วาทกรรมตอแหลฉบับออนไลน์

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลัง ปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

ข้อความสรุปท้ายของบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 1 “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการใช้เฟซบุ๊คหรือสังคมออนไลน์ในทางการเมืองที่ได้ รับการตอบรับดีเกินคาด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการต่อสู้ทางการเมืองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

แต่บันทึกของนายอภิสิทธิ์ที่เขียน 3 ตอนนั้นไม่ใช่แค่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นความ จริงทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การจับขั้วทางการเมืองโดย “อำนาจพิเศษ” และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

พายเรือให้โจรนั่ง!

อย่างบันทึกตอนที่ 1 กล่าวถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และ “พายเรือให้โจรนั่ง” ว่าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมนายเนวินที่ตัดสินใจย้ายขั้วทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนั้นตนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านายเนวินตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ ประเทศเดินหน้าได้

ส่วนข้อกล่าวหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ไปปล้นอำนาจใคร แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา ทั้งไม่เคยติดต่อกับทหารคนใด และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้

ตุลาการ “วิบัติ”!

ในบันทึกตอนที่ 1 นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงช่วงก่อนการยุบพรรคพลังประชาชนว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย และได้ไปพบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

“คุณพสิษฐ์บอกผมว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและ ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายพสิษฐ์ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้นัดหมาย แต่ได้รับคำสั่งให้ไปพบนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยทราบก่อนเวลานัดไม่ถึง 1 ชั่วโมง และได้พูดเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนจริง โดยนายอภิสิทธิ์พูดว่า

“แม้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวก็ไม่ มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคง จับมือกันร่วมรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ในเฟซบุ๊ค หลังจากผมรับฟังจากท่านผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผมบอกว่าจะนำความกลับไปบอกผู้ใหญ่ให้ทราบถึงเป้าประสงค์ต่อไป”

นอกจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่ตรงกับนายพสิษฐ์แล้ว ยังทำให้เห็นชัดเจนว่ามี “ผู้ใหญ่” ที่ ไม่ได้เอ่ยนามเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆตามมาอีกหลาย พรรคหลังจากนั้น ซึ่งขณะนั้นคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” มีการพูดถึง อย่างมากมายเพื่อให้นำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมือง

แต่วันนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” กลับกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ พร้อมๆกับปฏิรูปการเมือง เพื่อหยุดปัญหา 2 มาตรฐานและการดึงสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

อำนาจพิเศษ!

ส่วนบันทึกของนายอภิสิทธิ์ตอนที่ 2 “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง” ก็ถูกนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบโต้ว่านายอภิสิทธิ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังแฉหมดเปลือกว่าหากการตั้งรัฐบาลไม่มี “พลังที่ไม่สามารถเลี่ยงได้” บีบบังคับก็จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ซึ่งนายอภิสิทธิ์อ้างในบันทึกว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100% เพราะต้องทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ “ผมต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มี และดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

คำพูดของนายชุมพลจึงไม่เพียงตอกหน้านาย อภิสิทธิ์ว่าโกหก ยังยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลมี “อำนาจพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับนายชุม พล เพราะอีกไม่นานคงทราบว่าการเขียนของตนคืออะไร ทั้งจะไม่หยุดเขียน เพราะต้องการบันทึกความจริงเอาไว้

ถูกยัดเยียดฆ่าประชาชน

อย่างไรก็ตาม บันทึกทั้ง 2 ตอนไม่ฮือฮาเท่าบันทึกตอนที่ 3 โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “ขอเสนอความจริง” เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยระบุชนวนเหตุการณ์ปี 2553 มาจากศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และกล่าวหาว่าศาลตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงใช้วาทกรรม “2 มาตรฐาน” ปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าพยายามประนีประนอม โดยยึดหลักกฎหมายและความถูกต้อง ยอมนั่งเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 2 วัน 6 ชั่วโมง และเสนอทางออกจะยุบสภาช่วงปลายปี เพื่อให้เศรษฐกิจมั่นคงและการเมืองเป็นไปตามกติกา เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น แต่ก็เกิดความรุนแรงเดือน “เมษา-พฤษภา” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าเพราะกองกำลังติดอาวุธ

นายอภิสิทธิ์ระบุอีกว่ามีการวางแผนเป็นขั้นตอนตั้งแต่เหตุการณ์เมษายน 2552 ที่เอามวลชนมาล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และไล่ล่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งมีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์เพื่อให้เข้าใจว่าตน “สั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอม รับวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างสันติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา

“หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภา ไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แกนนำคนเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”

วาทกรรมตอแหล!

ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ยังกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการฝึกอาวุธที่บริเวณแนวชายแดนบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง แต่จนถึงวันนี้ยังจับกุม “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ได้เลย นอกจากการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง รวมถึง “ผังล้มเจ้า” แม้จะกลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว แต่ยังใช้มาตรา 112 กล่าวหาและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อยชีวิต

จนมีคำถามว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนของฝ่ายใดกันแน่ เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ชอบซื้ออาวุธหรือไม่? ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ “ดีแต่พูด” สร้างภาพด้วยวาทกรรมปรองดองและประนีประนอม แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบทาง การเมืองใดๆกับ 91 ศพ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดสั่งสอนนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านว่า

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ก็มักจะอ้างแนวทางการปรองดอง แต่กลับโจมตีว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะทำคือการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศชัดเจนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ปัญหาเศรษกิจและปัญหาปาก ท้องของประชาชน

ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 170 เสียงจะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ เพราะมั่นใจว่าได้มากกว่า 170 เสียงแน่นอน แต่ถ้าแพ้ยับต้องยกบ้านยกเมืองให้กับคนเผาบ้านเผาเมืองไป กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับไม่สามารถจับคนเผา ผู้ก่อการร้าย คนชุดดำได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ใช้กำลังแทบจะทั้งกองทัพ

เรยาการเมือง?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น “ลากไส้อภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งฉายา “เรยาการเมือง” เพราะไม่จริงใจสร้างความปรองดอง เอาประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นส่วนเล็กของปัญหามาทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “แก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น”

โดยเฉพาะบันทึกตอนที่ 3 นายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความ 13 ประเด็นผ่านเฟซบุ๊คตอบโต้บทความของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ความรุนแรงปี 2552 ที่พัทยาว่านายอภิสิทธิ์จงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินที่เป็นชาย ฉกรรจ์ผมสั้นเกรียน ซึ่งมีทั้งปืน มีด และไม้เป็นอาวุธ ดักทำร้ายคนเสื้อแดงระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือจนบาดเจ็บหลายราย หรือกรณีชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่เสียชีวิตเพราะเป็นเหยื่อของการชุมนุมนั้น ผ่านมากว่า 2 ปี คดีคืบหน้าไปถึงไหน ได้คนทำความผิดหรือยัง และทำไมไม่พูดถึงคนเสื้อแดง 2 คนที่กลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยน้ำเจ้าพระยา

