ไก่อูรับสิ้นไส้กลางศาลผังล้มเจ้ามั่วทั้งดุ้น โยนบาปสื่อหรือใครนำไปขยายผลก็ซวย พ่นพิษธาริตงานเข้า

คำแถลงต่อศาลของพ.อ.สรรเสริญ:

ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้น ไปแจกแก่สื่อมวลชนซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อใน เอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความใน ทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา(แฟ้ม ภาพ:ตอนที่สรรเสริญแถลงข่าวผังล้มเจ้า โดยมีธาริตนั่งติดกันตอนนี้ไก่อูสารภาพแล้วว่า ผังล้มเจ้ามั่ว แต่ธาริตยังนำมาเป็นเหตุจะจับ19แกนนำนปช.ยัดคุก)

ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯได้ถอนฟ้องคดี”ผังขบวนการล้มเจ้า”ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด แล้ว หลังจากพ.อ.สรรเสริญได้แถลงยอมรับต่อศาลว่า ผังขบวนการล้มเจ้าเป็นแค่การโยงบุคคลต่างๆ ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น มิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

อย่างไรก็ตามมีปัญหาตามมาว่าการที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีDSIออกหมายเรียก19แกนนำนปช.มามอบตัวในวันที่ 2 มิถุนายน โดยอ้างอิงจาก”แผนผังขบวนการล้มเจ้าของศอฉ.”นั้น จะมีผลอย่างไร ในเมื่อศอฉ.ที่เป็นต้นเหตุบอกว่า โยงไปให้คนคิดเอง แถมคนเอาผังล้มเจ้าไปขยายผลแบบนายธาริตก็ต้องรับผลกรรมจากการถูกดำเนินคดีเองด้วย

ดร.สุธาชัยได้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม ภายหลังจากพ.อ.สรรเสริญ ในฐานะจำเลยที่สาม ได้แถลงต่อศาล ดังนี้:

“ประการที่หนึ่ง ศอฉ ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง

ประการ ที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการศอฉ อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่น ซึ่งหมายความว่ามีความพยายามยามจะสร้างภาพให้สังคมเห็นว่า พระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ซึ่งมิได้เป็นความจริง ศอฉ ก็มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สีงคมได้รับทราบความจริงเป็น เช่นไร

นอกจากนั้นแล้ว ศอฉ ก็ได้ขยายความลงไปเพราะว่าทางราชการมีหน่วยงานทางด้านความมั่นคง ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้น โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของขบวนการที่จ้องจะ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด จึงได้นำข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มาประกอบเพื่อใช้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับ สังคม

ประการที่สาม ในช่วงเวลาเช้าของวันเกิดเหตุ ข้าฯได้มีการแถลงข่าวให้สังคมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าไมม่เป็นความ จริงตามข้อมูลที่พยายามกล่าวหาใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ โดยแถลงกำกับตอบไปด้วยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้านั้น ในขณะนั้นมีคุณดาตอร์ปิโด กับคุณจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งทั้งสองคนนี้มีหมายจับไว้แล้ว ในช่วงเวลาเย็นเกิดจากการประชุมในช่วงบ่ายของศอฉ.ได้มติของศอฉ ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อีกษรอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สังคมพิจารณา

ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยว ข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความใน ทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา”

ทั้งนี้ศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท เมื่อโจทก์(ดร.สุธาชัย)รับฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยที่สาม(พ.อ.สรรเสริญ)จึง ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสามอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้องจำเลยที่สาม

ก่อนหน้านี้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เคยให้สัมภาษณ์ว่าแผนผังดังกล่าวเป็นเรื่องที่คิดกันขึ้นสดๆในที่ประชุมศอ ฉ.ในตอนที่จะหาเหตุสลายการชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีกลายนั่นเอง และยังรู้สึกละอายใจที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา

ที่มา : ไทยอีนิวส์ 25 พฤษภาคม 2554

เรื่องเกี่ยวข้อง : คดีล้มเจ้า! เลื่อนลอยไม่มีหลักการ


ยุทธการล่าแม่มด!

