกินไป ผมพูดในสำนักงบประมาณด้วยซ้ำไป เอาเอกสารมาดู ผมบอกว่าวันนี้ทหารเข้ามายุ่งกับการเมืองมากเกินไป พรรคประชาธิปัตย์เป็นคนบอกว่าทหารต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทีนี้คุณกลับใช้ทหารทุกอย่างเลย วันที่คุณไม่มีอำนาจแล้วทหารเล็กๆจะเดินบนท้องถนนกันยังไง คุณแบ่งประชาชนเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคุณใช้ทหาร เช่น ไป กอ.รมน. วันนี้ที่คุณคง พ.ร.ก. เอาไว้ คุณก็ใช้ทหารลงพื้นที่ไปล้างสมองเขา ไปกล่อมเขา และคนมีความรู้ ติดต่อสื่อสารกันได้ ถามว่าวันที่คุณไม่มีอำนาจจะทำยังไง ทำไมไม่คิดทำให้ประเทศนี้ปรองดอง ให้เป็นหนึ่งเดียวกันล่ะ นี่คุณไม่คิดจะมีความสามัคคีเลย ถึงบอกว่าวันนี้ทหารต้องขอร้องกัน ให้ทหารถอยออกมาซะ อย่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในเมื่อทหารถือคติว่าทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ทหารเนี่ยมีคำว่าและประชาชนห้อยท้ายอยู่ด้วย เขาไม่พูดถึงอภิสิทธิ์และสุเทพเลยนะ ถามว่าทหารจะไปซุกอยู่ทำไม

ต้องบอกว่าเพราะอำนาจและผลประโยชน์หรือเปล่า เช่น บอลลูนเรือเหาะ 347 ล้านบาท รถหุ้มเกราะที่หนังสือพิมพ์แซวอยู่ ตัวรถเป็นของประเทศยูเครน เครื่องเป็นอเมริกา เยอรมัน อะไรอย่างนี้ ตกลงกันไม่ได้หรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เรื่องปากท้องประชาชนยิ่งไม่สนใจใหญ่ บอกกันตรงๆยาบ้านี่ระบาดมาก เกลื่อนเมือง มีแต่คนวุ่นวายไปหมด

งบกว่า 5,000 ล้านเบิกไปให้ใคร

รัฐบาลเบิกไปให้ ศอฉ. ซึ่งต้องมองกันก่อนว่า ศอฉ. ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร มันเลียนแบบปฏิวัติ เพราะตอนปฏิวัติใช้คำว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เพราะการเบิกงบประมาณต่างๆ คมช. เบิกเองได้โดยไม่ต้องผ่านใครเป็นตัวกลาง พอมาตั้ง ศอฉ. ก็เบิกงบเองโดยไม่ต้องผ่านสำนักงานงบประมาณ ไม่ต้องผ่านอะไร ไม่ต้องตรวจสอบ เขาคิดเหมือนกับว่าบ้านนี้เมืองนี้ไม่ต้องตรวจสอบ ผมให้สำนักงบประมาณชี้แจงว่าใครจะรับผิดชอบ สำนักงบประมาณตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้ก็เสร็จ บอกเอาเอกสารรายการที่เบิกไปมาดูซิ ให้ ศอฉ. ทำมา ศอฉ. ไม่มีใบเสร็จ ก็ใช้วิธีเขียนมา เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงกำลังพล 60,000 นาย วันละ 400 บาท ค่าน้ำมันเครื่องรถถัง ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ถามว่าอย่างนี้องค์กรอิสระเคยคิดไหม เคยคิดจะเข้าไปตรวจสอบงบ ศอฉ. บ้างไหม แล้วมาอ้างว่าเป็นงบลับได้ไหม นี่ไง! เพราะเขาอ้างเป็นงบลับ คุณไม่ได้เอาไปปราบผู้ก่อการร้ายที่รบกันอยู่ตามชายแดน แต่เอางบประมาณมาปราบคนไทย มาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง บอกว่าเอามาปราบผู้ก่อการร้าย ถามว่าพวกเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายทั้งหมดใช่หรือไม่ก็ตอบผมไม่ได้ คุณปล่อยให้เขาชุมนุมกันมาตั้ง 3 ปี 4 ปี ก็เห็นๆกันอยู่ คนเสื้อแดงก็คือคนไทยแท้ๆ

