คนครับ.. ไม่ใช่ควาย

คนครับ.. ไม่ใช่ควาย
ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ปีที่ 11 ฉบับที่ 2850 ประจำวันพุธที่ 28 กรกฏาคม 2010
โดย :  ลอย ลมบน

สังคมไทยที่หลอกตัวเองมาตลอดว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดูเหมือนว่ากำลังพยายามจะหลอกตัวเองกันต่อไป ทั้งที่องคาพยพส่วนใหญ่ของประเทศนั้นเริ่มรับรู้แล้วว่า สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่นั้นมันเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม เข้าขั้นลวงโลกเสียด้วยซ้ำไป

ทุกสิ่งอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ว่าจะในขณะนี้หรือในอดีตที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเรายังห่างไกลกับคำว่าประชาธิปไตยอยู่มากโข และกำลังจะห่างไกลมากขึ้นไปเรื่อยๆ หากว่ายังไม่ “หยุด” และหันกลับมาเดินในทิศทางที่ถูกต้อง

ข่าวคราวการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ

คนวงในบอกว่าเดิมทีแนวคิดการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 จะตั้งมาเพื่อเป็นหน่วยงานสกัดกั้นการขนส่งและลำเลียงยาเสพติดตามแนวตะเข็บชายแดนภาคเหนือ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าปริมาณการลักลอบขนยาเสพติดลดลง แต่ภารกิจของกองพลทหารราบที่ 7 ที่จะตั้งขึ้นจึงต้องเปลี่ยนไป

ภารกิจใหม่ที่ต้องทำคือ กลุ่มอำนาจต้องการให้กำลังทหารคอยกำราบและกดหัวคนเสื้อแดงที่มีอยู่มากในภาคเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อไม่ให้มีปากเสียงหรือว่าพัฒนาจนเป็นกลุ่มที่มีพลังที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในบ้านเมืองได้

นี่ไม่ได้ยกเมฆหรือนั่งเทียนนึกเอาเอง แต่คนวงในเขาบอกมาอย่างนั้น

นับว่าน่าเสียดายที่เราหลอกตัวเองว่าเป็นสังคมประชาธิปไตย แต่กลับไม่พยายามเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนที่มีความคิดต่าง ทั้งที่การคิดต่างเป็นเสน่ห์อันชวนหลงใหล และเป็นหัวใจหลักของคำว่า “ประชาธิปไตย”

หากย้อนไปดูตั้งแต่หลังการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเทศของเราต้องทุ่มงบประมาณผ่านกองทัพไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรเพื่อสลายมวลชนที่มีความศรัทธาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ภายหลังพัฒนามาเป็นขบวนการคนเสื้อแดง ที่ก้าวพ้นจากเรื่องราวของอดีตนายกฯ มาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ความเป็นธรรม และสู้เพื่อประชาธิปไตย

ผู้เขียนไม่รู้เพราะว่าไม่ได้เป็นคนเบิกจ่ายงบประมาณ แต่หากดีดลูกคิดคำนวณกันคร่าวๆ งานนี้น่าจะหมดไปหลายหมื่นล้านบาทแล้ว และจะต้องหมดงบไปกับเรื่องนี้อีกไม่รู้เท่าไร หากว่าผู้คุมอำนาจยังไม่ยอมเปลี่ยนแนวความคิดของตัวเอง ยังไม่เลิกมองประชาชนที่เห็นต่างเป็นศัตรู

นับว่าน่าเสียดายที่จะมาหมดงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็มาจากกระเป๋าของคนที่เห็นต่างจากกลุ่มอำนาจ เพราะต่อให้ต้องใช้งบประมาณอีกเป็นแสนล้านหรือล้านล้านบาท ก็ไม่อาจทำให้คนทั้งประเทศคิดเหมือนกันหมดได้ เพราะแม้แต่ควายที่กินหญ้ามันก็ยังมีความคิดเป็นของมันเองอยู่บ้าง

จะมีประโยชน์อะไรกับการสร้างสังคมที่มีแต่พวก “ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” เพราะหากทั้งประเทศมีแต่คนพวกนี้น่าจะพากันฉิบหายมากกว่าพากันไปพบความเจริญ



ยุคแดกด่วน!