ในประวัติศาสตร์ยุโรปเมื่อต้นยุคใหม่ ขณะที่ความรู้ความคิดใหม่กำลังเผยแพร่ พวกอนุรักษ์นิยมและฝ่ายผู้ถืออำนาจขณะนั้นวิตกว่าระเบียบสังคมที่ตนยึดถือ กำลังจะเป็นอันตราย ดังนั้น จึงมีการประดิษฐ์ข้อหาแม่มดขึ้นมาทำร้ายผู้คนที่ต้องหาว่ามีความคิดความ เชื่อที่แตกต่าง โดยกลุ่มกระแสหลักถือว่าความคิดที่ถูกต้องนั้นมีประการเดียวเท่านั้นคือ ต้องนับพระเจ้าตามแบบคริสต์กระแสหลัก ถ้าหากใครต้องสงสัยว่าจะมีแนวคิดอย่างอื่น เช่น ไม่นับถือพระเจ้า หรือนับถือแต่ปฏิบัติผิดประเพณี หรือเผยแพร่ความคิดที่ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านคริสตจักร ถือว่ามีแนวคิดแบบพ่อมดหมอผี เป็นสาวกซาตาน และเป็นพวกใช้เวทมนตร์คาถา ต้องกำจัดเสียโดยการเผาทั้งเป็น

แนวคิดแบบล่าแม่มดนี้แผ่ไปทั่วยุโรป และขยายไปยังอเมริกาเหนือ จึงนำมาซึ่งการเข่นฆ่าสังหารผู้คนจำนวนมาก จากสถิติที่พอรวบรวมได้การรณรงค์ล่าแม่มดเช่นนี้ทำให้ประชาชนถูกไต่สวน ดำเนินคดีและถูกเผาทั้งเป็นมากกว่า 40,000 คน และบุคคลสำคัญ เช่น โจน ออฟ อาร์ค หรือชาน ดาร์ค (ค.ศ. 1412-1431) ก็ถูกเผาทั้งเป็นภายใต้ข้อหาแม่มด ก่อนที่จะได้รับการยกย่องในฐานะวีรสตรีและนักบุญแห่งฝรั่งเศส

ต่อมาเมื่อยุโรปผ่านเข้าสู่ยุคเสรีนิยม ยอมรับความแตกต่างทางความคิดและเสรีภาพในการนับถือหรือไม่นับถือศาสนา นักคิดรุ่นใหม่จึงเห็นว่ายุทธการล่าแม่มดนั้นเป็นความผิดพลาดและทำให้เกิด การเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ เพราะผู้ที่ถูกสังหารจำนวนมากเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ไม่มีหลักฐานในการพิสูจน์ ไม่ได้อิงหลักเหตุและผล หากแต่เป็นความเชื่อว่าคนเหล่านั้นเป็นแม่มดจึงต้องจับเผาทั้งเป็น

ที่น่าสนใจคือยุทธการล่าแม่มดที่นำไปสู่การเผาคนทั้งเป็นจำนวนมากนี้ ดำเนินไปในนามของความดีงาม ความศรัทธาต่อพระเจ้า ความต้องการที่จะรักษาระเบียบสังคมให้มีความสงบสุข ดำเนินไปด้วยการใช้กฎหมาย ด้วยกระบวนการยุติธรรม ในสเปนและโปรตุเกสถึงกับมีการตั้งขึ้นมาเป็นศาลพิเศษหรือศาลศาสนาที่จะไต่ สวนลงโทษพวกความคิดนอกรีตเป็นการเฉพาะ ดังนั้น ยุทธการล่าแม่มดให้อำนาจแก่ชนชั้นนำ เช่น ราชสำนัก พระชั้นผู้ใหญ่ ขุนนาง และผู้พิพากษา พวกนี้ตั้งตัวเป็นหมอผีแล้วกล่าวหาคนจำนวนมากว่าเป็นแม่มด แล้วจะนำไปสู่การประหัตประหาร

