ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่

ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่
โดย : พวงทอง ภวัครพันธุ์
จาก : Sahanut Maneekul

ควรยกเลิก MOU 2543 จริงหรือ ? ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่จริงหรือ ?

ปราสาทพระวิหาร เอ็มโอยู 2543 และแผนที่

สถานการณ์ร้อนแรงระหว่างไทย-กัมพูชาลดระดับลงไป เมื่อคณะกรรมการมรดกโลกตัดสินใจเลื่อนพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่มรดกโลก ปราสาทพระวิหารของกัมพูชาออกไปเป็นปีหน้า แน่นอนว่านี่เป็นการผัดผ่อนปัญหาไปชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม จากการประท้วงของกลุ่มชาตินิยมครั้งล่าสุดนี้ มีประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการถกเถียงในที่นี้ คือ กรณีเอ็มโอยู ปี 2543 และคำอธิบายของกลุ่มชาตินิยมที่มีต่อแผนที่เจ้าปัญหา

ควรยกเลิก MOU 2543 จริงหรือ?

หนึ่งในข้อเรียกร้องของกลุ่มชาตินิยมคือ ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (เอ็มโอยู 2543) ที่ลงนามโดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.กระทรวงการต่างประเทศไทยในขณะนั้น และนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการชายแดนของกัมพูชา เหตุผลที่ต้องยกเลิกก็เพราะเอ็ม โอยู 2543 ระบุว่า หนึ่งในเอกสารที่ต้องใช้ในการปักปันเขตแดนทางบก คือ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการ ปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสตามอนุสัญญาปี ค.ศ.1904 และ สนธิสัญญาปี ค.ศ.1907 ซึ่งมีความหมายรวมถึงแผนที่ที่ทำให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 หรือที่ฝ่ายไทยชอบเรียกว่าแผนที่ 1 : 200000 แต่ในที่นี้จะเรียกว่าแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก

เรื่องนี้ดูจะสร้างความตระหนกให้แก่กลุ่มชาตินิยมไม่น้อย เพราะพวกเขายืนยันมาโดยตลอดว่า ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ (ฉะนั้นไทยจึงไม่ต้องยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่ยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา) แต่ปรากฏว่าพวกเขาได้ค้นพบว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่พวกเขาช่วยกันอุ้มชูกลับเป็นผู้ไปทำเอ็มโอยูที่แสดงการยอมรับแผนที่เจ้าปัญหาเสียเอง ฉะนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องเลิกเอ็มโอยูโดยด่วนที่สุด!

คำถามที่จะต้องถามคือ 1. ไทยจะอ้างเหตุผลอะไรเพื่อยกเลิกเอ็มโอยู 2543 2. การยกเลิกจะทำให้ประเทศไทยได้ และเสียอะไรบ้าง

ตอบคำถามแรก : เอ็มโอยู 2543 ไม่มีส่วนใดที่ระบุว่าคู่สัญญาสามารถบอกเลิกหรือเพิกถอนได้แต่โดยลำพัง ทั้งนี้ อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.1969 ได้กำหนดว่า ในกรณีหนังสือสัญญาไม่ได้ระบุเรื่องการบอกเลิกหรือเพิกถอน ก็จะกระทำไม่ได้ ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมขั้นพื้นฐานของสนธิสัญญาดังกล่าว

ในกรณีนี้ ไทยจะใช้เหตุผลอะไรเพื่อขอยกเลิกเอ็มโอยู การมาค้นพบภายหลังว่าแผนที่ที่ ใช้ปักปันเขตแดนมีปัญหา ย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมขั้นพื้นฐาน

ตอบคำถามที่สอง : หากรัฐบาลอภิสิทธิ์เต้นไปตามแรงกดดันชาตินิยม และตัดสินใจเลิกเอ็มโอยูนี้ สิ่งที่ประเทศไทยจะได้ก็คือ นายกฯที่มีคะแนนนิยมที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็คงชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้นายอภิสิทธิ์ไม่ใจร้อนเหมือนปีที่แล้ว ที่ด่วนบอกเลิกเอ็มโอยูการปักปันพื้นที่ไหล่ทวีป กับการให้ความช่วยเหลือสร้างถนนแก่กัมพูชา

