รัฐบาลต้องกล้า..ปลด ‘ผบ.ทบ.’

“นักวิชาการหลายคนรู้ทุกเรื่อง รู้เรื่องรบ เรื่องชายแดน เรื่องทหาร นี่ ฮ. ตกยังรู้อีก เป็นคนเดิมที่ออกมาพูด ผมถามกลับไปว่ารับผิดชอบอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ใครจะรับผิดชอบ กองทัพบกเสียหาย ประชาชนและสังคมเข้าใจผิด กำลังพลกองทัพบกเสียขวัญใครจะรับผิดชอบ ถามว่าคนที่ออกมาพูดรับผิดชอบหรือไม่ หนังสือพิมพ์บางฉบับ ทีวี. บางช่อง นักวิชาการบางคน ผมไม่อยากพูด แต่ทำให้ผมกดดัน แล้วเราและประเทศชาติจะอยู่อย่างไรถ้าท่านไม่มีเหตุผลเลย อยากพูดอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ เว็บไซต์เฟซบุ๊คของวาสนา นาน่วม เขียนเสียหายมาก ผมเรียนตรงนี้เลย หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และหนังสือพิมพ์บางฉบับอีกหลายเรื่อง ทีวี.เอเอสทีวี. ทีวี.แดง บ้านเมืองเสียหาย ผมจำเป็นต้องออกมาพูด ถ้าประเทศไทยหรือคนไทยไม่เรียนรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไรก็อย่าอยู่กันเลย เสียเวลาเปล่า ดังนั้น ต้องมีกติกา กฎหมาย ช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้าให้ได้ กอง ทัพบกต้องอยู่ ผมจะอยู่หรือไม่ผมไม่สนใจ แต่กองทัพบกต้องอยู่ด้วยชื่อเสียง เกียรติยศ กองทัพบกกำหนดแล้วว่าจะต้องเดินหน้าไปอย่างไร กองทัพ บกมีพันธกิจ 4 ประการที่ต้องดำเนินการ อยากให้ การเสียชีวิตเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า แล้วเราพร้อมเรียนรู้ สังคมว่าอย่างไร แต่ขอวิพากษ์วิจารณ์ให้ถูกต้อง มีหลักเกณฑ์ ทำอย่างไรจะทำให้ผู้เสียชีวิตไม่เสียเปล่า คือการรักษาแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลาน สิ่ง ที่กองทัพบกคิดเสมอคือการรักษาทรัพยากรให้ลูกหลาน ในอนาคต ถ้าไม่ทำวันนี้ วันหน้าก็อยู่ไม่ได้”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับการวิพากษ์วิจารณ์กรณีเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก ประสบอุบัติเหตุตก 3 ลำในเวลาไม่ถึง 10 วัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 คน โดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตเรื่องการจัดซื้อจัดหาว่าอาจไม่โปร่งใส

“ไม่ใช่ ผบ.ทบ. ดูแลทุกเรื่อง ตั้งแต่ชิ้นส่วน อะไหล่เฮลิคอปเตอร์ หรือการจัดซื้อจัดหา มันไม่ใช่ เพราะมีองค์กรในการดำเนินการอยู่ ในทางปฏิบัติมีศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1-4 และการจัดซื้อจัดหามีกรมฝ่ายเสนาธิการกำหนดความต้องการ ฝ่ายยุทธการเป็นผู้จัดซื้อจัดหา และมีสำนักงานตรวจ สอบภายในตรวจสอบว่าผิดหรือถูก ถ้าผิดจะถูกร้องเรียนไปที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถือเป็นระบบ จะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มาจาก การทุจริตในการจัดซื้อจัดหาถือเป็นคนละประเด็น อย่าวิจารณ์อย่างนั้น เพราะถ้าวิจารณ์ต้องวิจารณ์ทุกระบบของกองทัพบก แม้แต่ระบบของประเทศไทยก็ต้องผิดทั้งหมด ยืนยันว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็ผิดทั้งหมด”

“ประยุทธ์” วอนอย่าตำหนิทหาร

การให้สัมภาษณ์อย่างดุดันของ พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายใดกันแน่ที่ไม่ยอมรับความ จริง หรือเอาข้อมูลหลักฐานมาพูดชี้แจงกับ ประชาชน เพราะประชาชนทุกคนก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของทหารหรือประชาชน คนตายย่อมสำคัญกว่าเครื่องบินหรือยุทโธปกรณ์ (เช่นเดียวกับ 91 ศพที่เสียชีวิตครั้งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ก็มีค่ามากกว่าตึกที่ถูกเผา) ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้แสดงความเสียใจในวันต่อมาว่า

“วันนี้อย่าเพิ่งติติงทหารนักเลย เราพร้อมจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ขอให้กำลังใจทหารมากๆ แม้บางทีเห็นผมในทีวี.หน้าตาจะดุดันไปหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของบทบาทที่เป็นผู้นำองค์กรก็ต้องเป็นอย่างนี้ ผมต้องรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของกองทัพบกไว้ยิ่งกว่าชีวิต เป็นสิ่งที่เราปลูกฝังกันมา กองทัพบกใครจะมาแตะต้องไม่ได้ ผมถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้อง จึงต้องขออภัยหากว่าดุเดือดไปนิดหนึ่ง แต่ปรกติแล้วผมเป็นคนใจดี ไม่มีอะไร”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การวิจารณ์สามารถทำได้ แต่ต้องเอาหลักข้อเท็จจริงมาพูด ต้องให้ความเป็นธรรมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจาก 1.อุบัติเหตุ 2.สุดวิสัย และ 3.เครื่องยนต์ขัดข้อง แต่ทหารท้อแท้ไม่ได้ เราเผชิญสถานการณ์อย่างนี้หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ส่งผลกระทบมาก “ทุกครั้งที่ ฮ. ตก กองทัพบกเสียใจทุกครั้ง กองทัพบกไม่รู้จะทำอย่าง ไร เพราะเราไม่ได้ผลิตเครื่องบินเอง เราซื้อเข้ามา”

ปัญหาการจัดซื้อจัดหา

เหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกไม่มีใครตำหนิทหาร แต่ต้องการให้กองทัพชี้แจงถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามข้อมูลและหลักฐาน อย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดเหตุเศร้าสลดเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในเรื่องความไม่โปร่งใสในกรรมวิธีการจัดซื้อ ทั้งแบบพิเศษหรือมีคณะกรรมการก็มักมีข่าวทางลบเรื่องนายหน้าและคอมมิชชั่น ตลอดเวลา

โดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณมหาศาล อย่างปี 2553 ได้รับงบประมาณ 154,000 ล้านบาท และปี 2554 ได้รับงบประมาณถึง 220,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงที่สุด แต่การจัดซื้อจัดหากลับ เต็มไปด้วยข่าวความไม่โปร่งใส ทั้งยังไม่มีการตรวจ สอบใดๆหรือชี้แจงกับประชาชน อย่างกรณีเครื่องบินขับไล่กริพเพนจำนวน 1 ฝูงบิน เครื่องจีที 200 ที่ถูกเปรียบเหมือนไม้ล้างป่าช้า เรือเหาะตรวจการณ์ ที่ใช้การไม่ได้ และรถถัง Oplot จากยูเครน เพื่อทดแทนรถถัง M-41 ไม่นับรวมอาวุธประจำการประเภทปืนทราโว่ที่มีการทยอยจัดเข้าประจำการอย่างต่อ เนื่อง เสื้อเกราะและงบลับที่ไม่เปิดเผย เป็นต้น

ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการหรือประชาชนกรณีการจัดซื้อจัดหาของกองทัพจึง ไม่ใช่เรื่อง ความไม่เป็นธรรมหรือคิดร้ายกับกองทัพ แต่กองทัพทุกเหล่าทัพต้องตระหนักว่างบประมาณที่จัดซื้อจัดหามาจากเงินภาษี ของประชาชน และกองทัพก็เป็นของ ประชาชน ประชาชนทุกคนจึงต้องการเห็นกองทัพมีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ แต่ยอมรับไม่ได้ที่จะให้มีการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่คุ้มค่ามา ใช้ หรือมีการทุจริตคอร์รัปชัน แถมยังไม่สามารถ เข้าไปตรวจสอบได้อีก กองทัพต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา มีหลายโครงการที่เป็น “โบนัส” ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปลดเกษียณให้ “บิ๊กทหาร” หลายคนเกษียณไปพร้อมกับทรัพย์สินร้อยล้านพันล้าน ไม่ต่างกับข้าราชการระดับสูงจำนวนมากที่ร่ำรวยมหาศาล ทั้งที่หากนำเงินเดือนตลอดชีวิตการทำงานโดยไม่ใช้เลยมารวมกันก็มีเพียงไม่ กี่ล้านบาทเท่านั้น

ความจริงคือภูมิคุ้มกันกองทัพ

พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องพร้อมให้สังคมตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดหาของกอง ทัพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่การยอมรับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังต้องทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในกองทัพ โดยเฉพาะความเข้าใจและความรัก ความสามัคคี อย่างที่ให้สัมภาษณ์ว่า

“ประเทศไทยต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่เฉพาะทหาร พลเรือน แต่เราต้องไปด้วยกันทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาสังคม และประชาชน ต้องไปด้วยกันทั้งหมดในการที่จะขับเคลื่อนประเทศชาติไปข้างหน้า ผมอยากให้สิ่งเหล่านี้ทำเป็นกิจกรรมประจำปี โดยการจัดหางบประมาณขึ้นมา เพราะเป็นการเริ่มต้นสร้างเซลล์หรือภูมิคุ้มกันให้กับสถาบันได้ในอนาคต”

กองทัพกับการเมือง

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความจริงว่าปัจจุบันกองทัพ โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกยังมีบทบาทและอำนาจที่จะเป็นตัวแปรทางการ เมืองอย่างมาก ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับว่าไม่เป็นผลดีกับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยเลย เพราะตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ทหารทำการรัฐประหารถึง 12 ครั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า

โดยเฉพาะการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยิ่งทำให้กองทัพมีบทบาทและอำนาจในทางการเมือง อย่างมาก เพราะวันนี้รัฐบาลแทบไม่มีบทบาทเข้า ไปเกี่ยวข้องหรือโยกย้ายภายในกองทัพได้เลย ขณะที่ในอดีตรัฐบาลสามารถแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารได้ทุกระดับ แต่ก็ถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงกองทัพ ทั้งที่รัฐบาลในอดีตส่วนใหญ่มาจากทหารหรือมีกอง ทัพหนุนหลังทั้งสิ้น อย่างรัฐบาลสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ปลด พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งหนังสือพิมพ์หัวเขียวให้ความสำคัญด้วยการพาดหัวข่าวใหญ่ถึงครึ่งหน้า ถือเป็นข่าวฮือฮาเทียบเท่าการรัฐประหารมาแล้ว

จับยักษ์กลับที่เดิมยาก

ปัจจุบันทั้งรัฐบาลและนักการเมืองกลัวทหาร จะทำการปฏิวัติรัฐประหาร หรือกลัว “อำนาจพิเศษ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” อย่างที่ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า บทบาทของกองทัพภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ยังเป็นปัจจัยและตัวแปรสำคัญต่อการเมืองไทยขณะนี้ ต้องยอมรับว่าหลังรัฐประหาร 2549 กองทัพมีบทบาทในการฟื้นฟูและขยายอำนาจเข้าไปในการเมืองอย่างมาก

“เรียกว่าทุกวันแทบจะทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ สื่อมวลชนจะต้องไปถามผู้นำกองทัพว่าคิดเห็น อย่างไร รวมถึงผลประโยชน์ของกองทัพที่เพิ่มขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณทางทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล การใช้งบประมาณซื้ออาวุธ แม้จะมีปัญหามากมาย แต่ไม่มีการตรวจสอบ เพราะอำนาจที่ล้นฟ้าของกองทัพ”

ดร.พวงทองยังชี้ถึงจุดยืนของกองทัพกับพรรคเพื่อไทยที่จะเป็นรัฐบาลว่า ดูได้จากคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์ก็รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวแปรสำคัญที่รัฐบาลใหม่ต้องระวัง เพราะแม้แต่การจะแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัฐบาลชุดใหม่ยังไม่มีความเป็นอิสระเลย ต้องฟังเสียงของกองทัพว่าพอใจหรือไม่ ขณะเดียวกันต้องจับตาความขัดแย้งในกองทัพด้วย ซึ่งจะเป็นอีกตัวแปรที่ทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือความรุนแรงที่คาดไม่ถึงได้

“กองทัพเปรียบเหมือนยักษ์ที่ถูกกักกันให้อยู่ในพื้นที่ของตัวเองมาเป็น ระยะเวลานานนับแต่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 แต่วันหนึ่งพอเกิดรัฐประหาร 2549 เราก็ปล่อยให้ยักษ์ตัวนี้ออกมาโลดแล่นในเวทีการเมืองอย่างมีอิสระและมีผล ประโยชน์ รวมทั้งมีอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย การจะทำให้ยักษ์ ตัวนี้กลับไปอยู่ในที่เดิมอีกครั้งจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก”

อำนาจแค่หัวโขน

ดร.สุดสงวน สุธีสร อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นถึงบทบาทของกองทัพและการแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ดุดันว่า ส่วนหนึ่งมาจากการกดดันของสังคมที่ต่างชี้ว่าผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ กรณีเฮลิคอปเตอร์ตก จึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์จะพูดจนดูน่ากลัวเหมือนไม่มีมนุษยสัมพันธ์เลย แต่ต้องยอมรับว่ากองทัพเป็นสถาบันที่อยู่คู่กับสังคมไทย จึงมองตัวเองว่ามีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด จนอาจทำให้ผู้ใหญ่ในกองทัพบางคนลืมตัวและมองว่าอยู่สูงกว่าคนอื่นๆ ซึ่งเป็นจุดที่อันตรายมาก วันนี้จึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้กองทัพเปลี่ยนมุมมอง รวมถึงการเลือกผู้นำ

