สัญชาติ มาร์ค (อีกที)

ย้อนกลับ ไปเมื่อ 1 ก.พ. วันที่ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความนปช. วิดีโอลิงก์แถลงความคืบหน้าการนำคดี 91 ศพยื่นฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี

พร้อมกับเปิด ประเด็นสัญชาติของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ถึงวันนี้เวลาผ่าน ไป 3 สัปดาห์เต็ม

ในช่วงเวลา 3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ ตอบคำถามนักข่าวไว้ 3-4 ครั้งด้วยกัน เกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของตนเอง

แต่ทุกคำตอบไม่เคยชัดเจนสักครั้งเดียว ไม่ชัดเจนก็เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ เอาแต่ตอบว่า ผมสัญชาติไทย ผมสัญชาติไทย และผมสัญชาติไทย

โดยเลี่ยงที่จะไม่ตอบว่าแล้วถือ สัญชาติอังกฤษด้วยหรือไม่

ใครว่านายกฯ อภิสิทธิ์ อาจจะไม่เข้าใจคำถามของนักข่าว ก็ไม่น่าใช่

เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ มีประวัติเป็นคนพูดจาฉาด ฉาน ฉลาดเฉลียว ไม่เคยจนมุมให้กับคำถามของนักข่าว หรือการไล่ต้อนของฝ่ายค้านในสภา

ทั้งยังมีดีกรีการศึกษาจบปริญญาจากออกซ์ฟอร์ด ถ้าถึงขนาดไม่เข้าใจคำถามง่ายๆ ของนักข่าวไทย คงสอบตกมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม

ล่าสุดในการชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จัดแจงงัดเอาใบเกิดของนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกโดยเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ ขึ้นมาโชว์ให้ดูเป็นขวัญตา

เป็นการยืนยันสิ่งที่นายอัมสเตอร์ดัม นำออกมาแฉนั้น ไม่ได้เป็นการกล่าว หาลอยๆ แบบไร้หลักฐาน อย่างที่คนในรัฐบาลและลิ่วล้อพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต

ต้องย้ำอีกทีให้เข้าใจกันชัดๆ ว่าเรื่องการถือ 2 สัญชาติของนายกฯ อภิสิทธิ์นั้น ถ้าเป็นความจริงก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะมีผลต่อการนำคดี 91 ศพขึ้นฟ้องร้องต่อไอซีซี

เพราะในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 ก.พ. มีนักข่าวถามนายอัมสเตอร์ดัมว่า หากนายกฯ อภิสิทธิ์ ถือสัญชาติอังกฤษด้วยแล้ว จะมีผลอย่างไรกับคดี

นายอัมสเตอร์ดัม ตอบว่า เนื่องจากประเทศอังกฤษเป็นสมาชิกภาคีระหว่างประเทศของไอซีซี และถ้านายกฯ เป็นคนสัญชาติอังกฤษ จะเข้าข่ายผู้มีสัญชาติในคดี อาชญากรรมระหว่างประเทศ มาตรา 12 บี ระบุให้สามารถดำเนินคดีได้ทันทีกับจำเลยที่มีสัญชาติของประเทศที่เป็นสมาชิก

ทีนี้เข้าใจหรือยัง ทำไมใครบางคนถึงต้องตอบคำถาม นักข่าวแบบลดเลี้ยว

แกล้งมึนแม้กระทั่งเรื่องสัญชาติตัวเอง

ที่มา : ข่าวสดรายวัน 22 กุมภาพันธ์ 2554
คอลัมน์ : เหล็กใน



‘สูติบัตร’ หลัก ฐานชิ้นแรกนปช. พิสูจน์ ‘มาร์ค’ ควบสัญชาติอังกฤษ

การถือสัญชาติของ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็นประเด็นขึ้นมาหลังจากกลุ่มนปช. ประกาศผลักดันคดี 91 ศพ ขึ้นสู่การพิจารณาศาลอาญาระหว่างประเทศ

มีการถกเถียงกันว่า การยื่นฟ้องร้องนายกฯ ไทย ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ กระทำได้หรือไม่

นาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ในฐานะทนายของกลุ่มนปช. ยืนยันว่าทำได้ เพราะ นายกฯ อภิสิทธิ์ ถือ 2 สัญชาติ คือ สัญชาติอังกฤษ กับสัญชาติไทย

สัญชาติอังกฤษนั้นนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้มาเพราะกฎหมายอังกฤษระบุ คนที่เกิดในอังกฤษก่อนปี 2526 จะได้สัญชาติอังกฤษโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องดูสถานะของพ่อแม่

ส่วนสัญชาติไทยนั้นได้ตามผู้ให้กำเนิด

เมื่อนายกฯ ไทยถือสัญชาติอังกฤษ ในขณะที่อังกฤษเป็นรัฐภาคีแห่งธรรมนูญกรุงโรม ที่ลงสัตยาบันกับศาลอาญาระหว่างประเทศ ดังนั้น การยื่นฟ้องคนอังกฤษต่อศาลอาญาระหว่างประเทศย่อมกระทำได้

เป็นความ เห็นของฝ่ายนปช. และทนายอัมสเตอร์ดัม

การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดง วันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ โหมโรงเรียกแขกตั้งแต่เวลา 18.00 น. บนเวทีปราศรัย โดยระบุว่า

เดี๋ยวคืนนี้นายอภิสิทธิ์ จะยิ่งร้อนในเรื่องสัญชาติ เขาบอกว่ามีสัญชาติไทยผมก็ไม่เถียง แต่ที่มีสัญชาติอังกฤษ เดี๋ยวมืดๆ จะได้ดูที่หน้าจอ เพราะทีมกฎหมายได้ไปคัดสูติบัตรจากประเทศอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย และจะพูดเรื่องสัญชาติ รวมทั้งกระบวนการประกันตัวของพี่น้องนปช. และข้อเสนอของนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จากนั้นเวลา 20.00 น. นายจตุพรขึ้นกล่าวบนเวทีพร้อมโชว์สำเนาใบเกิดของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่คัดลอกจากเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ มาแสดงประกอบการปราศรัย

คนที่เกิดก่อนปีพ.ศ. 2526 จะได้สัญชาติอังกฤษ ถ้านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ถือสัญชาติอังกฤษ ก็ต้องเอาใบสละสัญชาติมาโชว์ต่อที่สาธารณะ

เอกสารนี้สำนักทนายของนายโรเบิร์ต ได้ไปคัดลอกมาเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเอกสารที่ออกโดยสำนักทะเบียนกลาง เอกสารเลขที่ 2997018/1

ระบุว่า ด.ช.มาร์ค อภิสิทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 1964 ที่โรงพยาบาลริชาร์ด เฟลโล กิ่ง อ.วิกตอเรีย ในเขตเมืองนิวคาสเซิล อพอนไทน์ โดยแจ้งลงทะเบียน การเกิดเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 1964 มีสำนักทะเบียนการเกิด ประเทศอังกฤษ รับรองว่าเป็นสำเนาจริง

มนุษย์ทั่วโลกไม่สามารถเลือกที่เกิดได้ ไม่สามารถเลือกสัญชาติได้ ที่นายอภิสิทธิ์ มีสัญชาติไทยเพราะมีพ่อแม่เป็นคนไทย และมีสัญชาติอังกฤษเพราะเกิดที่นั่น จึงถือเป็นคน 2 สัญชาติ

ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดเลยเพราะมีคนถือ 2 สัญชาติมากมาย แต่เพราะเหลือเพียงช่องทางเดียวที่จะฟ้องนายอภิสิทธิ์ ขึ้นศาลโลก คือการที่นายอภิสิทธิ์ ถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ ไม่เคยตอบความจริงกับประชาชน

ด้านนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวไว้ในวันเดียวกันว่า

ประเด็นมีอยู่ว่า มีสัญชาติไทยและใช้สัญชาติไทยมาโดยตลอด ในการสมัครรับเลือกตั้งและทำสิ่งต่างๆ ซึ่งผู้ที่กล่าวหาต้องไปอ่านกฎหมายไทยว่ากฎหมายไทยเขียนว่าอย่างไร กรณีเวลาที่มีกฎหมายไปขัดกับกฎหมายประเทศอื่นๆ ผมเป็นคนไทยผมก็ถือตามกฎหมายไทย

ผมเกิดที่ไหน ผมเปลี่ยนที่เกิดผมไม่ได้อยู่แล้ว ผมเกิดที่ไหนก็เกิดที่นั่นแหละครับ แต่ผมก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์ เพราะตอนที่ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ผมก็จ่ายเงินในฐานะเป็นนักเรียนต่างประเทศ และผมเดินทางไปอังกฤษตั้งแต่บรรลุนิติภาวะมาไม่รู้กี่ครั้ง ก็ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าจะชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว

ส่วนการเลือกสัญชาติ นายกฯ อภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า