การจะตอบคำถามว่าการยกเลิกเอ็มโอยูจะทำให้ไทยเสียอะไรบ้าง จะต้องกลับไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนที่เจ้าปัญหาชุดนี้เสียก่อน กล่าวคือ แผนที่แสดงพื้นที่ที่มีการปักหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา

แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการ ปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ชุดนี้มีทั้งหมด 11 ตอน (ระวาง) ครอบคลุมเขตแดนทางบกด้านตะวันออกของไทย ตั้งแต่ลาว ลงมาถึงกัมพูชา (ตอนเทือกเขาดงรักหรือบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นหนึ่งใน 11 ตอน)

ฉะนั้น แผนที่ชุดนี้จึงไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักฐานในการปักปันเขตแดน ระหว่าง ไทย-กัมพูชาเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-ลาวด้วย

หากฝ่ายไทยขอยกเลิกเอ็มโอยู 2543 กับกัมพูชา ด้วยเหตุผลว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่ชุดนี้ ก็อาจกระทบต่อการปักปันเขตแดนที่กระทำร่วมกับลาวด้วย เพราะหากไทยไม่ยอมรับสถานะของแผนที่ชุดนี้ในความสัมพันธ์กับ กัมพูชา แต่หันไปบอกกับลาวว่า ไม่เป็นไร ไทยยินดีใช้แผนที่ชุดนี้เพราะมันเป็นหลักฐานที่ทำให้ไทยได้เปรียบกรณีพิพาทบ้านร่มเกล้า… เหตุผลเช่นนี้ก็คงพิลึกดี

สิ่งที่สังคมไทยควรรับทราบไว้ก็คือ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นับแต่ไทยสามารถทำข้อตกลงเพื่อปักปันเขตแดนกับลาวและกัมพูชาได้ กระบวนการปักปันเขตแดนด้านตะวันออกได้ก้าวหน้าไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือข้อมูล กต. ระบุว่าเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่มีความยาวทั้งสิ้น 798 กม. ได้ปักหลักเขตแดนไปแล้ว 603 กม. คือตั้งแต่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ-บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ส่วนที่ยังไม่ได้ปักหลักมีระยะ ทาง 195 กม. ซึ่งก็คือตอนเทือกเขาดงรักที่ตั้งของปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. นั่นเอง

ในส่วนของพรมแดนไทย-ลาว การปักหมุดเขต แดนทางบกสามารถดำเนินไปได้ถึงร้อยละ 96 หรือเท่ากับ 676 กม. จากพื้นที่ทั้งหมด 702 กม. ส่วนที่ไม่ค่อยคืบหน้าก็คือ บริเวณแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (บริเวณบ้านร่มเกล้า) (ดูเว็บ กต. www.mfa.go.th/laos/laos.php )

หากมีการยกเลิกเอ็มโอยู ความพยายามที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันเพื่อยุติ-ป้องกันความขัดแย้งเหนือดินแดนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาย่อมหยุดชะงักลงทันที

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายเพียงแค่นี้อาจยังไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มชาตินิยม ที่มักเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง โง่ ไม่ทำการบ้าน แต่ในกรณีเอ็มโอยู 2543 เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

สิ่งที่กลุ่มชาตินิยมไม่ได้อ้างถึงก็คือ เอ็มโอยู 2543 ยังระบุถึงเอกสารอีกชุดหนึ่ง ที่ต้องใช้ประกอบการสำรวจและปักหลักเขตแดน นั่นก็คืออนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 เอกสารทั้งสองนี้ระบุว่าการปักปันเขตแดนบริเวณเทือกเขาดงรัก ให้ยึดเส้นสันปันน้ำ อันเป็นหลักการที่ไทยยืนยันมาโดยตลอด

ในแง่นี้ เอ็มโอยู 2543 จึงประกอบด้วยเอกสารที่ถ่วงดุลอำนาจในการต่อรองและผลประโยชน์ของคู่เจรจา ทั้งสองฝ่าย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยืนยันให้ใช้แต่เฉพาะเอกสารที่ให้ประโยชน์กับฝ่ายตนเท่านั้น การเจรจาก็ไม่มีทางคืบหน้าไปได้

นอกจากนี้ มันยังหมายความต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องก็เห็นประโยชน์จากแผนที่ชุดนี้เช่นกัน เพราะในจำนวน 11 ตอน มีเฉพาะตอนเทือกเขาดงรักเท่านั้น ที่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ แต่อีก 10 ตอนที่เหลือจะช่วยให้ไทยแก้ปัญหาเรื่องดินแดนกับเพื่อนบ้านได้

ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่จริงหรือ?