ขณะที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ หนึ่งในบ้านเลขที่ 111 ชี้ว่า การแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นภาพ ที่ขัดกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง เพราะ ผบ.ทบ. เป็นข้าราชการประจำ และต้อง อยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน คือทำงานให้กับประเทศชาติ และประชาชน ไม่มีหน้าที่ให้สัมภาษณ์ใดๆที่จะทำ ให้เกิดการบิดเบือนในหลักการประชาธิปไตยทั้งสิ้น ยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางทหารเท่านั้น

“แม้ ผบ.ทบ. จะนั่งในตำแหน่งสูงสุดของกองทัพ มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ เพราะมีทั้งกำลังพลและอาวุธ แต่ต้องไม่ลืมว่าอำนาจที่นั่งอยู่นั้นก็คือหัวโขนเท่านั้น การใช้อำนาจที่ดีจึงต้องใช้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ใช้อำนาจเพื่อออกมาปกป้องตัวเอง”

ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำแกนนอน มองว่า ทหารไม่อดทนต่อการถูกวิจารณ์และไม่ต้องการให้ใครมาตรวจสอบ ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคนส่วนใหญ่เห็นใจทหาร แต่ ผบ.ทบ. กลับออกมาพูดในทำนองว่าคนทั่วไปหรือนักวิชาการบังอาจมาวิพากษ์วิจารณ์กองทัพ ทั้งๆที่ทุกคนอยากได้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ผบ.ทบ. ต้องไม่ลืมว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้นทุกคนมีสิทธิในการคิด การพูด และการแสดงความคิดเห็น ส่วน ผบ.ทบ. ต้องพูดความจริงและมีความอดทน ไม่ใช่คิดว่าเป็น ผบ.ทบ. แล้วใครก็แตะต้องไม่ได้

ทหารต้องอยู่ภายใต้รัฐบาล

ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงบทบาทของกองทัพไทยตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ว่ามีบทบาทในสังคม อย่างกว้างขวางมาก จนกระทั่งพูดว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากกอง ทัพก็อยู่ไม่ได้ ทั้งที่ควรตั้งคำถามว่ากองทัพเข้ามามีบทบาทสูงเช่นนี้ดีหรือไม่ดี จะเกิดผลพวงต่อพัฒนาการของสังคมและแนวโน้มในอนาคตอย่างไร โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายที่ก่อนปี 2549 นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้พิจารณาและเสนอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่นับตั้งแต่ปี 2551 กลับต้องผ่าน พ.ร.บ. กระทรวงกลาโหม ทำให้โผทหารประจำปีอยู่ในกำกับ ของคณะกรรมการที่มีผู้นำกองทัพเป็นเสียงข้างมาก

ดร.ผาสุกยังชี้ว่า ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนในโลกที่ตำแหน่งสำคัญในกองทัพรัฐบาลแทบจะไม่มีบทบาท เข้าไปเกี่ยวข้อง และในระบอบประชาธิปไตยทั่วไปบทบาทของผู้นำฝ่ายทหารมีจำกัด แต่ผู้นำกองทัพไทยกลับมีบทบาทหลายสถานะ ใส่หมวกหลายใบ ทั้งยังออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อบ่อยครั้ง ทั้งเรื่องนโยบายต่างประเทศและการเมือง โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตย ซึ่งเหมือนดูดีแต่ต้องยอมรับว่าเป็นไปอย่างมีนัย

กล้าปลด ผบ.ทบ.?

รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย จึงไม่สามารถมองข้ามบทบาทและอำนาจของกองทัพในปัจจุบันได้เลย โดยเฉพาะตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก หากไม่มีการ “ปฏิรูปกองทัพ” เพื่อดึงกองทัพกลับเข้าไปอยู่ในระบบเพื่อทำหน้าที่ด้านความมั่นคงอย่างนานา ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็ไม่มีใครเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่เกิด การปฏิวัติรัฐประหารอีก แม้เป็นเรื่องยากที่ จะทำให้ทหารเป็นฝ่ายปฏิรูปภายในเอง เพราะกองทัพไทยอยู่ในลักษณะรวมศูนย์ที่อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ผู้บัญชาการ ทหารบก ไม่ใช่ 5 เสือกองทัพอย่างที่พูดกัน

การปฏิรูปการเมืองจึงมีความสำคัญเช่นเดียวกับการปฏิรูปกองทัพที่ฝ่ายการ เมืองและกองทัพจะต้องก้าวไปด้วยกัน แต่กองทัพยังคิดว่าตัวเองใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด แม้แต่คำว่าประชาธิปไตยก็ต้องอยู่ภายใต้กองทัพ

เพราะฉะนั้นหากต้องการให้ประชาธิปไตยมีความมั่นคงอย่างแท้จริง ฝ่ายการเมืองคือรัฐบาลต้อง กล้าปฏิรูปกองทัพไปพร้อมกับการปฏิรูปการเมือง เพราะบ้านเมืองจะไปได้นั้นไม่ใช่แค่ได้ข้าราชการดีเท่านั้น แต่ต้องมีกองทัพที่ดีและ “ทหารดี” ด้วย

จึงเป็นเรื่องปรกติในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกตัวแทน ของเขามาเป็นรัฐบาล เพื่อมีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ และสามารถตรวจสอบการใช้เงินภาษีของประชาชนได้

กองทัพที่ดีและทหารดีต้องเคารพเสียงของประชาชน และเป็นสถาบันที่โปร่งใส พร้อมจะให้ตรวจสอบได้ เช่นเดียวกับข้าราชการและนักการเมือง

ไม่แน่…นอกเหนือจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะบันทึกว่า “เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิง” แล้ว

บางที…อาจ “เป็นครั้งแรกที่ ผบ.ทบ. ถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิง” ก็ได้

เพราะประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่มีอำนาจตามกฎหมาย โดยมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าเห็นว่า ผบ.ทบ. ไม่เคารพเสียงของประชาชน รัฐบาลต้องกล้าที่จะเปลื่ยน โยกย้าย หรือปลด ผบ.ทบ.

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 321 วันที่ 30 กรกฎาคม – 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


วาทกรรมตอแหลฉบับออนไลน์

“ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียวคือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลัง ปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้”

ข้อความสรุปท้ายของบันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” ตอนที่ 1 “การเมืองสลับขั้ว : สู่เส้นทางนายกรัฐมนตรี” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการใช้เฟซบุ๊คหรือสังคมออนไลน์ในทางการเมืองที่ได้ รับการตอบรับดีเกินคาด ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือแง่ลบ เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คในการต่อสู้ทางการเมืองตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา

แต่บันทึกของนายอภิสิทธิ์ที่เขียน 3 ตอนนั้นไม่ใช่แค่สะท้อนให้เห็นความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นความ จริงทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางการเมือง การจับขั้วทางการเมืองโดย “อำนาจพิเศษ” และเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

พายเรือให้โจรนั่ง!