“อภิสิทธิ์” บอกคนตายแค่ 80 คน

การเอามาเปรียบเทียบกับสมัย พ.ต.ท.ทักษิณที่มีคนตายถึง 2,500 คน เป็นการเทียบแบบคนสติเสีย ถามว่าตอนที่ว่าตาย 2,500 คน คุณไปนับศพจากไหน ยิงกันตายที่ไหน โทษเรื่องเรื่องยาบ้าว่าทักษิณ ฆ่าตัดตอนอย่างเดียว อย่างนั้นคนในประเทศที่ตายยุคอภิสิทธิ์เท่าไร เอาไปบวกสิ ใช่ไหม วันนี้พวก NGO หรืออะไรต่างๆต้องออกมาดูเรื่องนี้ว่าตอนที่นายกฯทักษิณปราบยาบ้า ปราบแล้วไม่มี ทุกจังหวัดปราบยาบ้าอย่างเอาจริงเอาจัง ถามว่าใครเป็นคนฆ่า บางทีฆ่ากันเอง ตัดตอนกันเอง อย่างนี้ก็โยนขี้ให้เขา แต่ที่คุณยิงกันแท้ๆนี่ เอาทหารมายิงประชาชนเกือบ 100 ศพ คุณบอกถ้ามีคนตายคนหนึ่งคุณก็อยู่ไม่ได้ แต่วันนี้คำพูดของคุณที่พูดไปลืมหมด ตั้งแต่ 99 วันทำได้ ก็ไม่เห็นทำอะไรได้เลย ตั้งปีกว่าแล้ว พอยิงก็ว่าคนตายคนหนึ่งอยู่ไม่ได้ แล้วนี่เกือบ 100 คน หรืออภิสิทธิ์เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อย่างเดียว หรือสติเสียไปแล้ว ทำไมถึงยังยืนอยู่ได้ ต้องมองว่าทำไมถึงยังยืนอยู่ได้ล่ะ สื่อมวลชนต้องช่วยกันดูนะครับ ที่ว่าเราเป็นนักการเมืองน่ะ ทำไมเขายืนอยู่ได้

อภิสิทธิ์ไม่ยุบสภาเพราะยังไม่ปรองดอง

นายอภิสิทธิ์น่าจะละอายกับคำพูดของตัวเองนะ  ในเมื่อคุณหาเสียงไม่ได้ คุณไปที่ไหนไม่ได้อย่างนี้ควรเปลี่ยนให้คนอื่นมาเป็น คือยุบสภาแล้วให้เขาเลือกกันมา คนอื่นอาจเป็นดีกว่าคุณก็ได้ คุณยุบสภาวันนี้ คุณได้อำนาจแล้ว คุณได้เปรียบแล้ว คุณเป็นรัฐบาล แต่คุณกลับไม่ทำ คุณอ้างว่าอยากให้คนรักกันก่อน ให้คนปรองดองกันก่อน มีอย่างที่ไหนคุณทำร้ายเขามาขนาดนั้นแล้วบอกให้ดีกันซะ มารักกันซะ แล้วผมจะยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนอยู่ในประเทศไทย รู้เหมือนกันว่าใครทำอะไรอยู่