เหตุผลที่ฝ่ายชาตินิยมตอกย้ำ และนายกฯอภิสิทธิ์รับมาเป็นจุดยืนของตนด้วยก็คือ ไทยไม่มีภาระผูกพันต่อแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก และไม่เคยยอมรับ เพราะเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่ไม่ได้ลากตามเส้นสันปันน้ำดังที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา, ฝรั่งเศสกระทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว คณะกรรมการปักปันเขตแดนของไทยไม่ได้เข้าร่วมด้วย, ไทยไม่เคยให้สัตยาบันรับรองแผนที่นี้, ไทยถูกฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศใหญ่กว่า กดดันรังแกให้ต้องยอมรับแผนที่ และในขณะนั้นไทยไม่มีความรู้เรื่องการทำแผนที่ จึงรับแผนที่มาโดยไม่รู้ว่าเส้นเขตแดนไม่ตรงกับเส้นสันปันน้ำ (แม้ว่าสยามได้ก่อตั้งกรมแผนที่ ขึ้นมาแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2428 ก็ตาม)

อันที่จริงทีมงานกฎหมายที่นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ใช้เหตุผลเหล่านี้เพื่อต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก และทำให้ไทยแพ้มาแล้ว และศาลโลกก็ได้โต้แย้งเหตุผลไปแล้วด้วย โดยศาลโลกยืนยันว่าไทยมีภาระผูก พันต่อแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก เพราะมีหลักฐานว่าไทยได้เคยตีพิมพ์เผยแพร่ และจัดส่งแผนที่ทั้ง 11 ตอนหลายครั้งหลายครา ซึ่ง “เพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลทางกฎหมายได้” โดยสรุปได้ดังนี้ (ดูคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร)

1. เมื่อสถานทูตไทย ณ กรุงปารีส ได้รับแผนที่ทั้ง 11 ตอน อัครราชทูตไทยได้มีหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศในกรุงเทพฯ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“ในเรื่องที่คณะกรรมการปักปันเขต แดนผสม ตามคำร้องขอของกรรมการฝ่ายสยาม ให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสช่วย จัดทำแผนที่เขตแดน ต่างๆ ขึ้นนั้น บัดนี้ คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

อัครราชทูตไทยคนดังกล่าวยังระบุว่า ตนได้รับแผนที่จำนวน 50 ชุด และจะได้ส่งแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานทูตไทยในยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทยยังได้ขอบคุณอัครราชทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพฯ สำหรับแผนที่เหล่านั้น และได้ทรงขอแผนที่จากฝรั่งเศสอีกอย่างละ 15 ชุดเพื่อส่งไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ของสยาม

ศาลโลกเห็นว่าข้อความในหนังสือดังกล่าวชี้ว่า เจ้าหน้าที่สยามรับรู้ว่าแผนที่ที่ตนได้รับนั้นคือผลงานปักปันเขตแดน ที่รัฐบาลสยามได้ “ร้องขอ” ให้ฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำให้ตนนั่นเอง

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สยามได้ยอมรับแผนที่ โดยมิได้มีการตรวจสอบโดยตนเอง “จึงไม่อาจที่จะอ้างในเวลานี้ได้ว่ามีข้อผิดพลาดอันเป็นการลบล้างความยินยอมที่แท้จริงได้”

2. เหตุการณ์ในยุคหลัง ร.5 ยังชี้ว่าสยามได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ในทางพฤตินัยและไม่ได้สนใจที่จะคัดค้านแผนที่นี้ แม้ว่าจะมีโอกาสหลายครั้งก็ตาม