ยุทธการล่าแม่มดในยุโรปหมดสิ้นไปตั้งแต่ ค.ศ. 1782 แต่ในสังคมไทยยุทธการในลักษณะเดียวกันยังคงอยู่และยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพียงแต่เปลี่ยนข้อกล่าวหาจากแม่มดมาสู่ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ผู้กล่าวหาในครั้งนี้ไม่ใช่หัวหน้าพระ แต่เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) โดยในวันที่ 12 เมษายน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงตัวเป็นผู้ภักดีอย่างสุดตัว โดยการสั่งให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผู้ถูกล่าครั้งนี้คือแกนนำฝ่ายบวนการเสื้อแดง 3 คน ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ โดยอ้างว่าคำพูดและการแสดงออกของคนทั้งสามบนเวที นปช.แดงทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

เมื่อผู้บัญชาการทหารบกสร้างเรื่องกล่าวหาเช่นนี้ ในวันเดียวกัน นายธาริษ เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ดำเนินการต่อโดยอธิบายว่าจะดำเนินการถอนประกันกับคนเหล่านี้ รวมไปถึงแกนนำ นปช. อีก 7 คน ในทำนองว่าได้เกิดการละเมิดข้อตกลงและเงื่อนไขที่ให้ไว้กับศาลขึ้นจริง และมีส่วนร่วมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเป็นผู้นั่งอยู่บนเวที ในขณะที่นายจตุพรปราศรัยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งการกล่าวหาของดีเอสไอนับเป็นเรื่องตลกทีเดียวที่กล่าวหาว่าผู้ที่นั่ง อยู่ในบริเวณที่มีการทำความผิดถือว่าทำผิดไปด้วย

ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่านี่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายอำนาจรัฐเล่นงาน ประชาชนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อย่างน้อยในกรณี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ฝ่ายอำนาจรัฐก็ได้สร้างขบวนการใส่ร้ายป้ายสีขบวนการนักศึกษา แล้วก่อกระแสปราบปรามเข่นฆ่าจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนับร้อยคน จากนั้นก็ก่อการรัฐประหาร ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ปรากฏว่าในระยะ 5 ปี นับตั้งแต่รัฐประหาร พ.ศ. 2549 ได้มีการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาโจมตีขบวนการคนเสื้อแดงหลายครั้ง ที่สำคัญคือเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ฝ่ายกองทัพในนามของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ออกผังล้มเจ้ามากล่าวหาฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงว่าเป็นพวกล้มเจ้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างกระแสการปราบปรามของฝ่ายทหารที่เกิดขึ้นใน เดือนพฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน

ประเด็นการนำข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใส่ร้ายป้ายสีแกนนำคนเสื้อแดง ครั้งนี้ดูจะขยายตัวลุกลาม เพราะสื่อมวลชนฝ่ายรัฐได้นำเรื่องไปโหมกระหน่ำโจมตีและโยงเข้ากับพรรคเพื่อ ไทย เพื่อสร้างกระแสให้ประชาชนเสื่อมคลายในพรรคเพื่อไทย และยังสร้างความวิตกแก่กลุ่มการเมืองภายในพรรค ดังเช่นวันที่ 18 เมษายน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ลาออกจากพรรคด้วยการอ้างเหตุผลเรื่องกระแสหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และยังมีรายงานว่าจะมีสมาชิกที่เป็น ส.ส. บางส่วนอาจลาออกด้วยเหตุผลเดียวกัน

ฝ่ายกองทัพเองก็ได้รุกในประเด็นนี้ต่อไป โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้ฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) สั่งการให้กอ.รมน.ภาคและจังหวัด ตรวจสอบการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ทางสถานีวิทยุชุมชน เว็บไซต์ และอินเทอร์เน็ต เพื่อแจ้งเบาะแสและข้อมูลการละเมิดสถาบันฯไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (ไอซีที) และตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากนั้นในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2554 พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ก็ได้แสดงท่าทีสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ โดยโจมตีการปราศรัยของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่า มีคำพูดบางช่วงที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่เป็นอย่างยิ่ง เพราะคนไทยส่วนใหญ่รักชาติและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และอธิบายว่า ทหารต้องออกมาแสดงบทบาท เพราะทหารทุกคนคือประชาชนที่เป็นลูกหลานของประชาชน