กฎหมายไทยเขียนไว้ชัดเจนว่าผมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตรงนี้จึงต้องยึดถือตามกฎหมายไทย ซึ่งกฎหมายไทยมีทั้งกฎหมายสัญชาติและกฎหมายที่บอกว่าเวลาที่กฎหมายไทยกับกฎหมายประเทศอื่นขัดกันหรือไม่อย่างไร ให้ถือเอากฎหมายไทย

เมื่อให้ยืนยันว่าถือเพียงสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว นายอภิสิทธิ์ ก็ยืนยัน

“ผมถือสัญชาติไทยครับ”

กรณีสูติบัตร หรือใบเกิดของนายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นแค่หลักฐานชิ้นแรกที่นปช. นำมาอ้างอิงเพื่อนำไปสู่การยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

จากนี้ น่าจะได้เห็นสองฝ่าย นำหลักฐานต่างๆ มาหักล้างกันต่อไป

ทั้งในส่วน การบอกเลิกสัญชาติที่นปช. ตั้งข้อสงสัยนั้น ตกลงแล้วมีการดำเนินการแล้ว หรือไม่จำเป็นต้องดำเนินการเพราะในทางกฎหมายมีผล หรือไม่มีผลอย่างไร

รวมถึงกรณีหนังสือวีซ่า ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ระบุว่าการเข้าประเทศอังกฤษเขาต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศ แล้วในวีซ่านั้นระบุนายกฯ ถือสัญชาติใด

ล้วนเป็นประเด็นที่น่า ติดตามเพื่อหาความกระจ่าง

ที่มา : ข่าวสดรายวัน 21 กุมภาพันธ์ 2554
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

 


“ตื่นเถิด! ประชาชนไทย”

“หากไม่ปรากฏชัดว่าสาเหตุการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ คือไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ อาจจะเป็นคนร้าย ไอ้โม่ง ไอ้เขียว ไอ้ขาว ไอ้แดง ไอ้ดำก็แล้วแต่ จะส่งไปรวมกับคดีหลักคดีเดิมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อสืบหาคนร้ายต่อไป ซึ่งตำรวจเพียงทำสำนวนชันสูตร ไม่ได้กล่าวหาใคร และไม่ได้มีหน้าที่ค้นหาตัวผู้กระทำผิด ผู้ที่มีหน้าที่ในการรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิด มาลง โทษคือพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ”

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดี 91 ศพจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ว่าดีเอสไอส่งให้ตำรวจสอบสวนแค่ 13 ศพ โดยศพที่มีเศษกระสุน หัวกระสุน ปลอกกระสุนเป็นหลักฐานต้องตรวจพิสูจน์ด้านนิติวิทยาศาสตร์ จะไม่ใช้ความเห็นส่วนตัว เพราะอาจผิดพลาดได้ ขณะนี้สอบสวนแล้ว 95% คาดว่าอีกไม่เกิน 2 เดือนจะเสร็จ แต่หากการสอบสวนปรากฏชัดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ต้องส่งให้ดีเอสไอทำ การไต่สวนต่อไป

คำแถลงของ พล.ต.ต.อำนวยทำให้เห็นชัดเจนว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินและญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 91 ศพคงยากจะได้ “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาแล้วกว่า 9 เดือน ไม่รู้ว่าหลักฐานต่างๆถูกทำลายและบิดเบือนไปอย่างไร เพราะดีเอสไอแถลงออกตัวก่อนแล้วว่ากว่า 63 ศพยังไม่มีหลักฐานระบุว่าเสียชีวิตอย่างไร รวมทั้งช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นและนักข่าวอิสระชาวอิตาลี

2 สี 2 มาตรฐาน

ขณะที่แกนนำ นปช. และคนเสื้อแดงอีกนับร้อยกลับถูกคุมขังและไม่ได้รับการประกันตัว จากการยัดเยียดข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะแกนนำ นปช. มอบตัวตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ก่อนจะเกิดการเผากลางเมือง แต่วันนี้นอกจากดีเอสไอจะไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้แล้ว ยังมีหลักฐานระบุว่าอาจเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐเองอีกด้วย

ตรงข้ามกับคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” จากการปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิตั้งแต่ปี 2551 ทำให้ประชาคมโลกประณาม และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายแสนล้าน แต่จนปัจจุบันนี้คดียังไม่คืบหน้า เช่นเดียวกับคดีกลุ่มพันธมิตรฯบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2551 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยปักหลักชุมนุมอยู่นานกว่า 100 วัน จนหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีพันธมิตรฯขอลาออกจากการเป็นหัวหน้า พนักงานสอบสวนไปแล้วถึง 2 คน

ขณะที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ 2 แกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกจับกุมในข้อหาเดียวกันกับคนเสื้อแดงกลับได้รับการประกันตัวโดยเร็ว จนคนเสื้อแดงต้องชุมนุมเรียกร้องขอความยุติธรรม รวมถึงทำจดหมายเปิดผนึกปรับทุกข์กับผู้พิพากษาทั่วประเทศและคนไทยทั้งแผ่น ดินว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงไม่ได้ประกันตัว และตั้งคำถามว่าเป็นความยุติธรรม 2 มาตรฐานหรือไม่

คนเสื้อแดงจึงประกาศจะชุมนุมต่อไปจนกว่าจะได้ความยุติธรรมและประชาธิปไตย ที่แท้จริงกลับคืนมา โดยเฉพาะวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งครบ 10 เดือนการ “ขอคืนพื้นที่” ในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 คนเสื้อแดงอาจปักหลักชุมนุมยืดเยื้อเหมือนที่กลุ่มพันธมิตรฯชุมนุมปิดถนน หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนี้

ยัดเยียดข้อหา

เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายญาติผู้ต้องขังเสื้อแดงประมาณ 50 คน พร้อมนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กรณีญาติพี่น้อง สามี และลูกยังถูกคุมขังอยู่ตามเรือนจำในจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาสารคาม อุบลราชธานี อุดรธานี มุกดาหาร ขอนแก่น และเชียงใหม่ โดยไม่สามารถประกันตัวได้

จากข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม 2553 พบว่ายังมีผู้ต้องขังเสื้อแดง 180 คน มี 151 คนที่ขอความช่วยเหลือ บางส่วนขอทนายความ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะเป็นผู้จัดหาให้ อีก 48 รายขอความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัว ซึ่งกองทุนยุติธรรมอนุมัติให้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเงิน 28 ล้านบาทเพื่อเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว แต่การให้หรือไม่ให้ประกันตัวเป็นดุลยพินิจของศาล ซึ่งที่ผ่านมากรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ยื่นประกันตัวไปแล้วหลายราย แต่ส่วนใหญ่ศาลไม่อนุญาต เพราะเกรงว่าผู้ต้องขังจะหลบหนี

แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ประกันตัวคนเสื้อแดง 104 คนตามที่นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เสนอ แต่มติ ครม. ระบุให้ดีเอสไอและสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปหาหลักเกณฑ์และแนวทางในการประกัน ตัว แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทางกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจึงจะทำหนังสือทวงถามให้

อย่างกรณีนางศิรินารถ จันทะคัต จากจังหวัดมหาสารคาม อยากให้รัฐบาลแสดงความจริงใจด้วยการช่วยเหลือผู้ต้องขังอย่างที่พูด โดยยกตัวอย่างความยากลำบากของครอบครัวจันปัญญา หลังจากนายสุชล จันปัญญา นักศึกษาเทคนิคชั้น ปวส.1 ถูกคุมขัง ทำให้พ่อที่เป็นอัมพาตและแม่ที่อายุมากอยู่อย่างยากลำบาก เพราะปรกตินายสุชลเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวและทำงานเป็นลูกจ้างร้านถ่าย เอกสารส่งเสียตัวเองเรียน ในวันเกิดเหตุนายสุชลไปยืนดูการชุมนุม แต่ตำรวจใช้ภาพถ่ายและขวดน้ำมันเป็นหลักฐาน ทั้งที่ขวดน้ำมันไม่มีลายนิ้วมือของนายสุชล

ส่วนนางวาสนา ลิลา จากจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวทั้งน้ำตาว่า สามีถูกคุมขังมานานหลายเดือนจนมีอาการเครียด เกรงจะคิดสั้นในเรือนจำ โดยโดนข้อหาร่วมกันวางเพลิง ทั้งที่วันเกิดเหตุไปซื้ออะไหล่รถและแวะมาดูลูกคนเล็กที่ป่วยอยู่ที่โรง พยาบาล เมื่อผ่านจุดเกิดเหตุจึงแวะดู แต่ตำรวจนำภาพถ่ายมาให้เซ็นชื่อ โดยบอกว่าหากลงชื่อวันรุ่งขึ้นสามารถประกันตัวได้ แต่กลับถูกคุมขังมาจนถึงปัจจุบัน