อภิสิทธิ์ไม่เคยมีคำว่าขอโทษ

ขอถามว่านายอภิสิทธิ์ขอโทษหรือยังที่มีคนไทยตาย ที่ถูกยิงนี่นายอภิสิทธิ์อ้างว่าพวกเสื้อแดงยิงกันเอง พวกชุดดำเป็นคนยิง ทหารไม่เคยยิง รัฐบาลไม่เคยสั่งการให้ฆ่าประชาชน แต่ทั่วโลกถ่ายทอดไปหมด ถามว่าอภิสิทธิ์มีตาไหม ขนาด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นนายกฯที่มาจากการแต่งตั้งแบบเผด็จการด้วยซ้ำ เขาก็ยังไม่รู้ใครเป็นคนยิงที่ภาคใต้นะ เขาไปขอโทษประชาชนก่อน วันนี้ผมเป็นนายกฯต้องขอโทษที่มีการฆ่าประชาชนเกิดขึ้น ผมจะพาประเทศนี้เดินไปอย่างผาสุก อันนี้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. 2 ครั้งที่นายอภิสิทธิ์ไม่เคยออกมาขอโทษประชาชนเลย พูดอย่างเดียวว่าผมแก้ได้ภายใน 99 วัน ผมจะขออยู่ต่อ ขอเป็นรัฐบาลต่อ ปัญหาที่มีการทุจริตเกิดขึ้น มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้น ตั้งแต่ปลากระป๋องเอย โครงการพอเพียงเอย ทุกชนิดวันนี้เงียบหมด แล้วก็บอกว่าอยู่ได้เหมือนเดิม ยิงกันตายก็แล้ว โกงก็แล้ว หรือนายอภิสิทธิ์จะอยู่ให้ครบสูตรเลย

หรืออภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นนายกฯ

แน่นอน คือคนที่ไม่มีอำนาจนี่เขากลัวไง กลัววันที่ไม่มีอำนาจแล้วจะเดินบนแผ่นดินนี้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาทำกับประเทศชาติ ทำกับประชาชนไว้มาก จนกลัวไปหมด กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่เกือบจะเป็นเทวดาไปแล้ว แตะต้องไม่ได้ เหมือนตอนฟังข่าวเรื่องรถเมล์เอ็นจีวีที่บอกว่าอภิสิทธิ์ไม่เคยได้นั่งรถ เมล์ เลยไม่รู้ว่าคนกรุงเทพฯทุกข์ยากยังไง เหตุที่พรรคภูมิใจไทยต้องดันเพื่อให้มีรถเมล์ เขาเห็นใจคนกรุงเทพฯ ทั้งๆที่เขาไม่มี ส.ส.กรุงเทพฯเลยนะ แต่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. ในกรุงเทพฯแต่กลัวว่าคะแนนเสียงจะหาย ในทางกลับกันถ้าเขาไม่ให้สิคะแนนจะหายมากกว่า นี่คือประเด็นสำคัญ และเป็นนิสัยของพรรคการเมืองนี้ พรรคประชาธิปัตย์คิดเหมือนกันหมด คือคิดทุกเรื่องเป็นการเมืองหมด นี่ไง คุณเอาไปคิดเป็นการเมืองหมด คุณไม่เอาให้คนอื่น พอไม่ให้คนอื่นก็เลยเป็นแบบนี้

อยากเตือนอะไรนายกฯ

ผมอยากเตือนในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎรหนึ่งเสียงเหมือนกัน มาจากมือประชาชน มาจากระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะเป็นผู้แทนราษฎรที่คนเลือกมา วันนี้การเมืองมาแล้วก็ไป แต่ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังคงอยู่ คุณอย่าใช้การเมืองไปรังแกเขาเลย จะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคอะไรก็แล้วแต่ สังเกตเถอะครับ วันนี้บ้านเมืองวุ่นวายไปหมด โครงการทุกโครงการที่ตรวจสอบแล้วมีการทุจริตมาจากรัฐบาลนี้ทั้งนั้น หรือไม่ใช่ให้ลุกมาเถียง ตั้งแต่โครงการปลากระป๋อง โครงการชุมชนพอเพียง กระทรวงสาธารณสุข ถ้าเป็นต่างประเทศรัฐบาลอยู่ไม่ได้แล้ว แต่วันนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์อ้างว่าประชาชนยังหนุนเขาอยู่ เขาก็จะทำ 2 มาตรฐานอย่างนี้ไปตลอด