อย่างบันทึกตอนที่ 1 กล่าวถึงการจับขั้วตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และ “พายเรือให้โจรนั่ง” ว่าเข้าใจความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่นายเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอด แต่ต้องให้ความเป็นธรรมนายเนวินที่ตัดสินใจย้ายขั้วทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนั้นตนเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่านายเนวินตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ ประเทศเดินหน้าได้

ส่วนข้อกล่าวหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ไปปล้นอำนาจใคร แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา ทั้งไม่เคยติดต่อกับทหารคนใด และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส. ได้

ตุลาการ “วิบัติ”!

ในบันทึกตอนที่ 1 นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงช่วงก่อนการยุบพรรคพลังประชาชนว่า นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ติดต่อผ่าน ส.ส. คนหนึ่งเพื่อขอพบตน เพราะมีธุระอยากพูดคุยด้วย และได้ไปพบกันที่ร้านอาหารใกล้พรรคประชาธิปัตย์

“คุณพสิษฐ์บอกผมว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบนะ ผมก็เพียงแต่รับฟัง คุณพสิษฐ์บอกกับผมว่าที่เล่าให้ฟังเพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิ ปัตย์ ซึ่งผมตอบกลับไปว่าการยุบพรรคพลังประชาชนหรือไม่เป็นเรื่องของเนื้อคดีและ ดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายพสิษฐ์ออกมาตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้นัดหมาย แต่ได้รับคำสั่งให้ไปพบนายอภิสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยทราบก่อนเวลานัดไม่ถึง 1 ชั่วโมง และได้พูดเรื่องยุบพรรคพลังประชาชนจริง โดยนายอภิสิทธิ์พูดว่า

“แม้ยุบพรรคพลังประชาชนพรรคเดียวก็ไม่ มีประโยชน์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังคง จับมือกันร่วมรัฐบาลต่อไป ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่นายอภิสิทธิ์โพสต์ในเฟซบุ๊ค หลังจากผมรับฟังจากท่านผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผมบอกว่าจะนำความกลับไปบอกผู้ใหญ่ให้ทราบถึงเป้าประสงค์ต่อไป”

นอกจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่ตรงกับนายพสิษฐ์แล้ว ยังทำให้เห็นชัดเจนว่ามี “ผู้ใหญ่” ที่ ไม่ได้เอ่ยนามเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆตามมาอีกหลาย พรรคหลังจากนั้น ซึ่งขณะนั้นคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” มีการพูดถึง อย่างมากมายเพื่อให้นำมาใช้แก้ปัญหาทางการเมือง

แต่วันนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” กลับกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ซึ่งหลายฝ่ายเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ พร้อมๆกับปฏิรูปการเมือง เพื่อหยุดปัญหา 2 มาตรฐานและการดึงสถาบันตุลาการมาเกี่ยวข้องกับการเมือง

อำนาจพิเศษ!

ส่วนบันทึกของนายอภิสิทธิ์ตอนที่ 2 “กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง” ก็ถูกนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ตอบโต้ว่านายอภิสิทธิ์ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” และไม่ให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งยังแฉหมดเปลือกว่าหากการตั้งรัฐบาลไม่มี “พลังที่ไม่สามารถเลี่ยงได้” บีบบังคับก็จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน ซึ่งนายอภิสิทธิ์อ้างในบันทึกว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100% เพราะต้องทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ “ผมต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มี และดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้”

คำพูดของนายชุมพลจึงไม่เพียงตอกหน้านาย อภิสิทธิ์ว่าโกหก ยังยืนยันว่าการตั้งรัฐบาลมี “อำนาจพิเศษ” หรือ “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังจริงๆ แม้นายอภิสิทธิ์จะตอบกลับว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือทำความเข้าใจกับนายชุม พล เพราะอีกไม่นานคงทราบว่าการเขียนของตนคืออะไร ทั้งจะไม่หยุดเขียน เพราะต้องการบันทึกความจริงเอาไว้

ถูกยัดเยียดฆ่าประชาชน

อย่างไรก็ตาม บันทึกทั้ง 2 ตอนไม่ฮือฮาเท่าบันทึกตอนที่ 3 โดยนายอภิสิทธิ์ระบุว่า “ขอเสนอความจริง” เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยระบุชนวนเหตุการณ์ปี 2553 มาจากศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,000 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และกล่าวหาว่าศาลตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงใช้วาทกรรม “2 มาตรฐาน” ปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้งโดยอำมาตย์

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าพยายามประนีประนอม โดยยึดหลักกฎหมายและความถูกต้อง ยอมนั่งเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงถึง 2 วัน 6 ชั่วโมง และเสนอทางออกจะยุบสภาช่วงปลายปี เพื่อให้เศรษฐกิจมั่นคงและการเมืองเป็นไปตามกติกา เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างเอามวลชนมากดดันไม่จบไม่สิ้น แต่ก็เกิดความรุนแรงเดือน “เมษา-พฤษภา” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ระบุว่าเพราะกองกำลังติดอาวุธ

นายอภิสิทธิ์ระบุอีกว่ามีการวางแผนเป็นขั้นตอนตั้งแต่เหตุการณ์เมษายน 2552 ที่เอามวลชนมาล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และไล่ล่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อจลาจลในช่วงสงกรานต์ ทั้งมีการเผยแพร่คลิปตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์เพื่อให้เข้าใจว่าตน “สั่งฆ่าประชาชน” จึงไม่ยอม รับวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองอย่างสันติ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา

“หากแกนนำคนเสื้อแดงและคุณทักษิณมีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการให้ยุบสภา ไม่เกี่ยวกับการล้างความผิดให้คุณทักษิณ ย่อมไม่มีความตาย 91 ศพเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แกนนำคนเสื้อแดงสามารถหยุดยั้งไม่ให้เกิดศพเพิ่มได้ แต่พวกเขากลับเลือกแนวทางสร้างศพเพิ่ม เพื่อยัดเยียดข้อหาฆ่าประชาชนให้ผม”

วาทกรรมตอแหล!