ภาพปิศาจ “ทักษิณ”

ส่วนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับการวาดภาพปิศาจใส่ฝ่ายตรง ข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยกับการต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวน มาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว 16.00-17.00 น. ซึ่งโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่บอกว่าไม่ใช่การขอคืน พื้นที่ แต่เป็นการปราบปรามประชาชน ทั้งมีข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต้องให้จบในคืนนั้น” ไม่มีตรงไหนเลยที่อธิบายว่านายอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

“การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี 2553 เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภา ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้น คำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชา เรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า นปช. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ และอยากเห็นว่าเป็นใคร หรือคนที่รัฐบาลจับนั้นเอาไปขังไว้ที่ไหน คนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิต ระบุได้ว่าคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และ มีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจน ทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหน และตายไปแล้วดวงวิญญาณยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏ”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า แกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ หากผิดจริงในคดีก่อการร้ายก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหมที่มีทหารอาวุธครบมือ แล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพ

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีก ผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูดสบตาประชาชนบ้างนะครับ”

มารยาร้อยเล่มเกวียน

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทวีตข้อความตอบโต้นายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คนชุดดำนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนก็เกินพอที่ทำให้นายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนความเสียหายหลังจากนั้นย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกัน

โดยเฉพาะการใช้วาทกรรมสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หรือ “คืนความสุขให้ คนกรุงเทพฯ” และ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ไม่สามารถลบล้างภาพความรุนแรงที่เกิดจากการล้อม ปราบประชาชนด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ได้

ข้อหา “ฆาตกรฆ่าประชาชน” ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นการยัดเยียดให้กับตนนั้นแตกต่างจากที่นาย อภิสิทธิ์และ ศอฉ. โยนความผิดทั้งหมดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งวันนี้ยังจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้ง 91 ศพนั้นมีตัวตนชัดเจน คนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน มีจำนวนมากที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หลายคนต้องพิการ และยังมีผู้บริสุทธิ์อีกหลายร้อยคนถูกจับคุมขังโดยไร้หลักนิติธรรม

บันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” จึงยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ตาสว่าง” และเป็นการประจานตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่เพียงอ้างข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” และ “บิดเบือนข้อเท็จจริง” เท่านั้น ยังเป็นการ “พูดเองเออเอง” เพราะขี้ขลาดและกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย

Facebook ของนายอภิสิทธิ์จึง เป็นแค่ Fakebook ไร้คุณค่า ด้วยวาทกรรมตอแหล “ดีแต่แก้ตัว” ฉบับออนไลน์เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ แต่..

คนไทยส่วนใหญ๋รับไม่ได้กับทักษิณที่มีส่วนในหุ้นชิน แต่รับได้กับมาร์คทีมีลุงนั่งกรรมการ True มีพ่อนั่งกรรมการ CP แล้ว True ได้ทำ 3G ไปแบบผู้บริหาร TOT ลาออกไปครึ่ง อีกทั้งคนไทยกลับรับได้ที่กรณ์มีญาตินั่งกรรมการ Loxley ในขณะที่ตัวเองออกมาปั่นหุ้นหวยออนไลน์

คนไทยรับไม่ได้กับแม้วที่ซื้อขายที่ดินรัชดา แต่กลับรับได้กับสุรยุทธ์ที่เอาที่ดินเขายายเที่ยงไปฟรีๆแค่คืนก็จบโดยไม่ คิดคุกอะไรเลย ถ้าคนตำแหน่งขนาดนั้นอ้างว่าไม่รู้ ผมว่าแม้วก็อ้างได้ครับว่าไม่รู้ หรือแม้กระทั้งเทพเทือกกับลูกชาย ฮุบเขาเป็นลูกๆ คนไทยก็รับได้

คนไทยรับไม่ได้ที่ดาวเทียมไทยคมตัวสำรองดีกว่าตัวหลัก แต่คนไทยรับได้ที่กรณ์อออกมาปั่นหุ้นโดยบอกว่าเรื่องนี้ผิด ดาวเทียมสำรองต้องห่วยเท่าตัวเดิม ดีกว่าตัวเดิมไม่ได้ พอปั่นหุ้นกันจนอิ่มแล้วเรื่องก็เงียบไป ที่สำคัญตอนรํฐบาลสุรยุทธ์เป็นนายก สิริโชค โสภาบอกเองว่าเอากลับไม่ได้ พอตัวเองเป็นรัฐบาล เล่นข่าวว่าจะเอากลับมาเป็นของคนไทยซะงั้น

คนไทยรับไม่ได้กับพวกเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับเพิกเฉยต่อคำให้การของทีมนักดับเพลิงและทีมงานของห้าง Central world ที่ออกมาบอกว่าพวกคนในเครืองแบบกันไม่ให้เข้าไปดับเพลิง

คนไทยรับไม่ได้กับพสิษฐ์ที่ออกมาปล่อยคลิปทนาย ปชป เข้าพบศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับรับได้ที่ทนายปชปมีการนัดพบคุยกันกับศาล รธน ก่อนตัดสินยุบพรรค ปชป ที่สำคัญคนไทยรับได้ถ้าจะเปิดพจนานุกรมเพื่อสนองเจตนารมณ์ของกฎหมายในการเอา ผิดสมัคร แต่รับไม่ได้ถ้าจะอ้างเจตนารมณ์ของกฎหมายในการยุบ ปชป

คนไทยรับไม่ได้ที่ corruption ของแม้วสูงมาก แต่คนไทยกลับรับได้ว่าช่วงยุคมาร์ค corruption index สูงกว่าช่วงแม้วเป็นนายก แถมบางเรื่องของกองทัพมันชัดเจน แต่คนไทยก็ยังรับได้ เช่น CTX คนไทยบอกว่าทักษิณโกงต้องลงโทษ แต่ GT200, รถถังหุ้มเกราะ รถดับเพลิง กทม ไม่เป็นไร โกงแบบนี้รับได้

คนไทยรับไม่ได้ที่จะใช้กฎหมายย้อนหลังเอาผิด ปชป ในกรณี ปรส หรือสปก 4-01 แต่คนไทยรับได้ที่จะออกกฎหมายย้อนหลังเอาผิดแม้ว

คนไทยรับไม่ได้ที่คนไทยจำนวนมากจะเลือกเพื่อไทยมานิรโทษกรรมแม้ว แต่คนไทยรับได้ถ้าทหารจะปฏิวิติเข้ามาแล้วนิรโทษกรรมตัวเอง

คนไทยรับไม่ได้ที่ต้องใช้น้ำมันแพงในยุคแม้วซึ่งขณะนั้นราคาน้ำมันดิบโลก 140 USD/Barrel แต่คนไทยรับได้ที่จะใช้น้ำมันราคาเดียวกันในยุคมาร์คในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ โลกอยู่ที 100 USD/Barrel รับได้ที่มาร์คโกหกว่าจะยกเลิกกองทุนน้ำมันใน 90 วัน