ผมเตือนนายอภิสิทธิ์ได้ว่านายอภิสิทธิ์ยังอายุน้อย โอกาสยังมีอีกเยอะ อย่าให้ประเทศบอบช้ำไปมากกว่านี้เลย เพราะวันนี้ประชาชนแบ่งกันเป็น 2 ฝ่าย อย่างที่คุณตั้งใจไว้แล้ว คุณจะทำยังไงให้ประชาชนเหลือฝ่ายเดียว คุณทำไม่ได้ ไม่มีโอกาส ที่ไม่มีโอกาสเพราะคุณอ้างว่าไปหาเสียงที่ต่างจังหวัดไม่ได้ จะไปได้ยังไงในเมื่อวันหนึ่งคุณยิงเขาแล้วและไล่ให้กลับไปอยู่บ้าน และยังมีบัญชีไล่ล่าอีก นี่คือเหตุผล ฝากไปถึงนายอภิสิทธิ์ด้วย อย่างทักษิณคุณก็ใช้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไล่บี้เขาอย่างกับ หมูกับหมา อดีตนายกฯทักษิณเขาทำคุณงามความดีให้กับประเทศไว้ก็มาก และเป็นคนไทยคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเขาตายไปแล้วสิคุณถึงต้องโกรธเขา แต่นี่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะให้โอกาสเขา นี่คุณไม่มีคำว่าให้โอกาสและไม่ให้อภัย ในเมื่อคนไทยไม่มีคำว่าให้โอกาสและให้อภัยก็เป็นคนไทยไม่ได้แล้ว

ถ้าอภิสิทธิ์อยู่ในชะตากรรมเดียวกับทักษิณ

ฝากไปด้วย ดีนะที่ทักษิณยังมีพวกตอนที่เป็นนายกฯ ถามว่านายอภิสิทธิ์ตอนนี้ คุณให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปไล่ทะเลาะกับเขาหมด ไปด่าเขมรว่ากุ๊ยบ้าง พม่าก็ไปปิดผ่านแดนบ้าง สงขลาก็เริ่มไปจับเขา คนเขาเดินขบวน ถามว่าทะเลาะกับเขมรเสร็จ ล่าสุดทะเลาะกับมาเลเซียอีกแล้ว ด่านสงขลานี่ผู้ค้าอะไร ของหนีภาษี ทำทุกเรื่อง คุณไม่มีคำว่าให้อภัยเลยนะ คุณบอกจะบังคับใช้กฎหมาย ใช้หลักรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์ ต้องเอา 2 อย่างมาผสมสิ พระพุทธเจ้ายังบอกเลยว่าพิณมี 3 สาย ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี จึงมีสายกลาง แต่วันนี้คุณไม่มีสายกลางเลย คุณเอียงไปเลย คุณมีแต่สายพวกคุณอย่างเดียว ให้พวกคุณอยู่ได้ คนอื่นไปเปรียบเทียบเป็นอภิสิทธัตถะเนี่ย ผมถึงบอกไงว่าคนที่เปรียบเทียบเอาสมองส่วนไหนมาคิด


ตลกเศร้า

ตลกเศร้า!
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ปีที่ 11 ฉบับที่ 2867 ประจำวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2010
โดย : นายหัวดี

การเมืองสยามไม่ยิ้มไม่เหมือนหนังฮาวัยรุ่น “กวน มึน โฮ” เพราะ “สัตว์การเมือง” แต่ละคนที่โผล่ออกมาล้วนเห็น “สันดอน” และ “สันดาน” ในบ่อน้ำเน่าชัดเจน ไม่ได้หน้าใสๆไร้เดียงสาเหมือน “หนูนา-น้องเต๋อ”

“สันดอน” โกหกตอแหลจึงไม่ได้มีเฉพาะยกมือไหว้ “ไพร่” ยัน “เอ๋ง 4 ขาข้างถนน” เพื่อขอ “ส่วนบุญ” แต่ในสภาอันทรงเกือกยังแสดง “สันดาน” ไม่ต่างอะไรกับ “คางคกขึ้นวอ”

การอภิปราย “งบแดกด่วน” จึงเห็น “เงินปากผี” ที่เอาเงินภาษีประชาชนไปปู้ยี่ปู้ยำกันยิ่งกว่า “เปรต”

แต่ไม่เจ็บปวดเท่ากับการเอาเงินไปถลุงให้ “ยักษ์สีเขียว” แล้วเอามาฆ่าประชาชนที่เป็นเจ้าของเงิน!