ยุคแดกด่วน!
จาก หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ปีที่ 11 ฉบับที่ 2850 ประจำวันพุธที่ 28 กรกฏาคม 2553
โดย นายหัวดี

จะฉงนสงสัยหรือฉงฉัยว่า ทำไม “เจ๊เป็ด” หมดเวลากลับไปเลี้ยงหลานแล้วยังโผล่มาทำงานอีก

ไม่มีคำตอบ เพราะมีแต่เรื่องคดีความของ “เจ๊เป็ด” ที่วันนี้ไม่รู้ว่าเงียบหายไปไหน แต่วันใดที่ “เจ๊” ต้องจากไป ก็เชื่อว่าคดีความต่างๆที่เคยมีอำนาจนั่งทับไว้นั้นจะออกมาให้เห็นกันเป็น ระลอก เพราะสิ่งที่ “เจ๊” ทำกับผู้คนทั้งในและนอกรั้วนั้นมีมากมาย

เกริ่นไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้บรรดา “ขี้ข้าประชาชน” ได้ตระหนักว่าเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญนั้น “ไม่จีรัง”

ดังนั้น เมื่อมีอำนาจก็อย่าเหิมเกริมใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม หรือกอบโกยแต่ผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง เพราะเมื่อหมดอำนาจ แม้จะใหญ่โตแค่ไหน หากไม่มี “ความดี” เป็นเกราะคุ้มครองก็ไม่ต่างอะไรกับ “เสือเอ๋ง” ที่จะถูก “ชำระแค้น” หรือไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” ที่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

เช่นเดียวกับข่าวอื้อฉาวในกองทัพขณะนี้ ทั้งที่เรื่องฉาวเดิมยังไม่ได้สะสาง แต่กลับโผล่เรื่องฉาวสดๆใหม่ๆขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการขออนุมัติตั้งกองพลใหม่ หรือการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆในกองทัพ ซึ่งเป็นยุคที่กองทัพต้องรีบกอบโกย เพราะมีบุญคุณที่คุ้มหัว “สัตว์การเมือง” ไม่ให้ตกนรกหมกไหม้เพราะ “กรรม”

จึงเป็นยุคที่กองทัพจะทำอะไร ขออะไร ถ้าไม่มีใครเอา “คานมาสอด” หมูก็ถูกชำแหละเป็นหมูกรอบผัดกะเพราไปเรียบร้อยแล้ว

“สัตว์การเมือง” ยุคนี้จึงไม่ต่างอะไรกับ “ลิง 3 ตัว” ที่ต้องปิดปาก ปิดตา และปิดหู เพื่อไม่ให้ถูกเตะออกจากอำนาจ “ใครใคร่โกง-โกง ใครใคร่ฆ่า-ฆ่า”

จึงเป็นยุค “แดกด่วน” ที่ไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย เพราะ “ย.ยักษ์” หล่นหายไปชั่วคราว

นอกจาก “สัตว์การเมือง” ที่หิวโซกินไม่เลือกตั้งแต่ปลากระป๋องยันถนนแล้ว รั้วของประชาชนยังสนุกสนานกับการถลุงภาษีประชาชน ตั้งแต่ “ไม้ล้างป่าช้า” ยัน “เรือเหาะ” ที่ดัน “ไม่ยอมเหาะ” หรือเหาะเหมือน “ลูกโป่งสวรรค์”

อย่าง “จอห์น วิญญู” ดีเจเจาะข่าวตื้นสุดฮอต ที่มาพร้อมคลิปสุดฮาแต่เจ็บในเว็บไซต์ “I-Here TV” กระแหนะกระแหนว่า เอาไปให้ร้านปะยางหน้าปากซอยซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง?

แถมการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครนล็อตที่ 2 ไม่ใช่แค่เรื่องราคาและเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ตามสเปกที่ระบุเท่านั้น แต่รถที่สั่งซื้อล็อตแรกยังไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนดอีก

ใครผิดใครถูก ใครโกงใครได้ประโยชน์ ก็คงเป็นแค่ข่าวแล้วเงียบหายไปเหมือน “ไม้ล้างป่าช้า” และ “เรือเหาะมหัศจรรย์”

ยังไม่รวมเรื่องฉาวใน “ศูนย์อับเฉา” กับ “ดีแต่ไอ” ที่ไม่รู้ว่าใครตีแสกหน้าอม “เพชร” ของกลางไป เรื่องจะเงียบหายไปพร้อมๆกับ “ผู้นำกองทัพ” คนใหม่ หรือตะแบงไปให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ก็คงไม่มีใครสนใจ

เพราะวันนี้ก็มี “ผู้ก่อการร้าย” ครึ่งค่อนประเทศแล้ว!




ฤดูกาลโกงแหลกแดกสะบัด!

ฤดูกาลโกงแหลกแดกสะบัด!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 269 วันที่ 24-30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 7
คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง
โดย : คน กรุงเก่า

ธรรมชาติของการเมืองเมื่อเวลาที่เกิดเรื่อง ยุ่งๆเป็นยุงตีกัน และเวลาที่เริ่มนับถอยหลังการอยู่ในอำนาจของรัฐบาล สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างมากคือการทุจริตคอร์รัปชัน หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า “โกงแหลกแดกสะบัด!”

เมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี นโยบายข้อหนึ่งถือเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ประกาศต่อสาธารณชนและแถลงเจตนารมณ์ต่อรัฐสภาคือ การกำจัดทุจริตคอร์รัปชันให้ลดน้อยลง ทั้งการโกงกินในหมู่นักการเมือง การโกงกินในเหล่าข้าราชการ และการโกงกินในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

นายอภิสิทธิ์ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็น 9 ข้อที่สวย เริด ดูดี หากยึดถือปฏิบัติได้จริงเพียงไม่กี่ข้อ ประเทศไทยก็จะเปลี่ยนโฉมไปค่อนข้างมาก

แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็คงรู้ๆและเห็นๆกันอยู่

การโกงกินเป็นเรื่องที่สัมผัสได้ในรัฐบาลชุดนี้ และเป็นการโกงกินที่น่าเกลียดชัดเจนที่สุดในหลายกรณี เพราะคนทำได้ใจเนื่องจากเชื่อว่าภาพลักษณ์คุณชายสะอาดของนายอภิสิทธิ์จะช่วยปกปิดความเน่าเหม็นได้

ที่สำคัญการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องอาศัยตัวช่วย อาศัยเสียงจากพรรคอื่นเป็นนั่งร้านค้ำยันเก้าอี้ และอาศัยจมูกคนอื่นเพื่อให้ได้มีลมหายใจอยู่ในทำเนียบรัฐบาลต่อไป ก็เป็นจุดด้อยที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในหลายเรื่องเพื่อแลกกับการได้นั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไป

การทุจริตโกงกินที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในรัฐบาลชุดปัจจุบันทำให้ใครหลายต่อหลายคนต่างพากันหมดความอดทน จึงมีรายการแฉกันออกมาเป็นระยะๆ

นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ประเทศไทยในปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการโกงกินสูงถึงระดับ 30-40% ถือว่ามากขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับในอดีตที่อยู่ในระดับ 3-5% เท่านั้น และยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกเมื่อคาดการณ์กันว่าในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าตัวเลขการโกงกินจะพุ่งไปอยู่ในระดับ 50%

มีการยกตัวอย่างว่าหากงบประมาณแผ่นดินมีปีละ 300,000-400,000 บาท เงิน 100,000 บาท จะถูกเบียดบังไปเข้ากระเป๋าคนโกง แต่ของจริงงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปีมากกว่านั้นหลายเท่านัก

งบประมาณแผ่นดินปี 2554 ที่กำลังพิจารณากันอยู่ในสภา รัฐบาลเสนอตัวเลขในวงเงิน 2.07 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ (เงินกู้) 420,000 ล้านบาท รายจ่ายประจำ 1.66 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุน 340,000 ล้านบาท

หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ กระทรวงศึกษาธิการ, งบกลาง, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงการคลัง และกระทรวงกลาโหม

ตัวงบประมาณรายการเพื่อการลงทุน 3.4 ล้านบาท นี่แหละที่จะมีคนเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ชักเปอร์เซ็นต์จากโครงการต่างๆเข้ากระเป๋า

ถ้าเปรียบงบประมาณแผ่นดินเป็นไอศกรีมหนึ่งแท่ง ครึ่งแท่งจะถูกคนโกงอมและกิน เหลืออีกครึ่งแท่งสำหรับประชาชนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการทำโครงการต่างๆ

ลองมาคิดทบทวนกันเล่นๆ ว่าตั้งแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารประเทศมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตโกงกินอะไรบ้าง เท่าที่นึกได้ก็มี

1. ทุจริตโครงการจัดซื้อปลากระป๋องเน่า ข้าวสารหมดอายุ เอาไปแจกจ่ายช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้กว่า 2,000 ถุง ที่มีชื่อของนักการเมือง “อ-ช” เข้าไปเกี่ยวข้อง

2. ทุจริตจัดซื้อหน้ากากอนามัยแจกจ่ายในช่วงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ระบาด ทุจริตตั้งงบจัดซื้อพัดลมยูวีฆ่าเชื้อที่แพงกว่าราคาท้องตลาดกว่า 10 เท่า และตั้งโครงการซื้ออุปกรณ์การแพทย์ราคาแพงอีกหลายรายการตามโครงการไทยเข้ม แข็งของกระทรวงสาธารณสุข

3. ทุจริตงบประมาณชุมชนพอเพียง จนถูกเปลี่ยนชื่อว่าเป็นชุมชนแพงเพียบ เพราะซื้อของแพงกว่าราคาตลาดหลายเท่า เช่น ตู้น้ำหยอดเหรียญที่ราคาท้องตลาดไม่กี่หมื่นบาทแต่จัดซื้อกันในราคากว่า 100,000-200,000 บาท