คนไทยรับไม่ได้กับประชานิยมแม้ว แต่กลับรับได้กับประชานิยมมาร์คซึ่งทำเยอะกว่าแม้วอีก เข้ามาเป็นรัฐบาลก็แจกเงินก่อนเลยสองพันที่สำคัญคือแจกคนมีอันจะกินที่มีใน รายชื่อประกันสังคม ทั้งยังช่วยแก้หนี้บัตร credit ก่อนยุบสภาให้คนมีอันจะกินอีกทำ KTB, KTC หุ้นร่วงเลย

ผมอยากจะบอกแค่ว่ามันไม่มีใครดีใครเลวไปซะทั้งหมด คนไทยอยากได้ใครก็เลือกเอา แต่การที่กรณ์หาเสียงโดยการ discredit คนอื่นโดยที่ไม่พยายามชูนโยบายที่ซื้อใจคน ผมว่าไม่แมนเท่าไหร่ครับ

กับตำแหน่งขุนคลังโลก ผมยังเฉยๆครับ ถ้าตราบใดยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจในบ้านตัวเองไม่ได้ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีในประเทศ ภาคเอกชนเค้าก็ดิ้นรนกันเองล้วนๆ ไม่เห็นนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลชุดนี้ในการเปิดตลาดใหม่ๆให้กับภาคเอกชนเลย

ข้อความจากคุณเชิงชาย รัตนพลแสนย์


ใบตองแห้งออนไลน์: มันส์พะยะค่ะ! (มันส์โคตรโคตร)

มันส์พะยะค่ะ มันส์หยดติ๋ง มันส์โคตรโคตร มันส์ chip หาย… ผมอุทานเป็นภาษาวัยรุ่นหลากยุค เมื่อเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาสัมภาษณ์พิเศษกับช่อง 5 ช่อง 7 อย่างที่ไทยโพสต์เอาไปพาดหัวตรงเป้าว่า “เลือกเพื่อสถาบัน ผบ.ทบ.ปลุกล้มก๊วนคนชั่ว”

แม้ไก่อูจะพยายามแก้ต่างว่า ผบ.ทบ.ไม่ได้สนับสนุนพรรคไหน หรือต่อต้านพรรคไหน แต่ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบนะครับ ฟังแล้วไม่ได้ต่างกันเลยกับ กนก รัตน์วงศ์สกุล เขียนลงเฟซบุคว่า “อย่าให้พวกเผาเมืองยึดประเทศไทย”

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์พูดอย่างที่แปลเนื้อหาได้ชัดเจนว่า “อย่าให้พวกล้มเจ้ายึดประเทศไทย” ซึ่งเมื่ออนุมานตาม “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ.ที่ทำให้ไก่อูกลายเป็นไก่เนื้อแดงดินประสิว ท่านจะหมายถึงใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่มวลชนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยที่ยืนตรงข้ามพวกท่านมาตลอดตั้งแต่ รัฐประหาร

แถมท่านยังออกมาพูดตอนที่พรรคเพื่อไทยนำลิ่วในโพลล์ จน ปชป.ดิ้นพล่าน และต้องมีขบวนการเตะตัดขาต่างๆ นานา

แถมท่านยังออกมาพูดวันเดียวกับที่สุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าไปพบ แต่ไก่อูยังอ้างหน้าตาเฉยว่าไม่ได้ไป

โธ่ๆๆๆ จะให้ชาวบ้านเชื่อใครระหว่างไก่อูกับนักข่าว ในเมื่อเดาะยกบทกวี “เพียงหวังจักเฟื่องฟุ้ง หรือจึงมุ่งมาศึกษา…” ไก่อูยังปล่อยกระต๊ากๆ เต็มกองทัพบก ว่าเป็นพระราชนิพนธ์ ร.6 ทั้งที่เป็นบทกวีของนเรศ นโรปกรณ์ เขียนไว้ก่อนปี 2500 ก่อนถูกจับเข้าคุกยุคเผด็จการสฤษดิ์ในข้อหาคอมมิวนิสต์

ให้ตาย อับอายขายขี้หน้าไปทั้งสถาบัน จปร.น่าจะเรียกตัวกลับไปติววิชาวรรณคดีไทยใหม่ ขืนปล่อยไประวังขวัญใจสาวเฟซบุคจะบอกว่า “สาวเอยจะบอกให้” เป็นงานเขียนของหลวงวิจิตรวาทการ

ขวัญใจจริตตก
สถานการณ์การเลือกตั้งมาถึงวันนี้ ต้องซูฮกยกนิ้วให้ยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ว่าซูดด…ยอดจริงๆ ครับ จากที่เสื้อแดงประณามรัฐบาล ปชป.ฆ่าประชาชน เป็นร่างทรงอำมาตย์ ครบรอบปีพฤษภาอำมหิต พรรคเพื่อไทยกลับพลิกไปหาเสียงด้วยการชูนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และชูคำขวัญ “ไม่คิดแก้แค้นแต่จะแก้ไข” พร้อมกับเปิดตัวยิ่งลักษณ์ ซึ่งพร้อมทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นร่างทรงพี่ชาย อีกด้านเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนนิ่มนวล ไม่ก้าวร้าวเหมือนทักษิณ แสดงท่าทีพร้อมจะ “ปรองดอง” เพื่อความสงบ

ตอนแรกผมก็หงุดหงิด บ่นว่าทำไมไม่พูดเรื่อง “โค่นอำมาตย์” คืนประชาธิปไตย คืนความเป็นธรรม แก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปศาล ปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ แต่อย่างว่า ผมไม่ใช่นักการเมือง พรรคเพื่อไทยมองออกว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการในวันนื้คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความสงบ

เรื่องแก้เศรษฐกิจ ที่จริงนโยบายพรรคเพื่อไทยก็ไม่โดดเด่นอะไร เพียงแต่ ปชป.อยู่มาสองปีกว่า โชว์ความไร้ประสิทธิภาพจนชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายแล้ว

พรรคเพื่อไทยแค่หาเสียงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทุกอย่างก็เข้าล็อก เป็นไปตามสัจธรรมที่พวกพันธมิตรรู้ซึ้ง จนทำป้ายประชดชีวิต “เลือกพรรคไหนก็แพ้ทักษิณ” (Vote No เสียดีกว่า แม้แต่ยอดมนุษย์อุลตร้าแมน ก็ยังรู้ว่าสู้ทักษิณไม่ได้ จึงต้อง Vote No)

พอโพลล์นำลิ่ว กระแสขึ้น ทุกอย่างก็มาเอง แต่แทนที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น ฝ่ายตรงข้ามกลับเริ่มก่อน ตั้งแต่แก้วสรร-หมอตุลย์ ซึ่งพอโผล่มาในช่วงที่เพื่อไทยติดลมบนซะแล้ว ในสายตาสาธารณะ ก็กลับถูกมองว่า “ตามรังควาน” “เล่นไม่เลิก” และกลับไปทำให้ยิ่งลักษณ์ได้คะแนนสงสารเห็นใจมากขึ้น