ต่อมาวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2554 พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ ได้ประกาศให้ทหารทำหน้าที่ทหารรักษาพระองค์และปกป้องสถาบัน รวมถึงเป็นกองหนุนให้แก่ผบ.ทบ. และย้ำว่า ทหารทุกคนคิดเหมือนผบ.ทบ. พร้อมทำทุกอย่างที่ ผบ.ทบ.สั่งและหนุนทุกอย่างที่ ผบ.ทบ.ทำ

จะเห็นได้ว่า ฝ่ายกองทัพได้เคลื่อนเต็มที่ในการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อแกนนำของกลุ่ม เสื้อแดง โดยนำเอากฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเป็นเครื่องมือ เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา จึงเห็นได้ว่ากองทัพขณะนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นหมอผีที่นำในยุทธการล่าแม่มด โดยมิได้คำนึงว่า การใช้กฏหมายมาตรา 112 นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่

พล.อ.ประยุทธพยายามจะอ้างว่า ขออย่าการเมืองเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยว แต่การผูกขาดความภักดีไว้กับกองทัพแต่เพียงผู้เดียวและเที่ยวเอาข้อหาหมิ่น พระบรมเดชานุภาพไปสร้างกระแสโจมตีคนอื่นนั้น ถือเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่การเมืองโดยตรงหรือไม่

แต่ที่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนคือ การล่าแม่มดในครั้งนี้จะนำไปสู่อะไรที่มากกว่านี้หรือไม่ เช่น การก่อรัฐประหาร หรือการเข้าแทรกแซงทางการเมืองในการทำลายพรรคเพื่อไทย

ที่แน่นอนคือ ทั้งหมดนี้เป็นการเมืองแบบล้าหลังและเป็นยุทธการล่าแม่มดสมัยใหม่ที่ประเทศ ก้าวหน้าทางการเมืองทั้งหลายเขาไม่ทำกันแล้ว ดังนั้น ถ้าจะยุติการล่าแม่มด ต้องผลักดันให้มีการยกเลิกมาตรา 112 จะดีกว่า

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 307 วันที่ 23-29 เมษายน พ.ศ. 2554 หน้า 9 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ


66 ศพ ยังไร้ค่า?

การแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อ สัปดาห์ก่อนถึงการสอบสวนคดี 91 ศพเสื้อแดง

แม้จะไม่มีอะไรแปลก ใหม่

แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดปากครั้งแรกของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ยอมรับว่า 13 ศพเสื้อแดงเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

ในจำนวนนี้มี 2 ศพในวัดปทุมวนาราม และนักข่าว ญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วย

นายธาริตยัง ระบุด้วยว่าอีก 12 ศพ รวมพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เป็นฝีมือของกลุ่มนปช.

ตรงนี้ก็ถือว่าชัดเจนขึ้นบ้าง

แต่ก็แปลกใจว่าแล้วอีก 65-66 ศพเป็นฝีมือใคร ??

ดีเอสไอใช้เวลาสอบสวนคดีนี้นาน 8-9 เดือนสรุปได้แค่นี้เองหรือ !!

อีก 66 ศพที่นายธาริตบอกได้แค่ว่ายังไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด

ในจำนวนนี้ มีการเสียชีวิตของเสธ.แดง น้องเกด และนักข่าวอิตาลี

ตรงนี้ยัง เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปอีก

การสรุปผลสอบแค่ 25 ศพของนายธาริตต้องการจะบ่งบอกอะไร

คนเสื้อแดง-เจ้าหน้าที่รัฐตาย เท่าๆ กันแค่นั้นหรือ !?