4. ทุจริตการแต่งตั้งโยกย้ายด้วยการซื้อขายเก้าอี้ ทั้งเก้าอี้ผู้ว่าราชการจังหวัด เก้าอี้นายอำเภอ ที่มีการตั้งราคากันไว้ตามจังหวัดตัวละ 10-15-20 ล้านบาท หรือทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ทุจริตจัดซื้อคอมพิวเตอร์ในกระทรวงมหาดไทย

5. ทุจริตแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่มีข้อสงสัยว่ามีนักการเมืองใหญ่เข้าไปพัวพัน โดยซื้อขายเก้าอี้กันในราคา 2 ล้านบาท 5 ล้านบาท 7 ล้านบาท ไปจนถึง 10 ล้านบาท

นี่เป็นเพียงการทุจริตเท่าที่นึกได้และเท่าที่เป็นข่าวปรากฏตามสื่อมวลชน ยังไม่รวมที่นึกไม่ได้และที่ไม่เป็นข่าวอีกมาก โดยเฉพาะกลิ่นตุๆในการประมูลโครงการของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมหลายโครงการที่บริษัทผู้ใกล้ชิดนักการเมืองใหญ่มักได้รับงาน หรือการจัดซื้ออาวุธของกองทัพที่มีปัญหาทั้งการซื้อแพง ซื้อแล้วใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า เช่น จีที 200 เรือเหาะตรวจการณ์ รถหุ้มเกราะยูเครน เครื่องบินกริพเพน กระทั่งเฮลิคอปเตอร์

หลายโครงการที่อื้อฉาวนายอภิสิทธิ์ทำท่าทางขึงขังเอาจริง ด้วยการตั้งกรรมการตรวจสอบ และทุกโครงการเมื่อผลสอบออกมาแล้วก็เงียบหายไป ไม่มีการดำเนินการใดๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าต้องการปราบโกงจริงอย่างที่เคยสร้างภาพเอาไว้

จากนี้ไปเมื่อเวลาของรัฐบาลเหลือน้อย การโกงกินจะยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณชนิดมือใครยาวสาวได้สาวเอา เพราะแต่ละพรรคต้องหาทุนเตรียมไว้ใช้เลือกตั้ง


มี พ.ร.ก.เพื่อระเบิด

มี พ.ร.ก.เพื่อระเบิด
ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
credit to : Sahanut Maneekul

มีคนเจ็บและคนตายในใจกลางเมืองหลวงอีกแล้วจากเหตุระเบิดที่ราชดำริ เป็นระเบิดสร้างสถานการณ์ทางการเมืองแน่นอน เพียงแต่เป็นฝีมือฝ่ายไหนยังต้องใช้เวลาในการสืบสวนและการหาข่าว ระหว่างนี้ก็คงได้ฟังการโทษกันไปโทษกันมา ระหว่างรัฐบาลและฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ วิเคราะห์โยงใยกันวุ่นวาย

ชาวบ้านที่อยู่ระหว่างความขัดแย้ง รับเคราะห์กันไป!

รัฐบาลอาจจะดูเสียหายด้วยซ้ำ เพราะอยู่ในช่วงถูกกดดันให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งกระแสสังคม ทั้งคนรักประชาธิปไตย กระทั่งคณะกรรมการปฏิรูปที่รัฐบาลตั้งมาเองยังออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกพ.ร.ก.นี้ เมื่อนายกฯ ยังเสียงกร้าวว่า จำเป็นต้องใช้ ระเบิดลูกนี้ก็จะกลายเป็นเหตุผลรองรับให้พ.ร.ก. ยังจำเป็นต่อไป!!

เพราะฉะนั้นใครได้ประโยชน์จากระเบิดที่คร่าชีวิตเลือดเนื้อประชาชนลูกนี้ เห็นๆ กันอยู่ ผู้ที่ได้ประโยชน์นั้นพอมองออก แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกันด้วย จะรีบร้อนสรุปว่าคือผู้วางระเบิดโดยที่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนคงไม่ดีนัก แต่พูดในทางกลับกัน ขณะนี้ก็มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินใช้อยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่สามารถป้องกันการวางระเบิดได้ มิหนำซ้ำสามารถชี้ได้ด้วยซ้ำว่า เพราะพ.ร.ก.นี่แหละ คือตัวยั่วยุ!

สมมติฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทำ ก็เพื่อท้าทายเย้ยหยันพ.ร.ก. สมมติว่าฝ่ายรัฐบาลทำ ก็เพื่อความชอบธรรมในการคงพ.ร.ก. แล้วจะมีพ.ร.ก.ใช้ไปเพื่ออะไร!??