กล่าวคือ ในช่วงปี พ.ศ.2477-2478 ไทยได้ทำ การสำรวจบริเวณนี้ด้วยตนเอง แล้วพบว่าเส้นสันปันน้ำกับเส้นบนแผนที่ไม่ตรงกัน และฝ่ายไทยได้จัดทำแผนที่ขึ้นมา เอง โดยแสดงว่าปราสาทพระวิหารอยู่ใน เขตไทย แต่ประเทศไทยก็ยังคงใช้แผนที่ที่ จัดทำโดยฝรั่งเศสตลอดมา

และที่น่าประหลาดใจยิ่งขึ้นก็คือ ในปี พ.ศ.2480 ในการลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เพื่อยืนยันเส้นเขตแดนร่วมที่มีอยู่แล้วอีกครั้งหนึ่ง “กรมแผนที่ของสยามก็ยังคงพิมพ์แผนที่แสดงว่าพระวิหารอยู่ในเขตของกัมพูชาอยู่อีก”

ประเทศไทยมีโอกาสขอแก้ไขเส้นเขตแดนที่ผิดพลาดอีกครั้ง หนึ่งในปี พ.ศ.2490 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไทยต้องคืนดินแดนพระตะบอง เสียมราฐและจำปาสักให้แก่ฝรั่งเศส ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการประนอมฝรั่งเศส-ไทยขึ้น โดยภาระหน้าที่ประการหนึ่งคือตรวจแก้ไขเส้นเขตแดนซึ่งไทยอาจยกขึ้นมา ซึ่งไทยได้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับ เส้นเขตแดนในหลายบริเวณด้วยกัน แต่กลับไม่เคยร้องเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเลย แต่กลับยื่นแผนที่ฉบับหนึ่งต่อคณะกรรมการซึ่งแสดงว่าพระวิหารอยู่ในกัมพูชา

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการปฏิบัติหลายครั้งหลายหนของฝ่ายไทย ที่แสดงการยอมรับแผนที่ตอนเทือกเขาดงรัก ศาลโลกจึงมีข้อวินิจฉัยว่า “ประเทศไทยได้ยอมรับเส้นเขตแดนตรงจุดนี้ดังที่ลากไว้บนแผนที่โดยไม่คำนึงว่าจะตรงกันกับเส้นสันปันน้ำหรือไม่”

ถึงแม้ว่าศาลโลกจะไม่ได้ตัดสินให้ตามคำขอของกัมพูชาที่ว่าแผนที่ตอนเทือกเขาดงรักมีสถานะเท่ากับสนธิสัญญา และเส้นเขตแดนที่ปรากฏในแผนที่เป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา แต่ไทยก็ต้องตระหนักว่าศาลโลกมีความเห็นว่า

“ประเทศไทยใน ค.ศ.1908-1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยมีแต่ยืนยันและชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้ รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน”

ไทยต้องตระหนักว่ารัฐบาลกัมพูชามีสิทธิร้องขอให้ศาลโลกตีความ คำพิพากษาปี 2505 ได้โดยลำพัง เพื่อให้ศาลชี้ขาดว่าเส้นเขตแดนในบริเวณพิพาทคือเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่เจ้าปัญหาหรือไม่

ผู้เขียนเชื่อว่า หากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเลวร้ายลงเรื่อยๆ กัมพูชาจะเลือกใช้หนทางนี้เพื่อยุติปัญหาที่ยืดเยื้อมานานเสียที

ปัญหาคือ หากศาลชี้ขาดให้เป็นคุณกับฝ่าย กัมพูชา สังคมไทยจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้อย่างไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. หรือใครบ้างจะต้องกลายเป็นแพะรับบาป ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเลวร้ายลงไปอีกเพียงใด ไม่มีใครรับประกันได้

บางทีการกลับไปอ่านเอกสารหลักฐานเก่าบ้าง อาจช่วยทำให้ผู้นำไทยมีสติมากขึ้น ไม่ต้องวนเวียนกับคำอธิบายเก่าๆ ที่เคยถูกตีตกไปแล้ว ประการสำคัญ อาจทำให้เราพยายามคิดหาหนทางใหม่ๆ ในการแก้ไขข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องอิงกับกระแสชาตินิยมมากจนเกินไป



Leave a comment