ทั้งที่อีก 66 ศพส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุมนปช. และประชา ชนผู้บริสุทธิ์

เอากันง่ายๆ ถ้าดีเอสไอตั้งใจทำคดีอย่างจริงจัง

คงไม่มีคำว่า “ยังไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด”

ความจริงการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต บ่งบอกข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างแล้ว

แค่หลักการชันสูตรศพเบื้องต้น ยังไม่ต้องมีพยานมาประกอบ

บาดแผลรอยกระสุนก็เพียงพอบอกได้แล้วว่า

ผู้เสียชีวิตถูกยิงด้วยปืนชนิดไหน หัวกระสุนแบบไหน หัวกระสุนสีอะไร

เอาให้ลึกลงไปอีกก็ต้องบอกได้ว่าวิถีกระสุนมาจากทิศ ทางใด

ยิงจากบนลง ล่าง ล่างขึ้นบน หรือระนาบเดียวกัน

เมื่อเอาบาดแผล ชนิดปืน วิถีกระสุน มาประมวลจากจุดที่ถูกยิง

ก็คงบอกได้ว่าเสธ.แดงถูกกระสุน ปืนสไนเปอร์หรือไม่

น้องเกดถูกกราดยิงจากบนรางรถไฟฟ้าหรือเปล่า

แต่ นายธาริตกลับไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง

แถมยังโยนสำนวนกลับไปให้ ตำรวจชันสูตรศพเพิ่มเติม

คงหวังประวิงเวลาไปได้อีกหลายเดือน

ต้อง ถามต่อไปว่ามีเหตุผลอะไรถึงสรุปแค่ 25 ศพ

แล้วอีก 66 ศพไร้ค่าไร้ความหมายหรืออย่างไร

ผู้บาดเจ็บจากการถูกลอบยิงอีกนับพัน คน

ทำไมไม่มีการพูดถึง !?

บางคนทุพพลภาพ บางคนพิการตาบอด บางคนต้องตัดแขนตัดขา

ทำไมดีเอสไอถึงไม่สอบสวนทำคดีให้เลย

ทั้งที่บุคคลเหล่านี้เห็นกะตาตัวเองด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนลั่นไก

คนเหล่านี้คงสิ้นหวังกับการทวงความยุติธรรมแล้ว

ยิ่งการสาวให้ถึงคนสั่งการ

คงไม่ต้องไปคาดหวังอีกเลย

ที่มา : ข่าวสด 25 มกราคม 2554
คอลัมน์ : เหล็กใน

 


ความจริงที่เลือกปฏิบัติ?

เป็นไปตามความคาดหมายสำหรับการแถลงของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 จำนวน 89 ศพ ซึ่งดีเอสไอได้มอบสำนวนคดีให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นคดีพิเศษไป 30 สำนวน โดยร่วมสอบสวนกับพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เป็นการเสียชีวิตที่น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีผู้เสียชีวิต 12 ราย โดยมี พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และผู้เสียชีวิตในเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ส่วนที่ 2 คดีการเสียชีวิตซึ่งการสืบสวนสอบสวนพบพยานหลักฐานเบื้องต้นว่าอาจเกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องรวม 8 คดี มีผู้เสียชีวิต 13 ราย ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นว่าควรดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 150 จึงส่งสำนวนให้ตำรวจท้องที่เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การเสียชีวิต 3 ศพในวัดปทุมวนาราม การเสียชีวิตในสวนสัตว์ดุสิต การเสียชีวิตของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ที่บริเวณแยกอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่น

และส่วนที่ 3 คดีการเสียชีวิตซึ่งสอบสวนแล้วแต่ยังไม่ปรากฏตัวผู้กระทำความผิดจำนวน 18 คดี มีผู้เสียชีวิตรวม 64 ราย เช่น การเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นางสาวกมนเกด อัคฮาด และนายฟาบิโอ โปเลนกี ผู้สื่อข่าวสัญชาติอิตาลี

แม้การแถลงของดีเอสไอจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น แต่ก็แทบไม่มีอะไรใหม่จากที่เคยแถลงก่อนหน้านี้เลย ทั้งยังมีรายละเอียดน้อยกว่าที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. นำสำนวนคดีการสอบสวนคนเสื้อแดงและน้องเกดออกมาเปิดเผย ซึ่งระบุชัดว่ามีวิถีกระสุนจากทิศทางใด กระสุนอะไร และใครเป็นคนยิง โดยเฉพาะ 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

ขณะที่นายธาริตได้ขอความเป็นธรรมให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะทหารซึ่งเข้าปฏิบัติการกระชับพื้นที่และขอคืนพื้นที่ ทั้งยังอ้างความล่าช้าในการสืบสวนว่าผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นท่ามกลางการจลาจลที่สับสนวุ่นวาย ทำให้การแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงมีข้อจำกัด

การที่นายธาริตเอาการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไปเปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ต้องทำหน้าที่ดับไฟ หากไม่ทำก็ถือว่าละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ เช่นเดียวกับหากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไม่เข้าระงับเหตุจลาจล เผาบ้านเผาเมือง และปล้นสะดม ก็จะเกิดมิคสัญญีเลวร้ายไปกว่านี้ ฝ่ายทหารจึงควรได้รับความเป็นธรรมด้วย มิใช่ถูกให้ร้ายว่าเข่นฆ่าประชาชนอยู่ตลอดเวลานั้น

ต้องถามนายธาริตเช่นกันว่าที่ผ่านมาดีเอสไอและรัฐบาลเคยถามความรู้สึกของ ประชาชนที่ถูกกระทำและสูญเสียบ้างหรือไม่ว่ารู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะการกล่าวหาและยัดเยียดข้อหาก่อการร้าย อีกทั้งยังมีการไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง

แม้แต่กระแสของสังคมโลก โดยเฉพาะองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและองค์กรสื่อที่มีปฏิกิริยาในทางลบกับ รัฐบาลและกองทัพไทยวันนี้ก็มองว่าประเทศไทยเหมือน “รัฐทหาร”

เหมือนคำพูดของนายธาริตที่ตอบคำถามกรณีที่มีข่าวว่าครอบครัวของช่างภาพ ชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจะนำคดีไปฟ้องศาลโลกว่า ไม่แน่ใจว่าศาลโลกจะมีอำนาจเหนืออธิปไตยของประเทศไทยหรือไม่

หรือกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. ที่มอบหมายให้นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชื่อดัง เป็นตัวแทนยื่นฟ้องศาลคดีอาญาระหว่างประเทศให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าไม่ค่อยเข้าใจว่าสิ่งที่ นปช. ทำมีลู่ทางความเป็นไปได้อย่างไร มีข้อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร แต่คิดว่าจะไปที่ศาลไหนก็ไม่กังวลใจเพราะมีข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ชัดเจน ซึ่งความจริงเรื่องที่จะไปศาลโลกต้องเป็นเรื่องที่เข่นฆ่ากันขนานใหญ่ เหมือนกรณีอุ้มฆ่า 2,000-3,000 ศพตอนปราบปรามยาเสพติดยังน่ากลัวกว่า

แต่นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา “น้องเกด” น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ซึ่งเรียกร้องความยุติธรรมมาตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา กลับไม่เคยเชื่อมั่นเลยว่าดีเอสไอจะสามารถหาตัวผู้กระทำความผิดได้ ทั้งที่มีทหารออกมายอมรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปภายในวัด และในร่างน้องเกดก็พบหัวกระสุนสีเขียวซึ่งใช้ในราชการติดอยู่ แต่ก็ไม่เคยมีคำตอบหรือคำชี้แจงใดๆจากดีเอสไอ

นายธาริตกับนายสุเทพจึงตอบเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีว่าที่ผ่านมามีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองและให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายจริงหรือไม่?