พูดให้ชัดเจนไปกว่านั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินคือเครื่องสะท้อนสถานการณ์ไม่ปกติ ความขัดแย้งยังรุนแรงอยู่ ตราบใดที่รัฐบาลไม่เลือกใช้วิธีการเมืองมาแก้ปัญหาการเมือง ถ้ายังเลือกการทหารไปจัดการฝ่ายเสื้อแดง เลือกการใช้อำนาจพิเศษไปไล่ล่า ไปคุมขังไปกำจัดสิทธิคนที่คิดต่าง มันก็เข้าตำรา ยิ่งกดยิ่งต้าน

ถ้ารัฐบาลยังไม่แสดงความรับผิดชอบต่อ 90 ศพ และยังไม่ยอมหาทางออกในสถานการณ์อึมครึมขณะนี้ด้วยวิถีการเมือง ความรุนแรงยังคงดำรงอยู่ต่อไป

ต่อให้ใช้พ.ร.ก.อำนาจพิเศษสักสิบฉบับ ต่อให้ทหารกองทัพเอาปืนมาจี้ฝ่ายตรงข้าม ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่แล้ว ว่าจุดจบอเนจอนาถทั้งสิ้น!


2 มาตรฐาน กรมสอบสวนคดีวิเศษ!

2 มาตรฐาน กรมสอบสวนคดีวิเศษ!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 269 วันที่ 24-30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน

ครบ 3 เดือนหลังเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่จบลงด้วยชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ 90 ศพ บาดเจ็บและพิการอีกเกือบ 2,000 คน และไม่รู้ว่าถูกจับขังลืมอีกกี่ร้อยคน ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังอ้างความจำ เป็นในการคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป

แม้จะมีการทยอยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 ครั้งใน 8 จังหวัดก็ตาม แต่ก็ไม่ต่างกับราวคุณหมอเลี้ยงไข้ หรือเป็นเพียงการหาเสียงและพยายามกลบเกลื่อนซากศพและกองเลือด ซึ่งวันนี้นายอภิสิทธิ์ยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบและไม่มีคำตอบให้สังคม กับการสังหารโหดอย่างเลือดเย็นที่เกิดขึ้น แต่กลับกล่าวหาและไล่ล่าคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามต่อไปด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน”

7 เหตุผลคง พ.ร.ก.ติดหนวด

ในขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อ้าง 7 เหตุผลในเอกสารลับที่จำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปคือ 1. ยังมีการชุมนุมทางการเมืองอยู่ ถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะนัดชุมนุมโดยทันที 2. หลายพื้นที่ใช้ช่องทางการสื่อสารปลุกระดมทั้งวิทยุชุมชนและโทรทัศน์ดาวเทียม 3. ยังมีการเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวาย 4. มีความเคลื่อนไหวนอกประเทศ 5. มีการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับเยาวชน 6. มีการยุยงสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการและประชาชน และ 7. มีการข่มขู่ที่จะก่อวินาศกรรมและทำร้ายบุคคลสำคัญระดับวีไอพี

แต่มีรายงานว่านายอภิสิทธิ์ได้ให้รัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำชับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติให้บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ไม่ให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายและตอบคำถามสังคม เพราะมีข่าวมาว่าแม้แต่ตำรวจจราจรบางคนยังอ้างคำสั่งศอฉ. จับประชาชนที่ทำผิดกฎหมาย

ที่นี่มีคนตาย!

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่คนเสื้อแดงก็ยังคงออกมาต่อสู้และเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสันติวิธี แม้ว่าจะถูกเจ้าหน้าที่พยายามขัดขวางหรือจับกุมก็ตาม เช่น นักเรียนและนักศึกษาที่เชียงรายจำนวน 3 คน ถือป้าย “ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์” ยังถูกหมายเรียกในข้อหา “ชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

เช่นเดียวกับนายนที สรวารี ผู้ร่วมเคลื่อนไหวกิจกรรม “วันอาทิตย์สีแดง” ที่ราชประสงค์ ถูกจับกุมขณะตะโกนว่า “เราเห็นคนตาย ที่นี่มีคนตาย เพื่อนเราถูกฆ่า เอาชีวิตเพื่อนเราคืนมาแล้วพวกเราจะปรองดองด้วย” ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

แต่ที่น่าอนาถที่สุดคือป้ายแยกราชประสงค์ที่คนเสื้อแดงและภาคประชาชนผูกผ้าแดง และมาร่วมกันแสดงออกทางการเมืองผ่านกิจกรรมต่างๆเท่าที่จะทำได้ เพื่อรำลึกและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยใช้สโลแกนว่า “ณ จุดนี้มีคนตาย” และ “ที่นี่มีคนตาย” ก็ถูกปลดออกไป โดยอ้างว่าปลดออกไปเพื่อทำความสะอาดจากสีที่ถูกพ่น ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลา จนเจ้าหน้าที่ต้องเอาป้ายมาแสดงต่อสื่อมวลชนว่าถูกพ่นสีจริง แต่ก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อว่าถูกพ่นก่อนถอดป้าย จนในวันต่อมาเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำกลับมาติดตั้งกลับคืนที่เดิม