ปชป.ก็ดิ้นพล่าน โดยเฉพาะเมื่อเจอยุทธการอันกล้าหาญชาญชัยของมวลชนเสื้อแดง ไปชูป้าย 91 ศพ และ “ของแพง” “ดีแต่พูด” อยู่กลางมวลชนประชาธิปัตย์ ทำเอาขวัญใจจริตนิยมจิตตก ปรี๊ดแตก เหลือเชื่อว่านายกฯ ผู้ดีอังกฤษศิษย์ออกซ์ฟอร์ด ไปยืนโต้วาทีเอาชนะคะคานชาวบ้านอยู่กลางตลาด

“พี่ผู้ชายที่มายกป้ายดีแต่พูด ผมเข้าใจว่าคงไม่มีลูกจึงไม่ได้เรียนฟรี มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายหรือเปล่า เพราะรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ให้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุครบถ้วนทุกคนแล้ว”

โห แปะ แปะ แปะ ขอปรบมือให้ ท่านนายกฯ รูปหล่อ ชนะการดีเบทขาดลอย สง่างามเหลือเกิน

เท่านั้นไม่พอ ไม่รู้ว่ามีปมอะไรในใจนักหนา แทนที่จะเก๊กหน้าหล่อไปเดินหาเสียงกับแม่ยก กลับเอาเวลาไปเขียนความในใจลงเฟซบุค เขียนออกมา 3 ภาค เป็นเรื่องทั้ง 3 ภาค โดยเฉพาะภาค 2 ที่ทำให้ชุมพล ศิลปอาชา ออกมาสวนว่า ถ้าไม่โดนบีบโดย “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ก็คงไม่ร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์

ถึงแม้ชุมพลออกมาขอโทษและกลบเกลื่อน แต่ใครจะเชื่อ ในเมื่อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “พลังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

จำได้ไหมครับก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์ก็บอกว่าทำตามที่บรรหารต้องการทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ไม่ได้พาลูกเมียไปเที่ยวบึงฉวาก ตกลงจะพูดจาหามิตรหรือจะโต้วาทีเอามันปาก โง่หรือแกล้งฉลาด ไม่เข้าใจ

เอ้า พอเลขา กลต.ออกมาแถลงกรณียิ่งลักษณ์ ทั้งกรณ์ ทั้งมาร์คก็เต้น เรื่องถูกผิดโต้กันได้ แต่ทำไมต้องไปกล่าวหาเขาว่าทำตามโพล ทำงานให้เข้าตาใครบางคน หรือเตือนว่าข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลาง ทั้งที่ตลอด 2 ปีกว่า เลขา กลต.ก็ทำงานกับ รมว.คลังมาด้วยดี

ทำใจให้กว้างกว่าอวัยวะมดบ้างสิครับ ทำอย่างนี้มันแสดงว่าพวกคุณหมกมุ่นกับเรื่องเอาผิดยิ่งลักษณ์ มัวแต่ลุ้นแก้วสรร-หมอตุลย์ มากกว่าจะสู้กันในสนามเลือกตั้งอย่างแฟร์ๆ

ท้ายที่สุด พอเห็นว่าหมดทางสู้ วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ก็กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่ ปลุกเรื่อง “เผาบ้านเผาเมือง” ปลุกเรื่องนิรโทษกรรมทักษิณ แบบนี้จะเหลืออะไร้ ยิ่งเข้าทางเข้าไปใหญ่ เพราะมันแปลว่าพวกคุณนั่นแหละไม่ยอมให้สังคมสงบ

แต่เชื่อได้เลยว่า 2 สัปดาห์โค้งสุดท้าย สงครามข่าวสารจะเข้มข้น วันก่อนกรุงเทพธุรกิจก็พาดหัวถล่มนโยบายจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย พวกขาประจำที่แอบแฝงอยู่ในคราบสื่อ นักวิชาการ หรือผู้มีชื่อเสียงทางสังคม จะทยอยกลับออกมาแสดงบทบาท เช่น คืนก่อน บรรเจิด สิงคะเนติ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์รายการเจิมศักดิ์ แบบคุยกันเองเออออกันเองแล้วก็หันไปต้าน Vote No

ถ้าเพื่อไทยชนะ ประยุทธ์ต้องลาออก
หันกลับไปที่กองทัพ พรรคเพื่อไทยพลิกกลยุทธ์ ยิ่งลักษณ์ขอเข้าพบ ผบ.ทบ.แน่นอน ทบ.ปฏิเสธอย่างมีเหตุผล เพราะจะยอมให้พรรคใดพรรคหนึ่งเข้าพบก็น่าเกลียด

ยกเว้นสุเทพเข้าพบ ซึ่งข่าวทุกสำนักยืนยันว่าจริง เพียงแต่อาจจะผิดไปหน่อยเรื่องเวลา คือสุเทพไปพบหลังจาก ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์พิเศษแล้ว (นี่แก้ต่างให้นะครับ) แต่ข่าวก็บอกว่า สุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์พบกันอยู่บ่อยๆ

แม้ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เข้าพบ แต่อย่าลืมว่าภาพที่ออกไปทางสาธารณชนคือ “นารีขี่ม้าขาว” ยื่นมือเสนอไมตรี ทบ.ไม่รับก็ไม่เป็นไร แต่กลับตามมาด้วยการแจ้งจับผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่าข่มขู่ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของ ฉก.315

เรื่องนี้เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.นะครับ แต่ไหง ทบ.เพิ่งขุดขึ้นมาก็ไม่ทราบ

เรื่องที่ไก่อูเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่ผมไม่เชื่อ แต่ขำ คือถ้าเป็นเราชาวบ้านตาดำๆ มีลูกน้องนักการเมืองมาเลิกชายเสื้อให้ดูปืน เขาเรียกว่าข่มขู่ เป็นใครก็กลัวหัวหด แต่นี่เป็นทหารอาวุธครบมือกับรถฮัมวี่ ฉะนั้นไอ้การที่ลูกน้องนักการเมืองเลิกชายเสื้อให้ดูปืน มันไม่ใช่ข่มขู่ ภาษานักเลงเขาเรียกว่า “กรูไม่กลัวเมริง”

นักเลงแถวบ้านผมยังบอกว่าน่านับถือหัวจิตหัวใจมัน เจ๋งจริงๆ มีแค่ปืนสั้น ยังบังอาจไป “ข่มขู่ขัดขวางการปฏิบัติงาน” ของทหารทั้งหมู่

แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ฉก.ปราบยาเสพย์ติดประสาอะไร ขี่รถฮัมวี่ตระเวนไปในหมู่บ้านชานเมืองให้ผู้คนแตกตื่น ยาเสพย์ติดมันวางแผงขายอยู่ข้างถนนหรือครับ ถึงคิดจะทะเล่อทะล่าเข้าไปจับง่ายๆ