รัฐบาลจุดชนวนความรุนแรง

ข้อมูลล่าสุดที่บ่งชี้ถึงการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่ชอบธรรมคือคำให้การของ นายปริย นวมาลา เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กับ คอป. ในฐานะสื่อหลักขณะนั้นที่ทำหน้าที่รายงานสถานการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 โดยระบุว่า รัฐบาลพยายามจะใช้สื่อคือเอ็นบีที ไม่ว่าจะเป็นข้อความตัววิ่งหน้าจอ หรือการจัดเวทีสนทนา โดยเชิญวิทยากรที่คิดเหมือนกับรัฐบาลมาแสดงความเห็นผ่านโทรทัศน์ โดยผู้จัดไม่สามารถนำคนที่เป็นกลางหรือคิดเห็นแบบเดียวกับคนเสื้อแดงมา ออกรายการได้ เพื่อโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเหมือนเป็นการราดน้ำมันลงในกองไฟ เอ็นบีทีจึงกลายเป็นสื่อที่จุดชนวนความรุนแรง

“ทำไมผมถึงพูดแบบนี้ เพราะว่าองค์กรของผมได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นระเบิดเอ็ม 79 ยอมรับว่าบางรายการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่สร้างสรรค์ เจ้าหน้าที่จากหลายฝ่ายยอมรับว่าบุคลากรและเจ้าหน้าที่ก็เป็นบุคคลที่น่า เห็นใจ ไม่ว่ารัฐบาลใดจะมาต้องทำไปตามเนื้อหาที่รัฐบาลต้องการ”

นายปริยยืนยันว่า ความรุนแรงส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล โดยมองประชาชนกลุ่มหนึ่งเป็นศัตรู แต่ถ้า คอป. จะเจาะข้อมูลจากบุคลากรในสถานีเชื่อว่า 90% ไม่มีใครกล้าพูด ส่วนเหตุผลคงทราบดีว่าเพราะรับเงินเดือนจากรัฐบาล แต่ตนเองกล้าพูดเพราะเห็นใจประชาชน

สกว. ยันรัฐใช้ความรุนแรง

แม้แต่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ยังระบุถึงการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลจากการจัดทำรายงานเรื่อง “ยุทธศาสตร์สันติวิธีกับการจัดการความขัดแย้งในสังคมไทย : กรณีเสื้อเหลือง-เสื้อแดง” ตามโครงการยุทธศาสตร์สันติวิธีสำหรับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 โดยเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้การชุมนุมอย่างสันติของ นปช. ลงท้ายด้วยความรุนแรงนั้นมาจากกระบวนการตัดสินใจของทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหา แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่รัฐบาลที่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงและกลุ่มผู้มีส่วนได้ เสียมีความไม่ลงตัวระหว่างอำนาจในระบบสถาบันการเมืองปรกติกับอำนาจภายนอก

โดยเฉพาะผู้ชุมนุมเลือกใช้ยุทธศาสตร์แบบเผชิญหน้าและท้าทายกับระบบการ เมืองปรกติ เช่น การยึดครองศูนย์กลางธุรกิจ แม้จะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ฝ่ายรัฐบาลที่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยเห็นว่าหากปล่อยให้การ ประท้วงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับการก่อเหตุรุนแรงจากการกระทำของผู้ที่ไม่ทราบฝ่าย รัฐบาลจะถูกมองว่าไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ จึงนำไปสู่การยุติปัญหาอย่างรวดเร็ว

“การปฏิบัติการตามกลไกต่างๆของรัฐต่อการชุมนุมนั้นตกอยู่ภายใต้กรอบคิด และวาทกรรมของสงครามและการก่อการร้าย รูปธรรมของวาทกรรมนี้ปรากฏให้เห็นชัดจากคำอธิบายของผู้ปฏิบัติงานของรัฐและ การตั้งข้อกล่าวหาต่อแกนนำ นปช. ในข้อหา “ก่อการร้าย” หลังเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน 2553 และพยายามเชื่อมโยง นปช. กับการก่อเหตุความรุนแรงโดยผู้กระทำไม่ทราบฝ่าย”

แม้ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวของ นปช. จะอยู่ในขอบเขตไม่ใช้ความรุนแรง แม้แต่การ “เทเลือด” ก็ถือเป็นการประท้วงในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งรัฐมองการชุมนุมเป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองและจำเป็นต้องแก้ปัญหา ด้วยวิถีทางการเมืองเท่านั้น แต่กลับมองว่าการประท้วงและผู้ประท้วงเป็นภัยร้ายที่ต้อง “จัด การ” ให้ได้ เมื่อมองว่าอยู่ในสภาวะสงครามจึงจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อเอาชนะ สงคราม แม้จะเกิดความรุนแรงและความสูญเสียก็ตาม

บดบังความจริงอันตรายใหญ่หลวง

รายงานของ สกว. ยังระบุถึงเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นั่นคือการใช้กำลังทหาร “ขอคืนพื้นที่” เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ตามมาด้วยการปะทะและการปรากฏตัวของ “ชายชุดดำ” กลุ่มติดอาวุธที่ยังไม่สามารถระบุได้ รัฐบาลจึงตัดสินใจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมต้องใช้วิธีการตั้งรับหรือตอบโต้ด้วยความรุนแรงในนาม “การป้องกันตนเอง” และทำให้ผู้ชุมนุมที่มีลักษณะรุนแรงสุดโต่งซึ่งเป็นส่วนน้อยมีอิทธิพลต่อ ขบวนการเคลื่อนไหวมากขึ้น

การปรากฏตัวของ “ชายชุดดำ” ที่นำไปสู่การสูญเสียของฝ่ายทหารจึงทำให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ครั้ง หลังเป็นลักษณะการทำสงครามมากกว่าการสลายการชุมนุม โดยเน้นการโจมตีก่อนเพื่อป้องกันการสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่

คณะทำงานยุทธศาสตร์สันติวิธียังเตือนว่าอันตรายใหญ่หลวงจะบังเกิดขึ้นกับ สังคมหากฝ่ายความมั่นคงมองไม่เห็นความจริงในสังคม หากการตัดสินใจของฝ่ายรัฐในสถานการณ์ขัดแย้งที่ล้ำลึกนั้นเชื่อมโยงกับงาน ข่าวความมั่นคงที่มีข้อมูลและการข่าวแบบความเชื่อบดบังความจริง ซึ่งต้องยอมรับว่าในภาพใหญ่ของสังคมไทยขณะนี้กำลังเปลี่ยนแปลง และคำตอบความมั่นคงของสังคมไทยที่ยั่งยืนในอนาคต ผู้มีอำนาจต้องไม่เลือกข่าวเฉพาะที่ตอบสนองต่อเป้าหมายของตนเอง หรือโดยอาศัยกำลังทหารเป็นหลัก

“อัมสเตอร์ดัม” สู้ไม่ถอย

ด้านนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความสำนักงานทนายความอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ ซึ่งเป็นทนายความของ นปช. ในการยื่นเรื่องฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court-ICC) ที่วิดีโอลิ้งค์มายังที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยอมรับว่าการที่ไอซีซีจะรับคดีมีน้อย แต่จะรวบรวมหลักฐานและยื่นคำร้องไปใหม่เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากไอซีซี แต่ทีมทนายจะหาวิธีช่วยคนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายให้ได้ ทั้งที่ผู้ก่อการร้ายตัวจริงคือคนที่สั่งฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น

นายอัมสเตอร์ดัมยืนยันว่า ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ในอำนาจจะต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเปิดโปงการ ก่ออาชญากรรมในประเทศไทย และตราบใดที่องค์กรต่างประเทศยังเพิกเฉยก็จะต่อสู้ต่อไป โดยจะเขียนจดหมายถึงสถานทูตต่างๆว่า We Count to เพื่อแสดงว่าคนเสื้อแดงยังมีตัวตนอยู่และต้องการความยุติธรรม นอกจากนี้ทีมทนายความจะผลักดันพรรคประชาธิปัตย์ออกจากสมาพันธ์เสรีนิยม ระหว่างประเทศ เพราะปกปิดคดีอาชญากรรมระหว่างมนุษยชาติ

“ผมคงอยู่ในโลกไม่ได้หากปล่อยให้ปิศาจอยู่ในโลก แม้ประเทศไทยไม่ได้ลงสัตยาบันกับไอซีซี แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ผิดพลาดที่ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษที่ได้รับโดยกำเนิด ฉะนั้นนายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในเขตอำนาจของไอซีซี จึงไม่ต้องคำนึงถึงสถานที่การก่ออาชญากรรม ผมและทีมงานจะนำเรื่องร้องทุกข์ขึ้นสู่กระบวนการให้สำเร็จ ขอให้เชื่อมั่นว่าการต่อสู้จะดำเนินต่อไป ไม่ปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล แกนนำ นปช. จะไม่โดนขังคุกอย่างไม่ชอบธรรมแน่นอน”

ประชาชนปฏิวัติ!