เพราะ “สีเขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” วันนี้ไม่ใช่ “สีเขียว” ของประชาชน แต่เป็นของ “ตัวกู-พวกกู” ที่ “สัตว์การเมือง” ต้องก้มหัวให้เพื่อแลกกับ “ซากปรักหักพัง” ของบ้านเมือง

จึงไม่แปลกที่ “งบแดกด่วน” นับแสนล้านจะถูกถลุงไปให้แบบไร้เหตุผลและไร้สิ่งกีดขวาง พร้อมๆกับ “เปอร์เซ็นต์” ของ “นาย”!

สยามไม่ยิ้มจึงเป็นทั้ง “รัฐทหาร” และ “รัฐประหารเงียบ” ที่อุ้ม “รัฐบาลทรราชฟันน้ำนม”!

“นักเลง” และ “สัตว์การเมือง” จึงอาละวาดทั่วบ้านทั่วเมือง

“ฆ่าคน” ก็ไม่ผิด จับใครใส่ “คุก” ก็ไม่มีใครกล้าโวยวาย

“ท่านเปา” จึงไม่ต่างอะไรกับ “ซาลาเปา”!

แต่เรื่องของ “อำนาจและผลประโยชน์” ไม่มีพรมแดน จึงไม่มีเส้นกั้น “ความดี-ความชั่ว” มีแต่ “กิเลสและตัณหา”

ไม่ใช่บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปหรือไม่มีกฎหมาย แต่หลักกฎหมายคือหลักของกู!

การเมืองยุค “พวกกู สีกู” จึงมีแต่พวกชอบตะแคงข้าง ไม่ชอบแทงข้างหน้า แต่ชอบประตูหลัง แม้แต่แก๊งเดียวกันยังกัดกันยิ่งกว่า “เอ๋ง 4 ขาข้างถนน”

แม้แต่ “สีเขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” ก็ตั้งป้อมกัดกันนัว เพราะมีแต่ “รุ่น” และ “สี” ถ้าไม่เป็น “พยัคฆ์” ก็ต้องเป็น “อีแร้ง” ถ้าซวยจริงๆก็เป็นได้แค่ “อีกา”

ใครอยากรู้เรื่อง “พวกกู-พวกมึง” ก็ต้องไปที่บ้านหลายเสาที่จะมีงานใหญ่ (ใหญ่จริงๆ) เพื่อเสริมบารมี “ฯพณฯ” เพราะขนาดลงจาก “เก้าอี้ทองคำ” มาถึง 22 ปี แต่บารมียังคับแผ่นดิน แถมยังเตะปี๊บได้เกือบทุกวัน

บ้านเมืองวันนี้จึงไม่ได้มี “สุญญากาศ” แต่มี “ศูนย์อำนาจ” ที่ชัดยิ่งกว่าชัด

เรื่องของ “สัตว์การเมือง” จึงแยกไม่ออกจาก “ยักษ์สีเขียว” และ “ผู้มีบารมี” ที่มีอำนาจคับแผ่นดิน อยากจะ “ฆ่าใคร” ก็ “ฆ่า” ไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อ เพราะ “กฎหมาย” คือ “กฎของกู”

การเมืองยุค “หลักของกู” จึงไม่ใช่หนังที่จะ “กวน” แล้ว “ฮา” แต่เป็น “ชีวิตจริง” ที่เป็น “ตลกที่โคตรเศร้า”

มีคนถูกยิงตายจริง แต่คนยิงไม่มีความผิด!