ข่มขืน-ทำร้าย-ข่มขู่

ขณะที่คนเสื้อแดงอีกจำนวนมากที่ถูกข่มขู่ กลั่นแกล้ง และทำร้าย อย่าง น.ส.จรรยาภรณ์ แก้วนอก อายุ 39 ปี ที่มาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกข่มขืนระหว่างมาชุมนุมตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม และได้แจ้งความต่อ สน.ปทุมวันแล้ว หลังจากนั้นยังถูกทำร้ายร่างกายจนกระดูกข้อต่อแก้มขวาแตกจากชายนิรนามบริเวณ สถานีรถไฟหัวลำโพงเมื่อเช้าวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งมีหลักฐานการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลกลาง แต่ผ่านมากว่า 2 เดือนแล้วคดีก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

เช่นเดียวกับนางศิณีนาถ ชมพูษาเพศ อายุ 29 ปี ถูกยิงที่หัวเข่าทะลุเจ็บสาหัสและถูกจับข้อหาละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะอยู่ในเหตุการณ์เผาศาลากลาง นอกจากนี้กลุ่มแม่ยกพ่อยก “อภิสิทธิ์” ยังเขียนจดหมาย ข่มขู่ ด่าทอ และสาปแช่งนางหอม ศิลปะ วัย 82 ปี ซึ่งดูแลลูกของนางศิณีนาถ 3 คนในบ้านผุพังอย่างหยาบคาย และเหยียดหยามว่าเป็นครอบครัวคนเสื้อแดง เป็นคนอีสานที่ทั้งใจง่าย โง่ ขายตัว ยอมเป็นขี้ข้าทักษิณ และขอให้คนทั้งตระกูลตายโหง ซึ่งไม่ได้แตกต่างกับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ที่เล่นงานนายวิทวัส ท้าวคำลือ หรือ “มาร์ค V11” จนต้องออกจากรายการเรียลิตี้ “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” เพียงเพราะไปโพสต์ในเฟซบุ๊คด่านายอภิสิทธิ์ไม่รับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมจนมีคนตาย แม้จะใช้ถ้อยคำข้อความที่ไม่สุภาพเพราะใช้ภาษาแบบเด็กวัยรุ่น แต่หากแยกคำหยาบคายออกแล้วจะพบว่าเนื้อหาที่โพสต์ก็สะท้อนความจริงได้อย่างน่าขบคิด

ตุลาการอัมพาต!

แต่เหตุการณ์สังหารโหดจากผ่านฟ้าฯ ถึงราชประสงค์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถลบความทรงจำของคนเสื้อแดงและประชาชนที่รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยได้ การออกมาต่อสู้อย่างสันติวิธีและการแสดงออกผ่านกิจกรรมต่างๆเท่าที่ทำได้ จึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำได้ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งกลายเป็นอำนาจครอบจักรวาลที่เจ้าหน้าที่รัฐทั้งตำรวจและทหารนำมาข่มขู่และจับกุมประชาชนทั่วประเทศ ไม่ต่างกับกฎหมายภายใต้การปฏิวัติรัฐประหารของระบอบเผด็จการทหาร

เพราะวันนี้มีแต่ “ผู้ถูกกระทำ” 90 ศพกลายเป็นวิญญาณที่ไม่รู้จะเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากใคร เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ปราศจาก “ผู้กระทำ” ส่วนผู้บาดเจ็บก็ไม่มีเสียงที่จะร้องออกมาให้สังคมได้ยิน เพราะสื่อของคนเสื้อแดงถูกปิดตายทั้งหมด ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ผ่านดาวเทียม และวิทยุชุมชน ทั้งยังถูกตามข่มขู่คุกคามอีก

ส่วนคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขัง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯซึ่งเข้าไปตรวจสอบในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก็พบว่ามีการปฏิบัติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยผู้ถูกคุมตัวไม่มีทนายให้คำปรึกษา ไม่สามารถติดต่อญาติและครอบครัว และมีปัญหาเรื่องการรักษาพยาบาล

แม้แต่กระบวนการยุติธรรมปรกติก็ยังเป็นอัมพาตชั่วขณะ จนศาลเองก็ถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่เข้ามาคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แม้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีอำนาจมากมายอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เตะออกไปทั้งหมด เพราะเจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 17 ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน??