ดังนั้น ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังเป็นรัฐบาล และดีเอสไอยังเป็นเจ้าของคดี 91 ศพ การชันสูตรพลิกศพจะยังมืดมน และไม่มีวันที่ “ความจริง” จะปรากฏว่าแต่ละรายเสียชีวิตอย่างไร ใครเป็นคนยิง ทั้งที่สังคมไทยและคนทั่วโลกรู้ดีว่าใครเป็นคนสั่ง ใครเป็นฆาตกร
การได้มาซึ่งความจริงและความยุติธรรมจึงเป็นไปไม่ได้เลยหากคนเสื้อแดงจะรอ ความหวังจากรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมที่วันนี้ผูกพันและถูกครอบงำโดยกลุ่ม อำมาตยาธิปไตย ความยุติธรรม 2 มาตรฐานจึงเป็นความชั่วร้ายที่แม้แต่อำนาจตุลาการยังเกิดวิกฤตศรัทธาอย่าง ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

อย่างที่สำนักข่าวอัลจาซีราตีพิมพ์บทความเรื่อง “อะไรที่ทำให้การปฏิวัติสำเร็จ” ของนาย Roxane Farmanfarmaian นักวิชาการรัฐศาสตร์และต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และศูนย์ตะวันออกกลางมหาวิทยาลัยยูทาห์ ซึ่งอยู่ในอิหร่านช่วงเกิดการปฏิวัติและวิกฤตตัวประกันที่อิหร่านจับชาว สหรัฐเป็นตัวประกันถึง 444 วัน เปรียบเทียบการปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี 1979 กับการประท้วงใหญ่ในอียิปต์ว่า การปฏิวัติอิหร่านให้บทเรียนที่อียิปต์ 5 บทเรียนสำคัญคือ 1.การปฏิวัติต้องใช้เวลา 2.ระบอบที่หยั่งรากไม่จากไปอย่างเงียบๆ 3.กองทัพไว้ใจอะไรไม่ได้ 4.การนัดหยุดงานเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ และ 5.การเบี่ยงเบนสื่อที่ถูกควบคุมโดยรัฐเป็นความสำเร็จสำคัญ

โดยเฉพาะการลุกฮือของประชาชนในอียิปต์นั้นสะท้อนถึงยุคสมัยที่การประท้วง เริ่มต้นจากการใช้บล็อกและทวิตเตอร์ รวมถึงมีแรงสะสมจากรายการโทรทัศน์บนอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค และโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค จะสั่งตัดอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่สามารถปิดกั้นการสื่อสารได้

ขณะที่นายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็น “ตัวตลกโลก” เมื่อผู้สื่อข่าวต่างชาติให้ออกความเห็นถึงนายมูบารัคซึ่งขณะนั้นกำลังถูก ชาวอียิปต์ลุกฮือขับไล่ว่าควรเคารพความต้องการของประชาชนและปฏิบัติหน้าที่ ของตนเอง ทั้งยังฝากถึงผู้นำประเทศที่เผชิญกับการลุกฮือของประชาชนว่าต้องรู้จักอดทน อดกลั้นและไม่ใช้ความรุนแรง แต่กรณีรัฐบาลไทยและกองทัพต้องใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดงจนมีผู้ชีวิตและ บาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะมีการยิงอาวุธระเบิดและบุกรุกเข้าไปในโรงพยาบาล จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นระเบียบเรียบ ร้อยของประเทศ

คำพูดของนายอภิสิทธิ์จึงสะท้อนชัดเจนว่าทำไม 9 เดือนที่ผ่านมาคนเสื้อแดงจึงยังต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ความยุติธรรมและ ประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนกลับคืนมา เหมือนคนตูนิเซียและอียิปต์ที่ทำให้ผู้นำเผด็จการทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง และรัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกที่ยังปกครองภายใต้อำนาจเผด็จการต้องหวาดผวาและ ปรับตัวก่อนจะถูกประชาชนปฏิวัติ

คนเสื้อแดงจึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะต่อสู้เพื่อ ให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน ไม่ใช่ แค่ให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงชั่วคราว

เพราะประวัติศาสตร์ทั่วโลกยืนยันว่าไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจของประชาชน!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 299 วันที่ 19-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน


จดหมายเปิดผนึก ‘โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม’

นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความต่างประเทศของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงพี่น้องเสื้อแดง บอกเล่าอะไรหลายเรื่องที่น่าสนใจ มีใจความดังนี้

ทำเพื่อความยุติธรรม

เรียน สหายที่รักทุกท่าน

ตั้งแต่การแถลงข่าวของผมที่ประเทศญี่ปุ่นได้มีการถกเถียงอภิปรายคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง หลายคนกล่าวหาว่าเหตุผลที่ผมยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเพราะผมจงใจทำลายประเทศไทย บ้างก็หาว่าผมต้องการเอาใจนายจ้าง หรือไม่ก็หาว่าผมเห็นแก่เงิน

ผมยื่นคำร้องดังกล่าวด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกคือ ผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯเมื่อ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จึงตั้งใจที่จะบันทึกเหตุการณ์นองเลือดดังกล่าว โดยผมเชื่อว่าในหลายปีที่ผ่านมาการบันทึกรายละเอียดของความอยุติธรรมจะช่วย หยุดยั้งความอยุติธรรมในที่สุด การทำงานของผมในรัสเซีย ผมต้องสูญเสียกลุ่มเพื่อนและทนดูคนทำผิดลอยนวล ซึ่งในความจริงแล้วมันยากสำหรับผมที่จะมองดูคนทำผิดลอยนวล เมื่อก่อนผมเข้าใจว่าการยื่นคำร้องนี้เป็นเรื่องยากมาก เพราะศาลอาญาระหว่างประเทศมักเลือกรับคดีที่มีคนตายเป็นจำนวนหลายล้านคน

ว่าด้วยสัญชาติอังกฤษ

แต่หลังจากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศตัดสินใจรับคดีของเคนยาเมื่อเดือน มีนาคมปีที่แล้ว ทำให้เราพอมีหวัง เพราะคดีของเคนยาไม่ใช่เหตุการณ์สงคราม แต่เป็นเรื่องความวุ่นวายที่เกิดจากความรุนแรงหลังการเลือกตั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1,200 ราย ระยะเวลาของเหตุการณ์กินเวลานานเป็นอาทิตย์ไม่ใช่เป็นเดือน และผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้ยังได้เดินทางมาเยือนกรุงเทพฯเมื่อไม่นานมานี้ด้วย

กรณีของเคนยาทำให้คำร้องของเรามีโอกาสในระดับหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงคือประเทศไทยไม่ได้ลงนามในศาลอาญาระหว่างประเทศ ตอนที่ผมคุยกับกลุ่มคนไทยและมีคนหนึ่งถามผมว่าจะช่วยอะไรมากไหมหาก “นายมาร์ค” เป็นคนอังกฤษ ปัจจุบันประเด็นดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ทุกคนพูดถึง ณ วันนี้ “นายมาร์ค” (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ล้มเหลวที่จะแสดงเอกสารว่าเขาได้สละสัญชาติอังกฤษแล้ว เป็นการย้ำว่าประเด็นที่ “นายมาร์ค” เป็นและยังคงถือสัญชาติอังกฤษอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้น เขาจึงตกอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ

ต้องทำให้เป็นนิติรัฐ

อย่างไรก็ตาม แม้เราจะยกเรื่องเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศและประเด็นการรับพิจารณาคดี เหตุการณ์ในประเทศไทย แต่โอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับพิจารณาคดียังคงมีน้อย แต่หากศาลไม่รับฟ้องเราสามารถแสดงหลักฐานเพิ่มเติมและยื่นคำร้องใหม่ได้อีก ครั้ง และนั่นเป็นสิ่งที่เราจะทำอย่างแน่นอน

ไม่ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับหรือไม่รับพิจารณาคดีก็ตาม เราจะเดินหน้าหาหนทางที่จะทำให้ประเพณีการละเว้นโทษสิ้นสุดลง เพื่อนำความเป็นธรรมมาให้แก่เหยื่อความรุนแรงของรัฐ ประเทศไทยจะสงบสุขได้ก็ต่อเมื่อเมื่อเกิดหลักนิติรัฐ ไม่ว่าวิธีการที่จะได้มาซึ่งหลักนิติรัฐจะยากและเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม เพราะหากมีการละเว้นโทษแก่เจ้าหน้าที่รัฐในนามของการ “ปรองดองสมานฉันท์” และ “การให้อภัย” แล้วย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าโศกนาฏกรรมแบบเดิมจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสงบสุขและความสมานฉันท์ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพูดความ จริงเท่านั้น

เผยโฉมผู้ก่อการร้ายที่แท้จริง

ประการที่สองคือ ผมเป็นตัวแทนของแกนนำเสื้อแดงทั้ง 19 คนที่ถูกคุมขังในข้อหาก่อการร้ายในขณะนี้ พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาที่ไร้สาระดังกล่าว พวกเขาถูกลิดรอนสิทธิในการพิจารณาคดีในศาล และเพื่อที่จะรักษาชีวิตของพวกเขา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะบันทึกว่าใครคือผู้ก่อการร้ายที่แท้จริง ผู้ก่อการร้ายที่แท้จริงคือบุคคลที่สั่งฆ่าพลเรือนอย่างเลือดเย็น และเรารู้ว่าพวกเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน

ประการที่สามคือ เราจัดทำเว็บไซต์ว่าด้วยเรื่องความรับผิด http://www.thaiaccountability.org/ ทั้งนี้ เพื่อจะย้ำให้เห็นถึงประเพณีการละเว้นโทษ ไม่นานมานี้ผมเดินทางไปยังกรุงเจนีวาเพื่อเป็นที่ปรึกษากฎหมายเกี่ยวกับคดี ที่ ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น ยื่นต่อสหพันธ์รัฐสภาสากล (Inter-Parliamentary Union) ดร.วิบูลย์ทำงานอย่างดีในการนำเสนอให้เห็นถึงการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายใน การลิดรอนสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองทั้ง 215 คน เป็นเวลา 5 ปี และการสั่งยุบพรรคการเมืองด้วยการใช้หลักความรับผิดร่วมตามมาตรา 237 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยรัฐบาลทหาร ผมรู้สึกยินดีที่จะประกาศว่าในวันศุกร์ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้รับแจ้งจาก สหพันธ์รัฐสภาสากลว่าจะเข้ามาสอบสวนกรณีที่ ดร.วิบูลย์ได้ร้องเรียนไป

ประเพณีละเว้นโทษ

ประการที่สี่ ในอาทิตย์นี้เราจะเริ่มดำเนินการขับพรรคประชาธิปัตย์ออกจากสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยม ไม่ใช่เพียงแค่เพราะพรรคประชาธิปัตย์สั่งปิดเว็บไซต์ หรือผลักเรือของผู้ลี้ภัยโรฮิงญาออกไปยังน่านน้ำสากล แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาพยายามปกปิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอีกด้วย

การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการต่อต้านคนไทยหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ แต่เป็นการกระทำที่ต่อต้านนายมาร์ค ประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และประเพณีการละเว้นโทษ ผู้นำทางการเมืองทุกคนต่อสู้เพื่อให้คงประเพณีนี้โดยใช้กระแสชาตินิยมเป็น เครื่องมือ ยุทธศาสตร์นี้ถือเป็นที่รู้จักกันทั่วไป มีชื่อว่ายุทธศาสตร์ห่อหุ้มตนเองด้วยธงชาติ หรือบางประเทศใช้สงครามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาทางการเมืองที่แท้ จริง ดูตัวอย่างจากภาพยนตร์ที่ชื่อว่า wag the dog ซึ่งนำแสดงโดยดัสติน ฮอฟฟ์แมน ผมเชื่อว่าเราน่าจะส่งวิดีโอการปะทะที่ชายแดนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปให้เขาดู

ไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน

ส่วนเรื่องการโจมตีผมด้วยเรื่องส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะผมได้รับค่าจ้างจากการทำงานนี้ คำถามคือจำเป็นไหมที่ผมจะต้องหาเงินจากการทำงานให้คนเสื้อแดงและทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)

ด้วยความเคารพ ผมเลือกงานนี้เพราะนอกจากจะได้รับเงินค่าจ้างแล้ว ผมยังเชื่อในอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง นายมาร์ครู้ดีว่าเงินไม่ใช่สิ่งจูงใจผม เพราะผมทำงานให้กับ ดร.ฉี ซูน จวน ผู้นำพรรคประชาธิปไตยในสิงคโปร์ พรรคการเมืองน้องๆของพรรคนายมาร์คเป็นเวลา 5 ปี ผมทำงานนี้เพื่อประชาธิปไตยและไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ นายมาร์คและหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รู้ดี แต่พวกเขาเลือกที่จะเพิกเฉยกับข้อมูลนี้เพราะมุ่งที่จะโจมตีผมด้วยเรื่อง ส่วนตัว และเลี่ยงที่จะกล่าวถึงเนื้อหางานที่ผมทำในนามของพวกท่าน เพราะพวกเขาไม่สามารถโจมตีเนื้อหางานผมได้ เป็นเวลาหลายเดือนที่เราจัดทำเอกสารหลายร้อยหน้าและรวบรวมหลักฐานที่ต่อต้าน การกระทำของรัฐบาลในสมุดปกขาว คำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศสองฉบับ คำร้องต่อสหพันธ์รัฐสภาสากล คำร้องต่อสหพันธรัฐพรรคการเมืองเสรีนิยม และบทความหลายบทความในบล็อกของเรา จนถึงทุกวันนี้รัฐบาลหรือกลุ่มอำมาตย์ล้มเหลวที่จะโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ อยู่ในเอกสารเหล่านี้

ประชาชนต้องเข้มแข็ง

เมื่อไม่นานมานี้มีการพูดคุยถึงเรื่องการปฏิรูปและ “ปรองดองสมานฉันท์” บ่อยครั้งในประเทศไทย ในฐานะนักกฎหมายที่มีประสบการณ์ในหลายประเทศที่ระบบนิติรัฐอ่อนแอ ผมขอเสนอแนะแนวทางการปฏิรูปที่อาจช่วยนำพาประเทศไทยไปสู่ความสงบสุขและความ เป็นประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน

สิ่งสำคัญอย่างแรกที่จะสร้างความ“ปรองดองสมานฉันท์” คืออำนาจของพลเรือนต้องเข้มแข็งเหนืออำนาจของกลุ่มทหารและอำมาตย์ โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ ก) กองกำลังติดอาวุธต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน ข) เสริมสร้างและพัฒนาประชาธิปไตยและสถาบันของรัฐ และ ค) ขยายช่องทางในการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย

ประชาชนเลือก ส.ส., ส.ว.

รัฐธรรมนูญในประเทศไทยทุกฉบับให้อำนาจสูงสุดแก่ประชาชน แต่ในทางปฏิบัติแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย อำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเมื่อ ก) ปฏิรูปหรือปรับปรุงให้องค์กรรัฐบาลทั้งสามองค์กรมีความทันสมัย ข) องค์กรดังกล่าวมีความเป็นอิสระและแยกออกจากกัน และ ค) ปลดอำนาจและอิทธิพลของกองทัพ ข้าราชการ และผลประโยชน์ทางการเงินออกจากองค์กรทั้งสาม

องค์กรของรัฐทั้งสามต้องทำหน้าที่เพื่อการันตีว่าประชาชนไทยจะมีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดี มีเสรีภาพ ได้รับความเป็นธรรม มีความปลอดภัย และมีสิทธิในการพัฒนาความเป็นปัจเจกชนของพวกเขา แนวความคิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจะต้องมีการยกเลิกหลักการปกป้องอำนาจ และอภิสิทธิ์ของคนกลุ่มน้อย

ประการแรก อำนาจในการตรากฎหมายจะต้องเป็นของรัฐสภา และสภาทั้งสองจะต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทุกที่ และเป็นการลงคะแนนเลือกตั้งลับ รัฐสภาต้องนำเสนอความต้องการที่หลากหลายในสังคมไทย อาทิ ความต้องการจะต้องสอดคล้อง ไม่ใช่มาจากความรู้สึกจอมปลอมของคำว่า “ความเป็นหนึ่งเดียว” ที่ถูกบังคับใช้จากเบื้องบน แต่ควรจะมาจากการแข่งขันทางความหลากหลาย การถกเถียงที่มีเนื้อหาโครงสร้าง และการประนีประนอม

ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม

ประการที่สอง หนึ่งในความอ่อนแอของโครงสร้างหลักของรัฐไทยคือ ความผิดพลาดและการเลือกปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรม การปฏิบัติที่โบราณคร่ำครึ กระบวนการพิจารณาคดีที่ล่าช้า ขาดความทันสมัยในการบริหารจัดการสำนักงาน และไม่มีการตรวจสอบการโกงกินและความไร้ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้องค์กรยังเต็มไปด้วยการแทรกแซงทางการเมือง ความสองมาตรฐานในการดำเนินคดี รวมถึงคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปและปรับปรุงองค์กรยุติธรรมให้ทันสมัยควรจะเริ่มจากการหยุดยั้งการ ปกปิดประเพณีการละเว้นโทษและการโกงกินอย่างเป็นระบบ รวมถึงการันตีความยุติธรรมและเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย

ประการที่สาม ฝ่ายบริหารต้องนิยามคำว่า “ความมั่นคง” ใหม่ กองทัพควรมีหน้าที่ปกป้องภัยอันตรายจากภายนอกเท่านั้น ส่วนหน้าที่ในการป้องกันภัยต่อพลเรือนและความมั่นคงภายในควรเป็นเรื่องของ ตำรวจ ความมั่นคงของประชาชนและรัฐไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการลิดรอนสิทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของพลเรือน ความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจ ความยากจน การเลือกปฏิบัติทางการเมืองและสังคม และการโกงกินต่างหากที่เป็นปัจจัยเสี่ยงและภัยโดยตรงต่อระบอบประชาธิปไตย ความสงบสุขทางสังคม และหลักการประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ

ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน

การที่จะการันตีประชาชนว่ามีความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และส่งเสริมศักยภาพชุมชนและปัจเจกชน ประเทศไทยต้องตรากฎหมายสิทธิทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น สิทธิที่จะได้รับการศึกษา สิทธิในการมีที่อยู่อาศัย สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิในการได้รับค่าจ้างในการทำงานอย่างเป็นธรรม สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม สิทธิในการพักผ่อนหย่อนใจ สิทธิในการสร้างและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน และสิทธิที่จะได้รับความมั่นคงในชีวิตเมื่อว่างงาน เจ็บป่วย พิการ เป็นม่าย ชราภาพ หรือไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปรกติในสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ ตามคำประกาศสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระบุว่า “มารดาและเด็ก” จะต้องได้รับความดูแลเป็นพิเศษ สตรีจะต้องได้รับสิทธิที่หลากหลายในการมีบุตร

รัฐบาลจะต้องทำทุกอย่างภายใต้อำนาจที่ตนมีเพื่อจะการันตีประสิทธิภาพของ สิทธิเหล่านี้ และสมาชิกทุกคนในสังคมให้มีสิทธิเท่าเทียม ไม่ว่าจะเขาจะมีเพศ เชื้อชาติ หรือภาษาวัฒนธรรมใดก็ตาม สรุปคือจะต้องมีการก่อตั้งรัฐสวัสดิการเพื่อเอื้อให้ประชาชนไทยได้มีสิทธิ ทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยใช้รายได้จากการเก็บภาษีก้าวหน้า ซึ่งคนรวยต้องจ่ายมากที่สุด

ห้ามกองทัพฆ่าประชาชน

ในกรณีของความมั่นคงส่วนรวมจะต้องมีการสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิส่วน รวมเพื่อสร้างความมั่นคงต่อสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองของพลเรือน กล่าวคือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯภายในปี 2551 จะต้องถูกยกเลิกและร่างใหม่ ต้องมีการปฏิรูป พ.ร.ก.ฉุกเฉินปี 2548 อย่างครอบคลุม ตามหลักสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง ซึ่งจำกัดการลิดรอนสิทธิตามรัฐธรรมนูญต่อเมื่อมีภัยคุกคามชีวิตของประชาชน ส่วนรวมเท่านั้น จะต้องมีการร่างข้อกำหนดใหม่เพื่อไม่ให้กองทัพมีโอกาสใช้ปืนยิงประชาชนอีก และต้องมีการปรับปรุงสำนักงานตำรวจให้ทันสมัยและเป็นกองกำลังมืออาชีพ มีการฝึกอย่างเหมาะสมในการควบคุมฝูงชน โดยมีมาตรฐานทางสิทธิมนุษยชน และได้รับการเคารพจากประชาชนที่พวกเขามีหน้าที่ “ปกป้องและรับใช้”

ให้ประชาชนมีส่วนร่วม

การสร้างความเข้มแข็งให้กับอำนาจพลเรือนจะต้องเพิ่มความสามารถของพลเรือน ในการมีส่วนร่วมทางสังคม โดยเพิ่มโอกาสการมีส่วนร่วมของพลเรือน และสร้างความสามารถในการมีส่วนร่วมตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าเขาจะมาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือสถานะทางสังคมแบบไหนก็ตาม

การให้ประชาชนไทยได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่และได้รับข้อมูล ข่าวสารอย่างทั่วถึงทุกมุมเกี่ยวกับสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และต้องยกเลิกการจำกัดเสรีภาพในการพูดที่มีอยู่ตอนนี้ทั้งหมด

นอกจากนี้การปฏิรูปที่เน้นย้ำให้ประชาชนมีส่วนร่วมต้องมีการปฏิรูประบบ การศึกษาอย่างครอบคลุม อาทิ เป้าหมายแรกไม่ควรเน้นแนวคิดความเป็นหนึ่งเดียว แต่ควรเน้นการพัฒนาความสามารถ ความเป็นปัจเจกชน และความมีประสิทธิภาพทางการเมืองของพลเรือน

คนผิดต้องได้รับการลงโทษ

การทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้นจะต้องมีการปฏิรูปโดยการกระจายอำนาจรัฐ เพื่อทำให้อำนาจรัฐสร้างประโยชน์แก่ประชาชนให้มากที่สุด และสิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนให้ดีขึ้น ไม่เพียงแต่องค์กรรัฐในระดับจังหวัดและเทศมนตรีเท่านั้นที่ควรมีอำนาจอย่าง เต็มที่ แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ควรถูกแต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทยอีกต่อไป ควรจะมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนที่พวกเขาต้องรับใช้

ท้ายที่สุดแล้วความสงบสุขที่ถาวรเกิดจากรากฐานของความยุติธรรม “การรับผิดและความยุติธรรมจะปกป้อง ป้องกันสิทธิ หยุดยั้ง และเตรียมพร้อมไม่ให้เกิดการกระทำผิดอีก” องค์กรสหประชาชาติกล่าวไว้ในหลักปฏิบัติว่าด้วยการละเว้นโทษ และนอกจากจะจัดตั้งสิทธิในการรับรู้ส่วนบุคคลของสังคมและสิทธิในการรู้ ข้อมูลของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังมีการพูดถึงเรื่องสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม ซึ่งรัฐจะต้องการันตีว่า “บุคคลที่มีส่วนรับผิดในอาชญากรรมรุนแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศจะถูก ดำเนินคดี พิจารณาคดี และลงโทษ”

อย่าให้คนผิดลอยนวล

ประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ การจัดการกับอดีตและการดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อเหยื่อการทำ ร้ายอย่างเป็นระบบเป็นพื้นฐานเดียวที่จะสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและสงบ สุขให้กับสังคม ควรมีการตั้ง “คณะกรรมการค้นหาความจริงและปรองดองสมานฉันท์” อย่างแท้จริง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการสมานฉันท์ปรองดอง โดยอาจใช้รูปแบบของประเทศแอฟริกาใต้ จุดมุ่งหมายของคณะกรรมการไม่ควรตรวจสอบแต่เหตุการณ์ความรุนแรงล่าสุด แต่ควรตรวจสอบเหตุการณ์ฆ่าหมู่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในปี 2516, 2519 และ 2535 ด้วย

เราไม่ควรปล่อยให้พวกอำมาตย์ลอยนวลจากอาชญากรรมสังหารประชาชนอีกครั้ง เราต้องช่วยกันหยุดยั้งประเพณีการละเว้นโทษ เราจะต้องไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพควบคุมอนาคตประเทศไทย อนาคตอยู่ในกำมือของพวกท่าน

ศรัทธาเสื้อแดง

ผมอยากกล่าวอีกครั้งว่าผมรู้สึกเป็นเกียรติมากแค่ไหนที่ได้เป็นตัวแทนคน เสื้อแดง ผมรู้สึกท่วมท้นในศรัทธาที่พวกคุณมีต่อหลักนิติรัฐที่จะช่วยปรับปรุงระบบ กฎหมาย ความจริงใจของพวกคุณที่ต้องการจะสร้างความปรองดองและเป็นธรรมช่างต่างจากการ ที่กองทัพและรัฐบาลพยายามจะทำลายการเคลื่อนไหวนี้และกำจัดแกนนำของพวกท่าน โดยกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงของผู้ก่อการร้าย

มุมมองที่สำคัญของคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศคือเป็นสิ่งที่พิสูจน์ ว่าเราหยิบยกแผนการของรัฐบาลอัปยศที่ต้องการลอบสังหารแกนนำของพวกท่านและ พยายามปกปิดหลักฐานเพื่อไม่ให้นายอภิสิทธิ์และกองทัพต้องรับผิดขึ้นมาพูดถึง และวิธีการหนึ่งที่จะโจมตีประเพณีการละเว้นโทษคือการรณรงค์เขียนจดหมายถึง สถานทูตสหรัฐว่า “We Count TOO” เพราะรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถสนับสนุนผู้ชุมนุมที่จัตุรัสทาห์รีร์ แต่ยังคงสนับสนุนรัฐบาลทหารในไทยได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 12 ฉบับที่ 2991 ประจำวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
โดย : ทีมข่าวการเมือง


เปิดคำให้การผู้เชี่ยวชาญด้านทหาร พยานคดี”เม.ย.-พ.ค.53″

หมายเหตุ : โจ เรย์ วิทตี้ พยานผู้เชี่ยวชาญ ให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงเดือนเม.ย. และพ.ค. 2553 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำร้อง ที่สำนักงานทนายความ อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ ในนามตัวแทนกลุ่มนปช. ยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ขอให้อัยการเปิดสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