ตอนนั้น ผบ.ทบ.ก็ทำท่าแข็งกร้าว ยอมไม่ได้ ถ้าใครขวาง จะส่งกำลังเพิ่มเป็นชุดละ 50-100 นาย ดูซิว่าจะมีใครมาล้อมทหารอีกหรือเปล่า ใครขัดขวางอาจจะมีส่วนร่วมกับพ่อค้ายาเสพย์ติด

เออ แปลกดีนะครับ ยกทหารเข้าไปตั้งเป็นร้อย ยังกะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ต้องแจ้งให้ กกต.ทราบด้วย ทหารมีอำนาจทำได้ถึงขนาดนี้ ก็น่าจะทำเสียทุกหมู่บ้านในประเทศไทย รวมทั้งหมู่บ้านเสื้อแดงด้วย ผมเพียงแต่สงสัยว่าที่ท่านบอกว่าทำมาตั้งแต่ก่อนยุบสภา เคยจับคนค้ายาเสพย์ติดได้มั่งหรือเปล่า เพราะถ้าเข้าไปทำให้ชาวบ้านแตกตื่นอย่างนี้ คนขายยาก็หนีหมด เผลอๆ จะจับได้แต่คนขายยาใส่เสื้อแดง

“ผมให้เกียรติท่านมาโดยตลอด ช่วงเวลาที่ผ่านมา จะเห็นว่า ผมสงบปากสงบคำไปเยอะ พยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในการเลือกตั้ง อยากจะโฆษณาอะไรก็ว่ากันไป แต่ถ้าท่านมาพาดพิงทหาร และมารังแกทหาร ผมรับไม่ได้”

สงบปากสงบคำที่ไหนกัน เพราะไม่กี่วันถัดมาก็ออกอากาศทั่วประเทศ อ้างว่ามีกลุ่มบุคคลไม่หวังดี ทำให้กองทัพมีปัญหากับประชาชน สถานการณ์ภายนอกกดดันกองทัพ กองทัพถูกรังแก ฯลฯ ขอความเป็นธรรมให้กองทัพ

ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ท่านพูดเหมือนกับกองทัพอยู่เฉยๆ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยไปยุ่งกับใคร ก็ไอ้ความปั่นป่วนวุ่นวายวิกฤตทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเกิดเพราะกองทัพทำตัวเป็นโจรปล้นประชาธิปไตยเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ใช่หรือ จนบัดนี้ยังไม่เคยมีผู้นำเหล่าทัพรายไหนขอโทษประชาชน ขอขมาว่าทำผิดไปแล้ว จะไม่ทำอีก จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เห็นแต่ลอยหน้าลอยตายืนกรานว่าตัวเองทำถูกทุกอย่าง ทำเพื่อปกป้องชาติราชบัลลังก์ แล้วก็บานปลายมาจนต้องเดินตามแผนบันได 4 ขั้นตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร กระทั่งปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์พฤษภาอำมหิต

ผมยังมองคนในแง่ดี ผมคิดว่าท่านเสียใจจริง ท่านไม่อยากให้มีคนตาย แต่ท่านจะโทษใครล่ะ อย่าเอาแต่โทษคนอื่น กองทัพก่อกรรมแล้วก็ต้องรับ พวกคุณผิดมาตั้งแต่รัฐประหารแล้วก็ต้องรับผลพวงที่เกิดขึ้น เหมือนที่ในหลวงตรัสว่ากลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกมันก็ผิดหมด

ไก่อูอ้างว่าท่านไม่ได้พูดให้ประชาชนไม่เลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แล้วที่ท่านเรียกร้องไม่ให้เลือกคนทำผิดกฎหมาย คนที่ใช้กริยาไม่เหมาะสม ท่านหมายถึงใครล่ะ นอกจากพรรคเพื่อไทยซึ่งมีแกนนำ นปช.สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อยู่สิบกว่าคน ซึ่งท่านพูดเป็นนัยอยู่แล้วก่อนหน้านี้ว่าให้มาสู้กันตามกระบวนการของกฎหมาย

ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน โดยพูดถึงคดีหมิ่นและข้อเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ท่านพูดถึง อ.ใจ พูดถึงจักรภพ แม้ท่านไม่พูดถึงจตุพร พรหมพันธ์ คนฟังก็เข้าใจได้ จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้สิสต์ พรรคเพื่อไทย ซึ่งท่านเองเป็นคนให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งจับ จนวันนี้ก็ยังถูกคุมขังไม่ได้ประกัน

ฉะนั้นที่ท่านเรียกร้องให้เลือกเพื่อสถาบัน ก็ไม่มีทางตีความเป็นอื่นไปได้ นอกจากบอกให้ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

แต่ทั้งหมดนี้ ผมขำอยู่อย่าง คือท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ถึงได้พูดออกทีวี แล้วคิดว่าจะมีคนดู แล้วคิดว่าจะมีคนฟังคนเชื่อท่าน ท่านเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาจากไหน (สมัยนี้ ต่อให้เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตคนเขาก็ยังไม่ฟังเลย) ท่านเป็นคนดีมีจิตใจสูงส่งมาจากไหน ก็แค่หัวหน้าส่วนราชการ ที่เลื่อนขั้นมาตามลำดับ ไม่ใช่สิ ข้ามลำดับด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีรัฐประหาร 49 ป่านนี้อย่างเก่งท่านก็เป็นแค่ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เผลอๆ อาจเป็นแค่ที่ปรึกษากองทัพบกหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ใบเดียวไปทำงาน

ประชาชนเขามีความจำเป็นอะไรต้องฟังท่าน ต้องเชื่อท่าน ถ้าอย่างนั้น ประชาชนจำเป็นต้องฟังต้องเชื่อปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงไอซีที ปลัดกระทรวงเกษตร ฯลฯ ด้วยไหม (แล้วทำไมหัวหน้าส่วนราชการอื่นๆ ไม่มีสิทธิออกทีวีเรียกร้องให้ประชาชนเลือกคนดีบ้าง)

ไอ้ที่คนเขาฟังท่าน ก็เพียงเพราะเขาอยากรู้ท่าทีของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีปืน มีรถถัง มีกำลังพล (และมีรถฮัมวี) ที่มีศักยภาพพอจะแทรกแซงการเลือกตั้ง หรือพอจะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้

นั่นคือสิ่งที่ทูตานุทูตที่เสวนากันอยู่บ้านทูตนอรเวย์เขาฟัง นั่นคือสิ่งที่สำนักข่าวต่างประเทศเขาฟัง

ฉะนั้นคำพูดของท่านจึงไม่มีผลกระทบต่อคะแนนเสียง อาจส่งผลลบด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญคือส่งผลต่อความหวาดวิตกของประชาชนว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกเข้ามามากที่สุด ตามมติมหาชน กองทัพก็อาจเข้าไปแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลอีก และจะส่งผลให้บ้านเมืองไม่สงบ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ กองทัพก็จะเป็นหอกข้างแคร่ และทำให้ประเทศยิ่งวิกฤต อย่างที่บรรดานักลงทุนต่างชาติเขาวิตกกังวลกันอยู่