กระบวนการยุติธรรมไทยวันนี้จึงเหมือนคำ 2 คำที่มีความหมายแยกออกจากกัน คือคำว่า “ยุติ” กับคำว่า “ธรรม” คือ “เลิกแล้วซึ่งความเป็นธรรม” ในสังคมขณะนี้นั่นเอง

ดีเอสไอไล่บี้เสื้อแดง

โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่เป็นกรรมการ ศอฉ. และรับผิดชอบคดีคนเสื้อแดงและนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมือน “ชงเอง กินเอง” เพราะทั้งกล่าวหาและสอบสวนเอง ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของดีเอสไอได้ว่ามีความยุติธรรมและตรงไปตรงมาหรือไม่

ตั้งแต่เหตุการณ์ 10 เมษายน ยิ่งเห็นบทบาทและตัวตนของนายธาริตได้ชัดเจนในการรุกไล่กล่าวหาและไล่ล่าคนเสื้อแดง ในข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายและสะสมอาวุธร้ายแรง หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยข้อหา “ล้มสถาบัน” ในขณะที่มีข้อกังขา เรื่องหลักฐานและอาวุธต่างๆที่ดีเอสไอนำมาแสดงนั้นไม่ได้ระบุชัดเจนว่านำมาจากไหน และได้มาอย่างไร เช่นเดียวกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่อยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรมก็มีคำถามเรื่องการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตที่ไม่มีการเปิดเผยให้ญาติผู้เสียชีวิตและประชาชนรับรู้เลย

อย่างคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท ซึ่งมีผู้เข้าข่ายกระทำผิด 27 คน ดีเอสไอก็อ้างหลักฐานจากแผนผังของ ศอฉ. และยืนยันว่ามีหลักฐานการกระทำเป็นเครือข่ายตามสื่อออฟไลน์ออนไลน์ มีทั้งท่อน้ำเลี้ยง แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากคดีผู้ก่อการร้ายที่มีแต่คำแถลงกว้างๆ โดยไม่มีหลักฐานชัดเจนมาแสดง แต่ ศอฉ. และดีเอสไอก็ใช้อำนาจตรวจสอบและหยุดการทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคลเกือบ 200 ราย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาหลายคนได้แจ้งความกลับและเรียกร้องขอความเป็นธรรม ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีผลใดๆ เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ความคุ้มครองการทำงานของเจ้าหน้าที่ แม้แต่การฆ่าและทำร้ายประชาชนก็ตาม

ฮากลิ้งคดี “ไอ้หรั่ง”

แต่ที่เป็นข่าวฮือฮาล่าสุดคงหนีไม่พ้นกรณีนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 25 ปี ที่ดีเอสไอระบุว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ถูกดีเอสไอระบุว่าก่อเหตุร้ายแรงในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงถึง 8 คดี รวมทั้งการยิงเอ็ม 79 เมื่อวันที่ 10 เมษายน จน พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารบูรพาพยัคฆ์ เสียชีวิต ซึ่งนายสุรชัยได้รับการฝึกจาก เสธ.แดง และยังพาไปฝึกที่ไต้หวันอีกด้วย

แต่ดีเอสไอก็หน้าแตกเมื่อทางไต้หวันยืนยันว่าตรวจสอบชัดเจนแล้วว่านายสุรชัยไม่เคยเดินทางไปไต้หวัน ขณะที่นายธาริตก็กลับคำให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าเดินทางไปจีนแทน เช่นเดียวกับการอ้างคำให้การของนายสุรชัยที่ยอมรับเรื่องก่อเหตุร้าย แต่ต่อมาดีเอสไอก็พลิกคำพูดว่านายสุรชัยยังไม่ยอมให้การ

โดยดีเอสไอกลับยื่นข้อเสนอจะดูแลภรรยาและแม่นายสุรชัยหากยอมเป็นพยานในคดีถูกล่อซื้ออาวุธสงคราม ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอนำอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนมากมายมาแสดง และยืนยันว่าเป็นหลักฐานที่ล่อซื้อจากนายสุรชัยด้วยเงินเพียง 60,000 บาทเท่านั้น จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือที่นายสุรชัยที่หนีข้ามไปถึงเขมรแต่ สามารถกลับมาขายอาวุธมากมายได้ และขายถูกมากเพียง 60,000 บาท นอกจากราคาถูกมากแล้วยังน่าสงสัยอีกว่าขนมาได้อย่างไรทั้งจำนวนและน้ำหนักมากขนาดนั้น? เหมือนกรณีนำอาวุธสงครามมากมายมาแสดงหลังปราบปรามคนเสื้อแดงว่ายึดได้จากที่ชุมนุม โดยไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดเลยว่ายึดได้จากที่ไหนและเมื่อใด ขณะที่ผู้สื่อข่าวก็ไม่เคยรู้เห็นเลย ทั้งที่เกาะติดในพื้นที่ชุมนุมแทบตลอด 24 ชั่วโมง