ข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ได้ต่างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ยังกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นผู้ก่อการร้ายและเผาบ้านเผาเมือง ทั้งยังระบุว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการฝึกอาวุธที่บริเวณแนวชายแดนบ้าง ท้องสนามหลวงบ้าง แต่จนถึงวันนี้ยังจับกุม “ไอ้โม่งชุดดำ” ไม่ได้เลย นอกจากการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง รวมถึง “ผังล้มเจ้า” แม้จะกลายเป็น “ผังกำมะลอ” ไปแล้ว แต่ยังใช้มาตรา 112 กล่าวหาและจับกุมคุมขังคนเสื้อแดงนับร้อยชีวิต

จนมีคำถามว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็นคนของฝ่ายใดกันแน่ เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ชอบซื้ออาวุธหรือไม่? ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ “ดีแต่พูด” สร้างภาพด้วยวาทกรรมปรองดองและประนีประนอม แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบทาง การเมืองใดๆกับ 91 ศพ ทั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยพูดสั่งสอนนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านว่า

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

แม้แต่การหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ก็มักจะอ้างแนวทางการปรองดอง แต่กลับโจมตีว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่จะทำคือการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศชัดเจนว่าสิ่งแรกที่จะทำคือแก้ปัญหาเศรษกิจและปัญหาปาก ท้องของประชาชน

ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 170 เสียงจะรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ประกาศ เพราะมั่นใจว่าได้มากกว่า 170 เสียงแน่นอน แต่ถ้าแพ้ยับต้องยกบ้านยกเมืองให้กับคนเผาบ้านเผาเมืองไป กล่าวหาอีกฝ่ายเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับไม่สามารถจับคนเผา ผู้ก่อการร้าย คนชุดดำได้แม้แต่คนเดียว ทั้งที่ใช้กำลังแทบจะทั้งกองทัพ

เรยาการเมือง?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เย้ยนายอภิสิทธิ์ว่าควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น “ลากไส้อภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งฉายา “เรยาการเมือง” เพราะไม่จริงใจสร้างความปรองดอง เอาประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นส่วนเล็กของปัญหามาทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “แก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น”

โดยเฉพาะบันทึกตอนที่ 3 นายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความ 13 ประเด็นผ่านเฟซบุ๊คตอบโต้บทความของนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่ความรุนแรงปี 2552 ที่พัทยาว่านายอภิสิทธิ์จงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงินที่เป็นชาย ฉกรรจ์ผมสั้นเกรียน ซึ่งมีทั้งปืน มีด และไม้เป็นอาวุธ ดักทำร้ายคนเสื้อแดงระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือจนบาดเจ็บหลายราย หรือกรณีชาวบ้านนางเลิ้ง 2 คนที่เสียชีวิตเพราะเป็นเหยื่อของการชุมนุมนั้น ผ่านมากว่า 2 ปี คดีคืบหน้าไปถึงไหน ได้คนทำความผิดหรือยัง และทำไมไม่พูดถึงคนเสื้อแดง 2 คนที่กลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยน้ำเจ้าพระยา

ภาพปิศาจ “ทักษิณ”

ส่วนการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายณัฐวุฒิระบุว่า เป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดกับการวาดภาพปิศาจใส่ฝ่ายตรง ข้ามเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยกับการต่อสู้ของ นปช. ในปี 2553 ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน

โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เมษายนนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวน มาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว 16.00-17.00 น. ซึ่งโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอสยังสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งที่บอกว่าไม่ใช่การขอคืน พื้นที่ แต่เป็นการปราบปรามประชาชน ทั้งมีข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่า “ต้องให้จบในคืนนั้น” ไม่มีตรงไหนเลยที่อธิบายว่านายอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

“การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี 2553 เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภา ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้น คำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชา เรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหา วันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า นปช. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ และอยากเห็นว่าเป็นใคร หรือคนที่รัฐบาลจับนั้นเอาไปขังไว้ที่ไหน คนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิต ระบุได้ว่าคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และ มีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจน ทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหน และตายไปแล้วดวงวิญญาณยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏ”

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า แกนนำคนเสื้อแดงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ หากผิดจริงในคดีก่อการร้ายก็มีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหมที่มีทหารอาวุธครบมือ แล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพ

“คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีก ผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูดสบตาประชาชนบ้างนะครับ”

มารยาร้อยเล่มเกวียน

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ทวีตข้อความตอบโต้นายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะโยนเรื่องทั้งหมดไปให้คนชุดดำนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่อาจกลบเกลื่อนความผิดของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายนก็เกินพอที่ทำให้นายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมแล้ว ส่วนความเสียหายหลังจากนั้นย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกัน

โดยเฉพาะการใช้วาทกรรมสวยหรูว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” หรือ “คืนความสุขให้ คนกรุงเทพฯ” และ “คืนความสงบให้บ้านเมือง” ไม่สามารถลบล้างภาพความรุนแรงที่เกิดจากการล้อม ปราบประชาชนด้วยกระสุนจริงและสไนเปอร์ได้

ข้อหา “ฆาตกรฆ่าประชาชน” ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าเป็นการยัดเยียดให้กับตนนั้นแตกต่างจากที่นาย อภิสิทธิ์และ ศอฉ. โยนความผิดทั้งหมดให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งวันนี้ยังจับไม่ได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทั้ง 91 ศพนั้นมีตัวตนชัดเจน คนบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน มีจำนวนมากที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล หลายคนต้องพิการ และยังมีผู้บริสุทธิ์อีกหลายร้อยคนถูกจับคุมขังโดยไร้หลักนิติธรรม

บันทึก “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” จึงยิ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศ “ตาสว่าง” และเป็นการประจานตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ที่ไม่เพียงอ้างข้อมูลที่ “ขัดแย้ง” และ “บิดเบือนข้อเท็จจริง” เท่านั้น ยังเป็นการ “พูดเองเออเอง” เพราะขี้ขลาดและกลัวความจริงจะถูกเปิดเผย

Facebook ของนายอภิสิทธิ์จึง เป็นแค่ Fakebook ไร้คุณค่า ด้วยวาทกรรมตอแหล “ดีแต่แก้ตัว” ฉบับออนไลน์เท่านั้นเอง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับ 315 วันที่ 18 – 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

“ผมบอกเลยว่าไม่ใช่นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็นโคลนนิ่งของทักษิณ ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด อีกข้อสำคัญหนึ่งก็คือ การที่คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยสออร์โนนี่พูดแทนผมได้เลย”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ “โพสต์ทูเดย์” ที่ประเทศบรูไนถึง เหตุผลที่เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยังสอดคล้องกับสโลแกน พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงครั้งนี้ว่า “คิดใหม่ ทำใหม่อีกครั้ง” และ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”

“สุเทพ” เย้ยเหมือนหนังตะลุง

ทันทีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างเป็นทางการ พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้เรื่องส่วนตัวโจมตีทันที โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ถากถางและเย้ยหยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเหมือนหนังตะลุงที่จะทำอะไรก็ต้องรอคำสั่งทางโทรศัพท์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ

“คุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออกว่าถ้าเป็นนายกฯแล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะวิพากษ์ว่าอย่างไร มันเหมือนหนังตะลุง ทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก มีส่วนที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศ ประชาชนที่เลือกตั้งต้องชั่งใจอย่างหนัก”