ที่มา : โลกวันนี้ 24 มกราคม 2554


มาตรฐานธาริต

การทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นตัววัดมาตรฐานของรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด

ดีเอสไอยุคนี้ทำงานสนองรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยิ่งการทำหน้าที่ของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในสไตล์ใช่ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน ยิ่งเข้าหูเข้าตานายกฯมาร์คเข้าไปใหญ่

ย้อนกลับไปดูผลงานนายธาริต นับตั้งแต่เหตุการณ์สลายม็อบราชประสงค์ นโยบายหลักก็คือการไล่เช็กบิลคนเสื้อแดง คดีความ 91 ศพไม่ต้องพูดถึง พี่น้องผู้เสียชีวิตหมดหวังไปแล้ว

ยิ่งล่าสุดนายธาริตประกาศจะยื่น ศาลให้ถอนประกันนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย อ้างเหตุผลว่าข่มขู่นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตดาราเสื้อแดงที่แปรพักตร์ไปซบอกนายธาริต กลายเป็นพยานปากคำสำคัญเล่นงานแกนนำนปช.

อีกเหตุผลคือนายจตุพร ยังไม่เลิกปลุกระดมม็อบเสื้อแดง ยังไม่เลิกด่ารัฐบาล ไม่เลิกด่านายกฯมาร์ค

ที่เป็นงงก็เพราะการถอนประกันตัวครั้งนี้ นายธาริตประกาศจะยื่นต่อศาลเอง หลังเคยยื่นอัยการไปแล้ว แต่อัยการเห็นว่าไม่จำเป็นต้องถอนประกันนายจตุพร เพราะไม่มีหลักฐานว่าไปข่มขู่พยาน หรือไปยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวาย

นายธาริตก็ต้องเดินหน้าร้องศาลเอง เพื่อเอาอกเอาใจรัฐบาล

ถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่าคนเสื้อแดงยังเป็นศัตรูตัวฉกาจในสายตารัฐบาล การกระทำของนายธาริตสะท้อนได้ชัดเจนที่สุด

เมื่อเทียบเคียงกับคดีก่อการร้ายที่ม็อบเหลืองตกเป็นผู้ต้องหา กว่าจะมีการออกหมายจับแกนนำที่บุกยึดสนามบินสองแห่งก็ปาเข้าไปเกือบ 3 ปี หมายจับแกนนำพธม.โดนเบรกก่อนจะไปยื่นศาลหลายครั้ง ทำเอาตำรวจปวดเศียร เวียนเกล้าไปตามๆ กัน

ออกหมายจับแล้ว แกนนำทั้งหมดก็ได้ประกันตัว ไม่ต้องเข้าเรือนจำเลยสักคนเดียว ทั้งที่เป็นคดีก่อการร้ายเหมือนกับที่คนเสื้อแดงโดน

ถามถึงเหตุผลที่นายธาริตบี้ถอนประกันแกนนำมอบแดง ก็คือข่มขู่พยาน ยังไม่เลิกปลุกระดมม็อบ แล้วที่แกนนำพธม.ทำทุกวันนี้ มันต่างกันตรงไหน

ศาสดาม็อบเหลืองไม่ได้แค่ข่มขู่พยาน แต่ข่มขู่ไปถึงพนักงานสอบสวน ซ้ำร้ายกว่านั้นด่านายกฯ ว่าเนรคุณ

วันก่อนก็ขนม็อบที่มีอยู่หร็อมแหร็มไปประท้วงหน้ารัฐสภา ก่อนประกาศจะชุมนุมใหญ่ช่วงเดือนม.ค.นี้

เข้าข่ายเดียวกันกับข้อ กล่าวหานายจตุพร แต่นายธาริตไม่ยักจะไปยื่นศาลให้ถอนการประกันตัวเลย

นี่แหละคือมาตรฐานนายธาริต ขุนพลเอกในยุครัฐบาล 2 มาตรฐาน

ที่มา : ข่าวสดรายวัน 8 ธันวาคม 2553
คอลัมน์ : เหล็กใน