ล้มคดีไซฟ่อนเงินทีพีไอ

แต่ดีเอสไอกลับทำให้คนทั้งประเทศต้องอึ้งไปตามๆกัน ที่จู่ๆก็มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ในความ ผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ข้อหายักยอกเงินหรือไซฟ่อนเงินบริจาค 258 ล้านบาทให้กับคนในพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างเหตุผลว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ เนื่องจากการสอบสวนของทีมสอบสวนชุดก่อนหน้านั้นที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นหัวหน้า ใช้หลักฐานจากคำบอกเล่าโดยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่สามารถเอาผิดได้

ที่คดีนี้น่าสนใจเพราะเกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะยุบพรรคตามความเห็น ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือไม่ โดยคดีนี้ดีเอสไอรับมาเป็นคดีพิเศษเมื่อกลางปี 2551 และเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ก็เคยออกมาตำหนิดีเอสไอ ที่ส่งหนังสือชี้แจงมาให้ว่าไม่ได้มีอะไรชัดเจนเลยว่าใครทำผิดอย่างไร รวมทั้งการตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารทีพีไอฯ เกี่ยวกับการยักยอกเงิน

นายธาริตจึงถูกวิจารณ์ว่าเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังจะถูกฝังลงหลุม เพราะความเห็นไม่สั่งฟ้องทีพีไอฯ รวมไปถึงเรื่องการทำนิติกรรมอำพรางจ้างบริษัท แมสไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ทำสื่อโฆษณา ที่กำลังอยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญด้วย แม้ กกต. และอัยการจะออกมาชี้แจงว่าไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม ทั้งข้อกล่าวหาก็มีข้อมูลหลักฐานหนักแน่นพอที่จะชี้ให้เห็นความผิดจนนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้

แต่ไม่ว่านายธาริตจะอธิบายชี้แจงอย่างไรคงหนีไม่พ้นข้อครหาเรื่อง “เส้นใหญ่” และถูกมองว่ารับใช้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะนี้ก็เร่งทำคดีก่อการร้ายและคดีล้มสถาบันอย่างหามรุ่งหามค่ำ ในขณะที่สังคมตั้งคำถามว่า ทำไมดีเอสไอต้องมีคำสั่งไม่สั่งฟ้องผู้บริหารทีพีไอฯในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเช่นนี้

กรมสอบสวนคดีวิเศษ

บทบาทและพฤติกรรมของดีเอสไอขณะนี้จึงถูกมองและมีการตั้งคำถาม ซึ่งมีหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวน ป้องกันปราบปรามและควบคุมอาชญากรรมพิเศษหรือคดีพิเศษนั้น มีอำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาก มาย ไม่ว่าจะกล่าวหา ใส่ร้าย และจับกุมใครก็ได้ โดยไม่มีการตั้งข้อหาหรือหลักฐานเหมือนกระบวนการยุติธรรมปรกติ

“กรมสอบสวนคดีพิเศษ” จึงน่าจะเรียกว่า “กรมสอบสวนคดีวิเศษ” มากกว่า เหมือนนายกรัฐมนตรีที่ขณะนี้คือ “ผู้วิเศษ” ทั้งที่เป็นผู้สั่งการให้ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” จนทำให้มีประชาชนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึง 90 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน นอกจากจะไม่มีความผิดและไม่มีสำนึกทางการเมืองที่จะแสดงความรับผิดชอบใดๆ แล้วยังอ้างความชอบธรรมใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็น พ.ร.ก.ฉกฉวย ที่ตัวเองเคยประณามว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ มาไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วย

เพราะคำว่า “นิติรัฐ” หรือ Rule of Law หมายถึงการปกครองที่ยึดถือกฎหมายเป็นใหญ่และมีมาตรฐานเดียว เหมือนคำว่า “นิติธรรม” ที่หมายถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรม เป็นธรรม และเสมอภาค ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ประกาศวันที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า “จะยึดหลักนิติธรรม นิติรัฐ จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และจะเคารพในกระบวนการและเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย”

แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับถูกวิจารณ์และประณามว่า กำลังดึงประเทศไทยถอยกลับไปสู่ระบอบเผด็จการภายใต้อำนาจของกองทัพ โดยใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ศอฉ. และดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมือง

DSI ที่เป็นหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมจึงถูกตั้งคำถามมากมาย เกี่ยวกับการใช้อำนาจว่ายังทำหน้าที่อย่างยุติธรรม ตรงไปตรงมา โปร่งใส และเสมอภาคจริงหรือไม่

เพราะมิเช่นนั้น DSI ที่ย่อมาจากคำว่า Department of Special Investigation อาจกลายเป็นเพียง Double Standard Investigation

รับรอง 2 มาตรฐานโดยกรมสอบสวนคดี “วิเศษ” เพื่อ “ผู้วิเศษ” เท่านั้น!

“ประชาชนธรรมดา” หรือ “ไพร่” ไม่เกี่ยว!