โจ เรย์ วิทตี้ อ้างประสบการณ์ เป็นจ่าสิบโท (เกษียณ) พลซุ่มยิงและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธระเบิด หน่วยรบพิเศษของกองทัพบกสหรัฐ เคยฝึกซ้อมรบกับทางกองทัพบกไทย, อยู่หน่วยสวาท (อาวุธและกลยุทธ์พิเศษ) และเป็นครูฝึกให้กับกรมตำรวจนครลอสแองเจลิส (LAPD) ด้านการควบคุมฝูงชน พร้อมอ้างอิงประสบการณ์ภาคสนาม ความรู้เรื่องอาวุธ

ได้ตรวจสอบและประเมินเหตุการณ์จากภาพวิดีโอ ภาพถ่าย คำให้การพยาน สัมภาษณ์ และตรวจสอบจากสถานที่เกิดเหตุในกรุงเทพฯ จนได้ข้อสรุปและข้อคิดเห็น มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้

วันที่ 10 เม.ย. 2553

ไม่ได้ปฏิบัติการจัดการฝูงชนอย่างสมควรแก่เหตุ แต่จงใจปิดล้อมทางออก ต้อนผู้ชุมนุมให้อยู่ในพื้นที่จำกัด และกระทำการอันผิดกฎหมายที่หมายยั่วยุให้ฝูงชนใช้ความรุนแรง เพื่ออ้างเหตุผลใช้ความรุนแรง

โดยใช้พลซุ่มยิงที่มีความเชี่ยวชาญสูง มาซุ่มยิงผู้ชุมนุมโดยที่ไม่มีการยั่วยุ ใช้อาวุธทางการทหาร รวมถึงปืนไรเฟิล M-16 และอาวุธปืนอัติโนมัติบรรจุกระสุนจริงยิงตรงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น

จงใจให้เกิดระเบิดในระยะประชิดของกองทหาร เป็นรูปแบบ “การยิงจากพวกเดียวกัน” เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าทหารถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าโจมตี

เป็นปฏิบัติการทางทหารโดยแท้จริง ไม่ได้สอดคล้องกับมาตรฐานของการจัดการฝูงชนที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป

การชุมนุม 10 เม.ย. 2553 ทหารเตรียมพร้อมในชุดป้องกันการปะทะการจลาจล ที่ออกแบบมาสำหรับสวมใส่ในสถาน การณ์ที่ต้องมีการการจัดการฝูงชน ได้แก่ หมวกกันน็อก ที่กั้นใบหน้า ที่กันกระแทกหน้าอก หัวไหล่ ท่อนแขนบน ปลายแขน ข้อศอก มือ และหน้าแข้ง

บางคนใส่หน้ากากป้องกันแก๊ส ที่ใช้ในการปฏิบัติการโดยใช้แก๊สน้ำตา

ทหารหลายนายติดอาวุธปืนไรเฟิล M-16 สวมอุปกรณ์ป้องกันการจัดการฝูงชน การสวมอุปกรณ์ป้องกันพร้อมติดอาวุธผิดการจัดการฝูงชน

ตามคำให้การพยาน วิดีโอและหลักฐานทางวัตถุ มีทหารยิงด้วยกระสุนยาง เตือนก่อน อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บทางร่างกายรุนแรงได้ การใช้กระสุนแบบนี้ขัดต่อระเบียบปฏิบัติในการจัดการฝูงชนที่เป็นที่ยอมรับ

ปลอกกระสุนของปืนลูกซองขนาด 12-gauge ที่เก็บได้จากบริเวณชุมนุม แสดงว่ามีทหารบางนายบรรจุและใช้กระสุนจริงยิง

ทหารส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสวมใส่เครื่องป้องกัน และติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติรุ่น Tarov-21 หรือ M-16 แสดงว่าคำสั่งต้องการให้สู้รบมากกว่าจะจัดการฝูงชนอย่างเข้มงวด

ช่วงกลางวันวันที่ 10 เม.ย. จากการฟังคลิปเสียงมีการยิงโดยใช้อาวุธแบบอัตโนมัติ 3 ชุด ทหารหลายนายที่ยิงปืนทำมุมขึ้นเหนือฝูงชนใช้กระสุนจริง เพราะไม่มีการติดตั้ง “ปลอกทวีแรงถอย” (BFA)

ปลอกทองเหลืองที่เก็บกู้ได้จากรอบบริเวณที่ชุมนุม มาจากกระสุนจริง เพราะไม่จีบรอบหัวกระสุนเหมือนกับที่พบในหัวกระสุนของลูกเปล่า

การยิงลูกกระสุนจริงขึ้นฟ้าอันตรายมาก ตามคู่มือกองทัพสหรัฐ FM 3-22.9 (M16/ไรเฟิล A2) ช่วงระยะยิงสูงสุดคือ 3,600 เมตร การยิงขึ้นฟ้าอาจทำอันตรายใครก็ได้ที่อยู่ในรัศมี

การตรวจสอบวิดีโอหลายรายการ เชื่อว่ารัฐบาลไทยกระทำการที่ไม่เหมาะสมในการจัดกำลังพลในการจัดการฝูงชน มีทหารหลายนายสวมอุปกรณ์ป้องกันควบคู่กับการติดไรเฟิลจู่โจม ผู้ที่สมควรได้รับหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจในการจัดการฝูงชน ควรเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี แต่นี่กลับเป็นกำลังพลทหารที่ปฏิบัติภารกิจ

การจัดการฝูงชน การตั้งแนวป้องกันต้องเห็นได้ชัดและเข้าถึงพื้นที่ มีทางออกหลักอย่างน้อยหนึ่งทางให้ฝูงชน ผู้นำใช้ระบบกระจายเสียงประกาศคำสั่งสลายฝูงชนและแจ้งทางออก ให้เวลาฝูงชนทำตามคำสั่ง

ตั้งแถวเดินตรงไปยังฝูงชนช้าๆ แจ้งขั้นตอนต่างๆ ให้กับฝูงชน อาจใช้รถฉีดน้ำเพื่อให้ฝูงชนสลายตัวเร็วขึ้น และอาวุธที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิตอาจนำมาใช้ได้เฉพาะผู้ฝ่าฝืน มาตรการเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้

ตอนบ่ายของวันที่ 10 เม.ย. มีการกระชับพื้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัว มีรถหุ้มเกราะติดอาวุธปืนอัตโนมัติขนาดใหญ่พร้อมสายกระสุนขนาด.50 และพลยิงสนับสนุน 3 คัน

กำลังพลใส่อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการฝูงชน บางรายติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจม ด้านหลังมีกำลังพลประมาณ 100 กองพล สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เจตนาการปฏิบัติภารกิจไม่ใช่สลายการชุมนุมแต่เป็นการคุกคามพลเมืองที่ ปราศจากอาวุธ

ตรวจสอบหลักฐานภาพถ่ายของพลซุ่มยิง ที่ยิงปืนไรเฟิลจากบนระเบียงชั้น 3 บนอาคารสำนักงานสีขาวที่อยู่ตรงหัวมุมของถนนตะนาวและถนนราชดำเนิน (กองสลากกินแบ่งรัฐบาล) แสดงให้เห็นที่ซ่อนของพลซุ่มยิงในเมือง โดยพลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกทางทหาร

ช่วงกลางคืน หยุดใช้อาวุธจู่โจม M-16 เจ้าหน้าที่บางนายปฏิบัติการอยู่บนถนนดินสอยิงกระสุนวิถีขึ้นสูงเหนือศีรษะ ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่หลายนายยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยตรง โดยไม่มีการติดตั้งปลอกทวีแรงถอย แปลว่าใช้กระสุนจริงยิงใส่ฝูงชน

อาวุธปืนกลหนัก (.50 caliber) ที่ติดตั้งบนพลหุ้มเกราะคันหนึ่งที่ยิงโดยตั้งระบบอัตโนมัติ ลำกล้องอยู่ในระดับสายตา ไม่ติดปลอกทวีแรงถอย ปืนกลประเภทนี้มักใช้ในสมรภูมิรบ ใช้ยิงทำลายยานพาหนะฝ่ายตรงข้าม บางครั้งใช้ในการยิงต่อต้านยานอากาศ ให้ผลทำลายล้างที่รุนแรงมาก มีการยิงตรงไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีผู้ชุมนุมหลายพันคน

ก่อนเวลา 19.15 น. ไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณถนนดินสอเปิดฉากยิงด้วยอาวุธ เห็นเงาทหารที่ยกแขนขึ้นด้านบนซ้ำๆ กัน เป็นการออกคำสั่งให้ทหารเพิ่มการยิงให้มากขึ้น การยิงที่ถี่ขึ้นก็สอดคล้องกับท่าของเงานั้น

เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ บนพลหุ้มเกราะในมือถือปืนกึ่งอัตโนมัติ ตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงที่ขว้างขวดน้ำพลาสติกด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัด ติดต่อกัน ซึ่งเป็นกระสุนจริง เพราะลูกกระสุนเปล่าจากปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะไม่ทำให้ปืนมีแรงดันมากพอที่จะ ทำให้ปืนบรรจุกระสุนชุดใหม่เข้าไปได้เอง