ท่านพูดแล้วจึงต้องรับผิดชอบนะครับ เพราะท่านพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เขาก็มีสิทธิที่จะเชิญท่านหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ไปนั่งประจำสำนักนายก รัฐมนตรี อย่างมีความชอบธรรมด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ท่านพูดเรื่องสถาบัน อ้างสถาบัน เข้ามาชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกไม่เลือก (ทั้งที่ กกต.ออกระเบียบห้ามพรรคการเมืองหาเสียง แต่ ผบ.ทบ.กลับเอาสถาบันมาหาเสียงหน้าตาเฉย) ถ้าสมมติว่าผลการเลือกตั้งออกมาวันที่ 3 ก.ค.แล้วพรรคเพื่อไทยยังชนะถล่มทลาย landslide ได้คะแนนเสียงใกล้เคียงครึ่ง ท่านจะแปลความหมายว่าอย่างไร แปลว่าคนครึ่งประเทศไม่เอาสถาบันอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย-ไม่ใช่ เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดอย่างท่าน เรื่องสถาบันก็อยู่ส่วนสถาบัน นี่คนเขาเลือกพรรคการเมืองเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และคืนความสงบ คืนความยุติธรรมให้สังคม ท่านต่างหากที่เอาสถาบันมาขีดแบ่ง

ฉะนั้นถ้าคืนวันที่ 3 ก.ค.ผลออกมาว่าพรรคเพื่อไทยชนะเกินครึ่ง ท่านควรจะเก็บกระเป๋าเขียนใบลาออกได้เลย แสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายชาติทหาร ทั้งรับผิดชอบต่อสถาบัน และเสียสละตัวเองเพื่อความสงบสุขของสังคม

หรือถ้าพรรคเพื่อไทยได้ใกล้เคียงครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาลได้ ท่านก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี

ไม่ต่างกับที่กนกต้องรับผิดชอบ คือคุณจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ แต่กลับไปแสดงในเนชั่นทีวี (หรือมหาวิทยาลัยโยนกทีวี-ฮิฮิ) ไม่ควรมาออกจอทีวีของรัฐอีก

เรื่องมาตรา 112 ผมไม่ทราบว่าท่านพูดเพื่ออะไร เพราะถ้าจะมีการแก้ไขกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่ใช่เรื่องของกองทัพ ที่จะต้องมาเสนอความเห็น ถ้าบอกว่าเป็นหน่วยงานหนึ่ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือกรมส่งเสริมการส่งออก ก็ควรเสนอความเห็นได้ด้วยเช่นกัน เพราะสถาบันไม่ใช่ของกองทัพ สถาบันเป็นของทุกคน

อย่างไรก็ดี ต้องขอขอบคุณท่าน ผบ.ทบ.ที่ช่วยยกประเด็นโต้แย้งเรื่องควรจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 หรือไม่ ให้กลายเป็นประเด็นระดับชาติ เพราะนี่เป็นครั้งแรกนะครับ ที่เรื่องมาตรา 112 ได้ออกทีวีช่อง 5 ช่อง 7 ไปทั่วประเทศ เราพูดกันมานาน แต่ก็ยังอยู่เฉพาะในแวดวงนักคิดนักเขียนนักวิชาการ อยู่แค่ในเว็บไซต์ แต่ท่านช่วย “จุดพลุ” ให้เป็นประเด็นดีเบทระดับชาติ ขอขอบพระคุณยิ่ง

เพียงแต่ท้วงติงอีกนิดเดียว ที่ท่านพูดถึง อ.ใจ และจักรภพ ทั้งสองคนเขายังไม่มีความผิดนะครับ ศาลยังไม่ได้ตัดสิน เขาแค่หลบหนีเพราะเกรงจะไม่ได้ประกันและเกรงจะมีภัยคุกคาม

สรุปแล้วผมเลยไม่ทราบว่าท่าน ผบ.ทบ.ออกมาพูดเพื่ออะไร หรือถูกใครกดดันให้ออกมาพูด แต่ท่านพูดแล้วไม่ได้เป็นผลดีทั้งต่อตัวเองและต่อสถานการณ์ บอกแล้วไงครับ พรรคเพื่อไทยเขาวางยุทธศาสตร์อย่างฉลาด แสดงท่าทีพร้อมจะปรองดอง แล้วปล่อยให้ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามออกมาเต้นเอง ออกมาเต้น เอ้า! ออกมาเต้น (เด็ดขาดลีลาไปเล้ย)

เอาแค่ที่ท่านประกาศว่าจะให้ กอ.รมน.ดูแลสื่อสองขั้วที่ยั่วยุ ก็โดนสนธิ ลิ้ม ไล่ไปลงนรกแล้ว (ขณะที่ทักษิณห้ามพรรคเพื่อไทยตอบโต้ อยู่เฉยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ)

เห็นเกมอย่างนี้แล้วผมถึงได้ร้องว่ามันส์พะยะค่ะ มันส์สุดสุด มันส์โคตรโคตร มัน chip หาย แล้วคอยดูต่อไปว่าจะดิ้นกันอย่างไรอีก

เชื่อได้เลยว่า เดี๋ยวจะต้องมีบุคคลระดับสูงกว่าประยุทธ์ ออกมาเรียกร้องให้เลือกคนดี เลือกเพื่อสถาบันอีก

อดรนทนไม่ได้กันนักก็เรียงหน้าออกมาเล้ย

ที่มา : ประชาไท
โดย : ใบตองแห้งออนไลน์

 


จาตุรนต์ ฉายแสง แนะท่าทีพลเอกประยุทธ์ จันโอชา

นายจาตุรนต์  ฉายแสง  ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย เขียนข้อความแสดงความคิดเห็น และแนะนำพลเอกประยุทธ์  จันโอชา ผู้บัญชาการทหารบก ทั้งท่าทีเรื่องการส่งกำลังทหารลงพื้นที่ เพื่อปราบปรามยาเสพติด  หมู่บ้านเสื้อแดง  และการให้สัมภาษณ์ของพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก  โดยมีเนื้อหาดังนี้

“เห็นข่าวผบ.ทบ.ฮึ่ม พท.รังแกทหารแล้ว  อยากจะให้คำแนะนำผบ.ทบ.สักหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผบ.ทบ.เอง  และอาจเป็นผลดีต่อบรรยากาศทางการเมือง

อ่านคำสัมภาษณ์ของคุณประยุทธ์แล้วรู้สึก ว่า  ท่านคงลืมไปว่าท่านเป็นผบ.ทบ.อยู่ไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มก๊วนอะไรที่จะบอกว่ายอม ไม่ได้ หยามไม่ได้อย่างนั้น