จี้ถามนิรโทษกรรม

โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจะกลับประเทศไทยปลายปีนี้ทั้งที่ยังมีคดีติดตัวนั้น นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถือโอกาสถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงขั้นตอนการเข้าสู่การล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะมีขั้นตอนอย่างไรโดยไม่ต้องรับผิด และมีแนวทางในการป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความวุ่นวายอย่างไร เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงในการเปิดตัวว่าจะอาศัยหลักนิติธรรมให้บ้านเมืองเดินไป ข้างหน้า ซึ่งขัดแย้งกับที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดว่าจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะการจะออกกฎหมาย ล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วย และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย

เช่นเดียวกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือกระบวนการที่จะล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยพยายามทำมาถึง 2 ปีแล้ว โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปราศรัยหรืออธิบายกระบวนการล้างความผิดที่จะไม่ให้เกิดความ วุ่นวายได้อย่างไร

ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ประกาศว่าจะมุ่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่คิดแก้แค้นว่า เป็นเพียงการสร้างภาพเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ควรใช้คำพูดนี้ แต่ควรไปถามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เผาเมือง เช่น ญาติของทหารที่เสียชีวิต และผู้ค้าย่านราชประสงค์ว่าจะไม่แก้แค้นหรือไม่ การออกมาพูดอย่าง นี้ถือว่าดูถูกคนไทยเกินไป คนไทยไม่ใช่คนลืมง่าย

ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข

การนำเรื่องนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณมาใช้โจมตีนั้น ความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แถลงข่าวตั้งแต่วันที่ปรากฏตัวครั้งแรกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนประชาชนทั่วไป โดยยึดหลักนิติธรรม อีกทั้งพรรคเพื่อไทยคงไม่ให้ตนทำเพื่อคนคนเดียวเช่นกัน แต่ต้องคำนึงถึงทุกคนและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งยืนยันว่าการเข้าสู่การ เมืองครั้งนี้เพราะต้องการรับใช้ประชาชน แก้ความทุกข์ยากของประชาชน สร้างความปรองดองและมองข้ามความขัดแย้ง

“ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข ดิฉันพร้อมที่จะรับการพิสูจน์ต่อสาธารณชนภายใต้กติกาและมารยาทที่เป็นธรรม”

เป็นคำแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่น่าจะตอบคำถามและสอนมวยให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่ง แต่โจมตีเรื่องส่วนตัว และพยายามตอกย้ำให้กลุ่มเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเป็นแนวร่วม ซึ่งนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ประชาชนก็เซ็ง เพราะในอดีตนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็เคยโดนมาแล

ประชาธิปัตย์ไม่ใช่สุภาพบุรุษ

ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ย้อนถามพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามดิสเครดิตโดยขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวว่า คนที่ขุดคุ้ยก็ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด เพราะสังคมไทยรู้ดี เมื่อออกมาก็ถูกเบรกกันเป็นแถว คิดว่ามันไม่ใช่สุภาพบุรุษด้วย อยากเห็นทุกฝ่ายเคารพในความเป็นคน และเคารพที่มาที่ไปของแต่ละคน ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ให้ประชาชนตัดสินใจ ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจคงทำได้ยาก เพราะวันนี้การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การเมืองภาคประชาชนแข็งแรง ในอดีตที่ผ่านมาเห็นแล้วว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ถูกต้องและประชาชนไม่เอาด้วย รัฐบาลก็ไม่สามารถไปต่อได้

นายสมศักดิ์ย้ำว่า ไม่มีใครทำลายสถาบันการเมืองได้ดีเท่ากับคนในสถาบันการเมืองทำกันเอง อย่าดูถูกประชาชน อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ เขาแยกแยะได้ ถ้าฝ่ายการเมืองมาสาวไส้ตอแยกันเองจะเป็นอันตรายต่อระบอบ “อย่าไปกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น ขอให้เชื่อในพลังของประชาชนที่จะชี้นำประเทศได้ดีกว่าพรรคการเมือง”

จุดอ่อน “ยิ่งลักษณ์”?

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังมีจุดอ่อนหรือข้อด้อย คืออาจขาดการปรับตัวให้เข้ากับการเมือง โดยเฉพาะการเมืองไทยที่มีลักษณะเฉพาะ คือเป็นการเมืองที่ทำลายผู้นำ มีผู้นำคนแล้วคนเล่าถูกทำลายให้ล้มลง แต่เชื่อว่าหากความปรองดองเกิดขึ้นปัญหานี้จะเบาบางลง เพราะทุกฝ่ายอยากเห็นความปรองดองจริง มีการแก้รัฐธรรมนูญแล้วความปรองดองน่า จะเกิดขึ้นได้ และการเมืองจะปรกติ ยิ่งเป็นผู้หญิง และไม่มีพื้นฐานด้านการเมือง ไม่เคยมีความแค้น ส่วนตัวกับใคร ไม่มีความชอบส่วนตัวกับการเมือง ฝ่ายไหน ยิ่งช่วยให้สะดวกที่จะเข้าไปพูดคุยหารือ กับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความปรองดอง ซึ่งความเป็นผู้หญิงจะเป็นจุดแข็ง และตอนนี้ได้เดินสายพูดคุย คือเริ่มทำงานปรองดองแล้วด้วยซ้ำไป

“เมื่อไม่มีใจเขาก็เป็นกลางที่จะเข้าไปพูดคุยกับทุกฝ่ายให้เกิดความ ปรองดอง สถานะความเป็นผู้หญิงจะไปขอความปรองดองจากทุกฝ่าย ไปพูดจา ไปพบปะคนได้โดยไม่มีการแบกอคติทางการเมืองไว้”

“อภิสิทธิ์” ท้าดีเบต “ยิ่งลักษณ์”

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้หนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรค เพื่อไทย โดยนายอภิสิทธิ์กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบและถูกโจมตีทั้งเรื่อง ส่วนตัวและความรู้ความสามารถ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์มีประสบการณ์ทางการเมืองมากกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะการเป็นนักพูดที่ยากจะหาผู้ต่อกรได้ จึงไม่แปลกที่ทั้งนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ต่างออกมาเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “ดีเบต” หรือแสดงวิสัยทัศน์กับนายอภิสิทธิ์

แต่พรรคเพื่อไทยออกมาคัดค้านและประณามพรรคประชาธิปัตย์ว่ายังมีพฤติกรรม แบบการเมืองรุ่นเก่าเต่าล้านปี ต้องการใช้สำนวนโวหารเป็นอาวุธประหัตประหารผู้อื่นในทางการเมือง แทนที่จะเอาผลงานมาแข่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์สามารถเอาผลงานกว่า 2 ปีที่ผ่านมามาหาเสียงหากคิดว่าประชาชนยอมรับ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดนั้นเหมือนมวยออกอาการ พอจะแพ้ก็วิ่งเข้าใส่เพื่อแลกหมัด หวังจะแลกเพื่อน็อก น.ส.ยิ่งลักษณ์