ช่วงเวลาเดียวกัน มีการยิงหลอดไฟถนนตรงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชวนให้คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความสับสน และ/หรือการปกปิด

ตรวจสอบวิดีโอการระเบิดที่สังหารทหารในกองทัพบกหลายนาย บนถนนดินสอ เวลา 19.15 น. แน่ใจว่าการระเบิดครั้งนี้มีสาเหตุมาจากวัตถุระเบิดที่ใช้ในระดับทหาร ซึ่งน่าจะเป็นระเบิดมือ

สะเก็ดระเบิดที่ได้นั้นได้สัดส่วนกันมาก แสดงว่าเผาไหม้ในอัตราคงที่ แต่สะเก็ดจากระเบิดแสวงเครื่องมักไม่ได้สัดส่วนที่เท่าหรือใกล้เคียงกัน เนื่องจากไม่มีทางที่จะประกอบระเบิดได้สมบูรณ์แบบ เพราะไม่ได้ผลิตในโรงงานผลิตระเบิดเพื่อใช้ในระดับทหาร

ประกายไฟจากการระเบิดเป็นชิ้นส่วนของโลหะเหลว เป็นลักษณะของระเบิดทางการทหารที่ออกแบบมาเพื่อให้กระจาย เป็นการระเบิดประสิทธิภาพสูง และทหารที่กระเด็นจากแรงระเบิดก็สอดคล้องกับผลที่จะได้จากระเบิดมือ

การระเบิดสอดคล้องกับการใช้ระเบิดมือแบบขว้าง M 67 ซึ่งนิยมใช้ในกองทัพบกไทย

หลังระเบิดครั้งแรก 34 วินาที ได้ยินเสียงระเบิดลูกที่สองบนถนนดินสอ แม้จะไม่เห็นภาพแต่ก็ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนของเสียงและจังหวะเสียงระเบิด

หลักฐานจากวิดีโอและจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุด้วยตนเอง สรุปได้ว่า ระเบิดครั้งแรกไม่น่าจะมาจากทางฝั่งคนเสื้อแดง เพราะต้องขว้างมาจากระยะทางอย่างน้อย 70 หลา พลทหารทั่วๆ ไปสามารถขว้างระเบิดมือแบบขว้างน้ำหนัก 14 ออนซ์ ได้ในระยะที่น้อยกว่านั้นครึ่งหนึ่ง คือแค่ประมาณ 30 หลา

เมื่อคำนึงถึงระยะโคจรของขวดน้ำที่ถูกขว้างมาจากฝั่งคนเสื้อแดงตรงมายังทางฝั่งทหาร เป็นเรื่องที่แปลกมากที่ทหารจะไม่ทันสังเกตเห็น และกรณีที่มีการยิงระเบิดเข้ามา หรือมีวัตถุที่คล้ายระเบิดแม้อยู่ในระยะไกล ทหารทุกนายได้รับการฝึกในกรณีนี้เป็นพิเศษว่าให้ตะโกนเตือนว่า “ระเบิด” และรีบหาที่กำบัง หรือหมอบราบลงบนพื้น วิดีโอปรากฏชัดเจนว่าทหารไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก่อนที่จะเกิดระเบิดเลย

การปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้องเรียกร้องให้ติดตั้งกล้องวิดีโอในพื้นที่ เข้าใจว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถหาวิดีโอใดๆ ที่บันทึกภาพบุคคลจากฝั่งคนเสื้อแดงขณะ กำลังขว้างระเบิดได้

นายโจ เรย์ วิทตี้ เห็นว่า มีการทิ้งหรือกลิ้งระเบิดมือมากับพื้น โดยบุคคลที่อยู่ภายในรัศมีใกล้เคียงกับจุดที่มีการระเบิด ระเบิดมือ M67 จุดฉนวนภายในเวลา 5 วินาที มีเวลามากพอที่จะแอบทิ้งระเบิดมือ และไปหลบอยู่ข้างหลังพลหุ้มเกราะที่อยู่ไม่ไกล

ได้ยินมาว่ารัฐบาลได้อ้าง “ชายชุดดำ” หรือบุคคลนิรนามอื่นๆ ที่รัฐบาลเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงเป็นผู้ใช้ระเบิดโจมตีเมื่อ วันที่ 10 เม.ย. บนถนนดินสอ ไม่มีการนิรนัยใดๆ ที่สมเหตุสมผล และการที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจอยู่บนถนนดินสอด้วยความเด็ดขาด น่าจะช่วยป้องกันไม่ให้มีชายชุดดำ หรือใครเข้ามาใกล้พื้นที่ได้เลย

หลังเจ้าหน้าที่ถอยร่นยังคงยิงเข้าใส่ฝูงชน มีกรณีตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์คำกล่าวนี้ ชายหนุ่มถือธงที่มีสัญลักษณ์คนเสื้อแดงกำลังเดินข้ามถนนดินสอ ถูกยิงเข้าที่ศีรษะสมองกระจายลงบนพื้นถนน บาดแผลไม่ได้มีสาเหตุมาจากกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. ที่ยิงออกมาจากปืนไรเฟิล M-16 ทั่วไป รอยแตกของบาดแผลเป็นรอยแตกที่มีสาเหตุมาจากกระสุนปืนขนาด .50 caliber หรืออย่างน้อยก็ขนาด 7.62 ม.ม. อย่างไม่ต้องสงสัย

ชายผู้นี้ถูกยิงโดยพลซุ่มยิงที่ใช้ปืนไรเฟิล Remington M24 ที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 7.62 ม.ม. หรือไม่ก็ใช้ปืนไรเฟิล Barrett พร้อมกระสุนขนาด .50 caliber ปืนทั้งสองประเภทนี้มีอยู่ในคลังเก็บอาวุธของกองทัพ

อีกตัวอย่างหนึ่งของการยิงโดยที่ไม่มีการยั่วยุให้เกิดเหตุอันควร ทหารนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตรงขอบถนน สาเหตุที่บาดเจ็บในวิดีโอเห็นไม่ชัด เป็นไปได้ที่อาจเกิดจากการระเบิด หรือจากกระสุนปืนที่ยิงอย่างสะเปะสะปะ พยานปากที่ 15 เข้ามาหาทหารที่บาดเจ็บพร้อมกล่องปฐมพยาบาลที่มีเครื่องหมายกาชาด มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด พยาบาลอาสาผู้นี้ได้รับบาดเจ็บที่เท้า

วันที่ 13- 19 พ.ค. 2553

หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์คำสั่งแก้ไขกฎการใช้กำลังที่ออกมาก่อนหน้านี้ อนุญาตให้มีการใช้กระสุนจริง และอนุญาตให้ใช้ปืนลูกซองต่อกลุ่มคนที่มีอาวุธ และกลุ่มคนที่เข้าข่ายเป็นผู้ก่อการร้ายที่เข้าใกล้เจ้าหน้าที่ โดยให้เล็งเป้ายิงที่ต่ำกว่าระดับหัวเข่า และให้ใช้แก๊สน้ำตาเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ประท้วงที่มีอาวุธได้

ซึ่งโดยหลักการไม่สามารถใช้อาวุธที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตต่อกลุ่มผู้ ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ และไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ห้ามมิให้มีการใช้อาวุธรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก

คำให้การของพยานปากที่ 22, 48 และ 52 เข้าใจว่าช่วงต้นพ.ค. เจ้าหน้าที่ย่านบ่อนไก่ ดินแดงและราชปรารภ ได้รับคำสั่งให้ยิงเป้าเคลื่อนที่ได้ภายในรัศมีที่รับผิดชอบ ซึ่งมีคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากด้านหลังเจ้าหน้าที่ซึ่งที่ประจำในที่สูง ว่ามีการทำตามคำสั่งที่ได้รับในการยิงเป้าเคลื่อนที่ในเขตใช้กระสุนจริง และเข้าใจได้ว่าได้รับคำสั่งไม่ให้มีหลักฐานเป็นภาพถ่าย ที่ปรากฏภาพฆ่าประชาชน และป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายศพ ส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรงต่อบุคคลที่มีภาพถ่าย หรือให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

คำให้การของพยานปากที่ 22 ย่อหน้า 56-57 เข้าใจว่า การฝ่าแนวกั้นเสื้อแดงรอบราชประสงค์วันที่ 19 พ.ค. มีคำสั่งให้ยิงบุคคลต้องสงสัยว่ามีอาวุธ โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าพกพาอาวุธจริงหรือไม่ คำสั่งระบุไว้ชัดเจนว่าการถือหนังสติ๊กก็ถือว่ามีอาวุธไว้ในครอบครองและเป็นอันตราย

ปฏิบัติการกวาดล้างในวันที่ 19 พ.ค. ไม่ใช่การปฏิบัติการเพื่อควบคุมฝูงชนที่เป็นพลเมือง แต่เป็นการปฏิบัติเสมือนเป็นฝ่ายตรงข้ามในสมรภูมิรบ

ที่มา : ข่าวสดรายวัน 1 กุมภาพันธ์ 2554
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