ท่านบอกว่าส่งทหารไป 2 คนแล้วถูกกดดัน ก็เลยจะส่งไป 50 คนหรือ 100 คน ถามว่าจะส่งไปทำไม จะส่งไปปราบยาเสพติดหรือปราบผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ถ้าส่งไปปราบยาเสพติด จะไม่กระโตกกระตากไปหน่อยหรือ และยังต้องถามด้วยว่าท่านจะไปกันในหน้าที่อะไร ไปทำแทนตำรวจหรือ ทำไมไม่ใช้ตำรวจปราบยาเสพติด

ถ้าผู้สมัครรับเลือกตั้งทำผิดกฎหมาย  ทำไมคนของท่านไม่ไปแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดี หรือว่าจะเป็นการเสียเหลี่ยม หรือไม่เชื่อถือกฎหมาย

การแสดงออกของผบ.ทบ. จึงเข้าลักษณะข่มขู่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้เสียบรรยากาศทางการเมืองและทำให้คนอาจรู้สึกว่าท่านวางตัวไม่เป็นกลางได้

จึงอยากแนะนำท่านว่าก่อนจะพูดอะไร  ควรคิดเสียให้รอบคอบ ท่านเป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงไปตรงมา แต่ก็ต้องคำนึงด้วยว่าพูดแล้วคนจะรู้สึกอย่างไร

อีกเรื่องคือ  ที่ท่านผบ.ทบ.พูดถึงหมู่บ้านสีแดง ที่ท่านว่าไม่ผิดกฎหมาย  แต่อยากให้ทบทวน อยากให้ไทยมีสีเดียว ก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะแสดงความเห็น แต่ก็เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะเรียกหมู่บ้านของตัวเองเป็นสีอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย

บังเอิญว่าแกนนำคนเสื้อแดงเขา ก็ลงสมัครเลือกตั้งกันอยู่ พอแสดงความเห็นอะไรในทางไม่ชอบสีแดง คนก็อาจมองว่าท่านไม่เป็นกลางอีกก็ได้

หมู่บ้านสีแดงมีกี่หมู่บ้าน ผมไม่ทราบ แต่ไม่มีข้อมูลว่าพวกเขาทำอะไรผิดกฎหมาย เห็นแต่หมู่บ้านสีเหลืองอยู่แถวทำเนียบรัฐบาลน่าจะไม่ถูกกฎหมาย

หมู่บ้านสีเหลืองที่มีอยู่เพียงหมู่บ้าน เดียวนี้ ท่านผบ.ทบ.จะว่ายังไง นอกจากทำผิดกม.แล้วทำผิดกม. ยังยุให้ท่านไปรบกับกัมพูชาอยู่ทุกวันด้วย

ผมอยากแนะนำให้ผบ.ทบ.ปรามโฆษกกองทัพบกเสียบ้าง อย่าปล่อยให้มาต่อปากต่อคำกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง จนเหมือนตั้งตัวเป็นศัตรูกับบางพรรคไปแล้ว

คุณสรรเสริญมีสิทธิ์แสดงความเห็นทางการเมือง จะโต้กับใครก็ได้ แต่ท่านผบ.ทบ.แน่ใจหรือว่าเขาควรจะโต้ในฐานะโฆษกของกองทัพบก กองทัพเห็นตามเขาหรือ

เมื่อโฆษกไม่เป็นกลางทางการเมือง คนเขาอาจคิดว่ากองทัพไม่เป็นกลางทางการเมือง ท่านไม่ควรเอาอย่างนายกฯอภิสิทธิ์ กับเทพไท ที่พูดอะไรไม่ตรงกันทุกวัน

เรื่องสุดท้ายที่อยากแนะนำ  คือการวางตัวเป็นกลางและไม่แทรกแซงในการจัดตั้งรัฐบาล อยากแนะนำให้ท่านทำให้ชัดเจนเสียแต่วันนี้  ไม่ต้องรอหลังเลือกตั้ง

ที่คนเขาห่วงกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คือหากพรรคที่ได้เสียงมากแล้ว  อาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล พูดกันตรงๆก็คือเขากลัวการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจและกองทัพ

เรื่องนี้คนในต่างประเทศและชาวไทยในต่างประเทศก็วิตกกันทั้งนั้น ทำให้เขาไม่เชื่อมั่นต่อเมืองไทยของเรา เมืองไทยที่ท่านอยากให้เป็นสีเดียวนี่แหละ

ผมจึงเสนอว่าให้ท่านทำเหมือนตอนที่ประกาศว่าจะไม่ทำรัฐประหารนั่นแหละ แต่ให้ออกมาพูดพร้อมกันว่าจะไม่แทรกแซงในการจัดตั้งรัฐบาล

ควรแถลงด้วยว่าจะไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองใช้สถานที่ของกองทัพบกในการจัดตั้งรฐบาลอีกแล้ว

เรื่องแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลนี้ ไม่ใช่พูดกันลอยๆ เห็นคุณชุมพล  ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ไม่ใช่หรือ ก็ชัดอยู่แล้วว่าคราวที่แล้วมีการแทรกแซง บีบบังคับ

ครั้งที่แล้วที่ผมได้ยินจากปากผู้นำพรรคการเมืองบางท่าน ก็คือเขาบอกว่าผู้นำทหารขู่เขาว่าถ้าไม่ย้ายไปสนับสนุนปชป. ก็จะทำรัฐประหาร   ครั้งนี้ท่านผบ.ทบ.ควรประกาศเสียว่าจะไม่ทำอีก

นอกจากนั้น ก็ขอให้ท่านเพิ่มความสุขุมมากขึ้นในการออกความเห็นต่างๆ อย่างน้อยในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าท่านไม่เป็นกลาง”

ที่มา : VOICE TV


ประชาธิปัตย์ ‘นอมินีอีลิต’?

ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยประกาศตัวผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรยากาศทางการเมืองก็ร้อนแรงขึ้นมาทันที โดยเฉพาะจากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ที่พากันใช้ความถนัดจัดเจนหรือพฤติกรรม เดิมๆออกมากล่าวหา ตั้งแต่ประวัติส่วนตัว รวมถึงข้อกล่าวหาสำคัญเรื่องเป็น “นอมินี” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีสถานะเป็นตัวแทนของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แถมยังกล่าวหาว่าเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านเป็นด้านหลักอีกด้วย

ความจริงปัญหาเรื่องนอมินีถือเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง แต่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าในภาวะความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน สาเหตุหลักคือกลุ่มผู้มีอำนาจที่แท้จริงต่างก็ใช้นอมินี หากพูดกันตรงไปตรงมากล่าวหาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องยอมรับด้วยว่าเป็นนอมินีของกลุ่มอีลิต แล้วยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความเลวร้ายยิ่งกว่าอีก เพราะได้อำนาจมาจากการยึดอำนาจโดยตรง และใช้วิธีการฉ้อฉลจากอำนาจปากกระบอกปืน บังคับให้นักการเมืองบางส่วนร่วมจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือท้ายสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ หากมองว่าเป็นนอมินีทั้งพรรคเพื่อไทยหรือพลังประชาชนในอดีตก็ทำเพื่อเจ้าของ พรรคตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำ จึงต้องอาศัยช่องว่างตามกระบวนการประชาธิปไตยเข้าสู่อำนาจโดยประชาชนเป็นผู้ เลือกเข้ามา