นอมินีอำมาตย์ “ดีแต่พูด”

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนว ร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการท้าดีเบตว่า เพราะพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ได้เปรียบอย่างมากหากเทียบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่กลับไม่สงสารคนไทยที่กว่า 2 ปี นายอภิสิทธิ์ดีแต่พูด เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วยังจะหาเวทีพูดอีก ซึ่งคนไทยเห็นตัวตนของนายอภิสิทธิ์หมดแล้ว

ส่วนที่นายสุเทพบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเพราะไม่ยอมรับความจริงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรระดับ หมื่นล้าน ซึ่งมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง หรือถ้ามองในมิติบริหารถือเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ ยิ่งบวกกับความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาผสมยิ่งมีความลงตัวที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม

“ดีกว่านายอภิสิทธิ์ที่เป็นหุ่นเชิดของอำนาจนอกระบบ แต่ไม่มีต้นทุนความสามารถเลย เมื่อเข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็มีสภาพและข่าวทุจริตอย่างที่เห็น ผมจึงขอให้สโลแกนใหม่ว่าเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นโยบาย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้ารักนายสุเทพ นายเนวิน ให้เลือกนายอภิสิทธิ์ ผมเชื่อว่าประชาชนจะพิจารณาได้”

นายณัฐวุฒิยังท้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้าเห็นว่านายอภิสิทธิ์เก่งกาจสามารถ เป็นที่รักของประชาชนเหลือเกิน มั่นใจและแน่จริงก็อย่าโกงผู้หญิงแล้วกัน อย่าใช้อำนาจนอกระบบโกงคะแนนเลือกตั้งและแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล ทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน

“ไฮแจ๊ค” จนชาติป่นปี้

การไล่ถล่ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงน่าจะเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงนายอภิสิทธิ์และพรรคประชา ธิปัตย์มากกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนได้ฉายา “รัฐบาลเทพประทาน” สะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ให้กลุ่มอำนาจนอกระบบหรือกลุ่มอำมาตย์

ด้านนายเสนาะ เทียนทอง ที่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มั่นใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกำลังจะทำงานใหญ่และจะได้เป็นรัฐบาล แต่สงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาในจุดนี้ เพราะรัฐบาลนี้ทำอะไรไม่เป็น นอกจากกู้อย่างเดียว

“ผมเป็นผู้จัดการรัฐบาลมาหลายสมัย แต่ไม่เคยเห็น ครม. ไหนอนุมัติโครงการวันเดียวเป็นแสนล้านบาท ผมยังมีฤทธิ์อยู่ และเชื่อว่าจะพาลูกหลานไปสู่จุดหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เพราะขณะนี้ได้ประสานกับหลายฝ่ายเอาไว้พอสมควร ที่มีคนบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีอุปสรรค ไม่ว่าจะได้เสียงเท่าไรก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลนั้น ต่อไปนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะตั้งแต่มีการไฮแจ๊คปล้นกันกลางแดดจนทำให้ประเทศชาติเสียหายป่นปี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเข้ามาบริหารประเทศอีกสมัย และคิดว่าอาจจะเป็นพรรคเดียวก็ได้”

หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญว่า จะทำให้การเมืองไทยเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยต่อไปได้หรือไม่เท่านั้น แต่ประชาคมโลกก็ติดตามและเฝ้ามองว่าในที่สุดประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” การปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่

เพราะความขัดแย้งไม่ได้อยู่แค่การแย่งชิงอำนาจในระบบของพรรคการเมืองว่า ใครจะได้เป็น รัฐบาล แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “โคลนนิ่งทักษิณ” เป็นตัวแทน ส่วนกลุ่มอำนาจเดิมหรือกลุ่มอำมาตย์ มีนายอภิสิทธิ์เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด”

อย่างที่นายแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า การเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นย่างก้าวที่กล้าหาญและเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ แม้เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกมองว่าเป็นการส่งมอบอำนาจของตระกูลชินวัตร แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และพวกพ้องกลัวที่สุดคือการลงแข่งขันกับ พ.ต.ท.ทักษิณในสนามเลือกตั้ง

ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณยืน ยันว่าเป็น “โคลนนิ่ง” ไม่ใช่ “หุ่นเชิด” จึงเป็นคนที่มีความสามารถและตัดสินใจได้เองทุกอย่าง ไม่เหมือนนายอภิสิทธิ์ที่ถูกมองว่าเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ของกลุ่มอำมาตย์ที่ “ดีแต่พูด” ไม่มีผลงานชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ยังไม่กล้าแตะต้องแม้แต่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาสารพัดว่า ทุจริตคอร์รัปชัน

การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็นการตัดสินใจของคนไทยทั้งประเทศว่าจะกล้า เปลี่ยนแปลงประเทศโดยเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งให้ได้เสียงแบบถล่มทลายไปเลยหรือ ไม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ว่าจะเป็น “หุ่นเชิดอำมาตย์” หรือ “โคลนนิ่งทักษิณ” ความขัดแย้งในบ้านเมืองก็จะยุติไปเอง

เพราะในสังคมประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ประชาชนย่อมมีสิทธิเลือกผู้ปกครองของตัวเอง

ไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียงสวรรค์จากที่ไหน!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 311 วันที่  21 – 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16 – 17
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน


ไพ่สุดท้าย‘อภิสิทธิ์’‘ยุบ’ก่อน‘ยึด’

“ให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิด โอกาสให้บุคคลที่มีความสามารถ กล้าหาญ เข้ามาบริหารราชการแทน พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจในการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในชาติให้หมดสิ้น มีวุฒิภาวะ และมีความเป็นผู้นำที่ซื่อสัตย์ต่อชาติ ต่อประชาชน ไม่โกหกหลอกลวงประชาชน มีคุณธรรม ศีลธรรม เข้ามาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป”

แถลงการณ์ยกระดับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวัน ที่ 5 กุมภาพันธ์ เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหากัมพูชาที่รุกล้ำและยึด ครองดินแดนไทย ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดและเกิดการปะทะกันจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ แทนที่จะปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ กลับกระทำการในลักษณะสมยอมจำนน หรือมีพฤติกรรมยอมรับการเข้ายึดครองและรุกล้ำดินแดนไทยของกัมพูชา

นอกจากนี้ยังระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศ ตลอดจนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ล้วนมีพฤติกรรมสมคบกันทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทยต้องตกอยู่ภาย ใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ทำลายเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชนไทย ก่อความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชาติและแผ่นดินไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนให้แก่กัมพูชาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน

เปลี่ยนแผนเพราะม็อบเหี่ยว!