ดังนั้น ลักษณะการเป็นนอมินีจึงไม่เหมือนกัน พรรคประชาธิปัตย์เป็นนอมินีให้พวกกลุ่มน้อยที่อยากมีอำนาจ โดยมีอำนาจจากกระบอกปืนมาบังคับ ขณะที่พรรคเพื่อไทยต้องการให้ประชาชนเป็นผู้เลือก แต่จะเพราะเข้าอกเข้าใจในเนื้อหาหรือนโยบายของพรรคหรือไม่ก็ต้องพิจารณาใน บริบทการเป็นนอมินีด้วย

การจะมองปัญหาหรือวิเคราะห์เรื่องดังกล่าวจึงต้องเข้าใจรากเหง้าความขัด แย้งทางการเมืองที่ผ่านมาก่อน หากมองแค่ปรากฏการณ์หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจสรุปได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดมาตลอด 4 ปีนั้นอาจสรุปได้ว่าเบื้องลึกแล้วเป็นความขัดแย้งและแก่งแย่งผลประโยชน์กัน ของกลุ่มทุนเก่าที่มีอำนาจทางการเมืองมาก่อน แต่พ่ายแพ้กลุ่มทุนใหม่อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจหรือการเมือง เมื่อกลุ่มทุนเก่าสู้ไม่ได้จึงหันไปขอความร่วมมือจากกลุ่มอีลิต ซึ่งเผอิญผลประโยชน์ตรงกันทั้งด้านอุดมการณ์ เศรษฐกิจ และการเมือง จึงเป็นปัญหาที่สั่งสมมาจนเกิดความรุนแรงและแบ่งข้างแยกสีจนปัจจุบัน

ต้นเหตุความขัดแย้งเพราะกลุ่มทุนเก่าไม่ยอมใช้แนวทางประชาธิปไตยต่อสู้ เมื่อปี 2549 กลุ่มทุนเก่าจึงใช้วิธีการเถื่อนและดิบสำหรับสังคมศิวิไลซ์คือทำรัฐประหาร ซึ่งโง่พออยู่แล้ว แต่ที่เลวกว่านั้นคือตั้ง “ผู้เฒ่า” ที่ไม่มีความสามารถมาบริหารประเทศในยุคโลกาภิวัตน์ เวลา 1 ปีกว่าจึงมีแต่ความเสื่อม จนต้องมีการเลือกตั้งใหม่โดยไม่มีการแก้ปัญหาด้านโครงสร้างอำนาจเลย

ครั้นพรรคพลังประชาชนได้อำนาจ กลุ่มอำนาจเดิมก็ไม่พอใจ จึงคิดแบบโง่ๆ ซ้ำซาก ระดมมวลชนมาเป็นเครื่องมือต่อสู้และให้กองทัพแสดงความขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง จะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงใช้ระบบตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งท้ายสุดก็กินเนื้อและทำลายสถาบันตุลาการ แม้จะสามารถทำให้นายสมัครและนายสมชายต้องหมดสภาพนายกรัฐมนตรีก็ตาม เพื่อให้รัฐบาลนอมินีบริหารบ้านเมืองต่อ

ยุคของนายอภิสิทธิ์จึงถูกมองว่าเป็นรัฐบาลนอมินีที่สืบทอดอำนาจการทำรัฐ ประหาร 2549 และเป็นนอมินีกลุ่มอีลิตที่ไม่สนใจจะลงเลือกตั้ง ไม่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย จึงใช้เครื่องมือทางกองทัพและสร้างวาทกรรม “ล้มเจ้า” มาทำลายฝ่ายตรงข้าม เพราะรู้ดีว่าสังคมไทยอ่อนไหวมากกับเรื่องนี้และมีอานุภาพร้ายแรงเหมือนใน ยุคนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ที่ถูกกระทำจนได้ผลมาแล้ว

แต่เมื่อผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ เพราะประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารและเรียนรู้จากระบบสารสนเทศใหม่ๆมากขึ้น จึงเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี การใส่ร้ายป้ายสีก็เสื่อมความขลังจนหมดสิ้น เหมือนเสียงตะโกนในอากาศที่ว่างเปล่า คนส่วนใหญ่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงไม่ได้ล้มเจ้า แต่มีความเคารพเทิดทูนและอยากให้ระบอบพระมหากษัตริย์เทียบเคียงได้อย่าง อังกฤษหรือญี่ปุ่น

กลุ่มนอมินีที่รวมหัวกันระหว่างทหารปัญญาทึบ เผด็จการ และบรรดานักวิชาการที่แวดล้อมพรรคประชาธิปัตย์ คือการพยายามสร้างวาทกรรมเพื่อทำให้ประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้อง ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมมีสภาพเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังปราบปราม ซึ่งเป็นจุดผิดพลาดที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็คาดไม่ถึง เพราะบ้านเมืองยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายจากภายนอกชักจูงให้คนไทยมุสลิม ก่อการร้าย แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ปัญหาและจับแกนนำได้จริงๆได้เลย จึงเรียกกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้เพียง “ผู้ก่อความไม่สงบ” หรือ “เหตุการณ์ความไม่สงบ” ไม่ใช่ “การก่อการร้าย”

แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังผิดพลาดอีกเมื่อมีการสังหารประชาชนถึง 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภา” ซึ่งสื่อต่างประเทศ รวมถึงรัฐบาลญี่ปุ่นและอิตาลีต่างก็จี้ให้รัฐบาลไทยเร่งผลการสอบสวนการเสีย ชีวิตของผู้สื่อข่าวของตน เพราะมีทั้งภาพข่าว คลิปวิดีโอ และพยานชัดเจนว่ามีการใช้กำลังทหารปราบปรามและทำให้ประชาชนเสียชีวิตอย่าง ไร้เหตุผล

วันนี้คนไทยทุกคนจึงต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบว่าระหว่างความเป็นนอมิ นีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับความเป็นนอมินีของพรรคประชาธิปัตย์นั้นแตกต่างกันอย่างไร รัฐบาลที่มาจากปากกระบอกปืนกับรัฐบาลที่มาจากประชาชน ใครดีใครเลวกว่ากัน อำนาจพิเศษที่คุ้มหัวแล้วยังเข่นฆ่าประชาชนอีก?

พรรคประชาธิปัตย์จึงน่าจะเลิกพูดคำว่า “นอมินี” ได้แล้ว หรือแม้แต่การขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นมานั้น ในที่สุดก็จะสะท้อนกลับไปที่พรรคประชาธิปัตย์ว่าใครเลวกว่า!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 312 วันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 10
คอลัมน์ : ทหารใหม่วันนี้
โดย : ชายชาติ ชื่นประชา