อย่างไรก็ตาม การยกระดับการเคลื่อนไหวไปยังสถานที่สำคัญต่างๆในวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ เพื่อกดดันนายอภิสิทธิ์นั้น พันธมิตรฯได้ประกาศเปลี่ยนแผนเป็นการเคลื่อนคาราวานนำสิ่งของไปมอบให้กับ ทหารในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีษะเกษ หลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 9-23 กุมภาพันธ์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ 7 เขตคือ เขตดุสิต เขตพระนคร เขตวัฒนา เขตราชเทวี เขตวังทองหลาง เขตปทุมวัน และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) โดยมี พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นผู้อำนวยการ

“จะคลี่คลายสถานการณ์ให้เรียบร้อยให้ได้” พล.ต.อ.วิเชียรประกาศงานแรกของ ศอ.รส. โดยออกมาตรการห้ามเข้าถนนสายสำคัญรอบทำเนียบรัฐบาล และจะเจรจาให้กลุ่มพันธมิตรฯเปิดเส้นทางสัญจรตามปรกติ หากไม่ยอมจะดำเนินการเคลื่อนย้ายคนและสิ่งของออกจากพื้นที่ตามข้อบังคับใช้ กฎหมาย โดยจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก 20 กองร้อย เป็น 50 กองร้อย แต่หากพื้นที่ใดมีสถานการณ์ความวุ่นวายก็จะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯเพิ่มเติม เช่น บริเวณศาลอาญา ซึ่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะชุมนุมกันในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ซึ่งนายสุเทพไฟเขียวให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เต็มที่

อย่างไรก็ตาม รายงานของฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลยังเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะมีการเคลื่อน ไหวเพื่อยกระดับกดดันรัฐบาล แต่เพราะจำนวนผู้ชุมนุมยังไม่มากพอจึงต้องปรับแผน ซึ่งอาจสร้างเงื่อนไขให้เกิดสถานการณ์ที่จะทำให้มวลชนออกมาร่วมมากขึ้น จึงต้องมีการเตรียมพร้อม 100% ทั้งกำลังตำรวจและทหาร เพราะในทางการข่าวของเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าทางกลุ่มพันธมิตรฯจะไม่ประกาศ ชัดเจนบนเวทีว่าจะไปไหนในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ แต่ได้ใช้การพูด “ปากต่อปาก” ซึ่งคาดว่าอาจมีการปิดล้อมอาคารรัฐสภาก็เป็นได้

แต่ฝ่ายพันธมิตรฯกลับมองว่าการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯเท่ากับสะท้อนถึง “ความไม่มั่นคง” ของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษเพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เคลียร์พื้นที่” และอ้างสถานการณ์ความมั่นคงจัดการกับผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาดทันทีที่ผู้ ชุมนุมมีปฏิกิริยาตอบโต้ แม้จะเสี่ยงต่อสถานการณ์ที่อาจลุกลามจนนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร หรือมีการใช้ “อำนาจพิเศษ” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลอย่างแถลงการณ์ของพันธมิตรฯก็ตาม

ปูดสุมหัวรัฐประหาร!

แม้ผู้นำกองทัพจะออกมาปฏิเสธกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหาร แต่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ที่อ้างว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งวางแผนรัฐประหาร โดยหารือที่จังหวัดเพชรบูรณ์และโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และมีการหารือกันที่บ้านไฮโซเจ้าของเหมืองแร่จังหวัดภูเก็ตที่มีความใกล้ชิด กับกลุ่มอำมาตย์ ทั้งยังอ้างถึงนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีคำขวัญในการหารือว่า “ใช้มวลชนปฏิวัติ เปลี่ยนแปลง การปกครอง”

“เหลืออย่างเดียวที่บรรดาคณะผู้วางแผนยึดอำนาจยังตกลงกันไม่ได้คือจะให้ ใครเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะกลุ่มหนึ่งสนับสนุน พล.อ.ป.ปลา ที่โหรวารินทร์เคยทำนายไว้ว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และกลุ่มที่สองสนับสนุนนายสุรเกียรติ์ ที่ผมออกมาพูดเรื่องนี้เพราะไม่ต้องการให้บ้านเมืองถลำลึกไปมากกว่านี้”

นายจตุพรกล่าวอีกว่า การพูดคุยเหมือนบรรยากาศที่บ้านนายปีย์ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งยังเปิดเผยภายหลังว่าก่อนการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา 2 วัน มีนายทหารยศ “พันเอก” ที่เจื้อยแจ้วอยู่ในขณะนี้ไปพูดกับเพื่อนๆว่าอีก 2 วันจะยิงเขมรและเกิดเหตุปะทะขึ้นจริง จึงตั้งคำถามว่าใครเป็นคนสั่งการให้นำรถแทรกเตอร์เข้าไปบริเวณวัดแก้วสิกขา คีรีสวาระจนเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดการปะทะ เหมือนสอดรับกับการปลุกกระแสคลั่งชาติในขณะนี้ที่ต้องการจะนำไปสู่การรัฐ ประหาร

“อภิสิทธิ์” ใช้โวหารสู้!

แม้นายสุรเกียรติ์และนายสนธิจะออกมาปฏิเสธ แต่นายสนธิยังปล่อยข่าวว่าเดินทางไปคูเวตเพื่อร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งนายสนธิระบุว่า นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนปล่อยข่าว ซึ่งนายเทพไทก็ออกมาปฏิเสธทันทีเช่นกันและให้นายสนธิแก้ข่าว ไม่เช่นนั้นอาจฟ้องนายสนธิเป็นคนแรก ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ฟ้องใครเลย

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ตั้งคำถามถึงคำพูดของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่ว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯทุกครั้งจะไม่จบด้วยดีว่า มองไม่เห็นว่าการปฏิวัติจะช่วยประเทศได้อย่างไร เพราะปฏิวัติทุกครั้งมีบาดแผลตกค้างทุกครั้ง กระบวนการเสื้อแดงก็เป็นบาดแผลที่ยังไม่จบจากครั้งที่แล้ว ลองไปถามคนที่ต้องทำงานหลังการปฏิวัติดูว่าเหนื่อยแค่ไหน จึงเข้าใจยากว่าทำไมจึงมีข้อเรียกร้องอย่างนี้

“ถึงบอกว่าถ้าไม่ชอบรัฐบาลนี้ก็อีกไม่กี่เดือนจะไปเลือกตั้งกันแล้ว แต่ถ้าไม่เชื่อในกระบวนการการเลือกตั้งอีก แล้วเชื่อประชาธิปไตยแบบไหน ถ้าไม่เชื่อประชาธิปไตยอีก ก็ถามว่าคุณจะอยู่ในโลกนี้ยุคนี้อย่างไร มีคนพูดว่ารัฐประหาร ไม่รัฐประหารอย่างไร”

จึงเห็นได้ชัดเจนว่านอกจากนายอภิสิทธิ์ไม่กลัวการกดดันของกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว ยังใช้ทุกโอกาส ทุกเวทีเพื่อตอบโต้และสร้างภาพการเป็นนักการเมืองที่เชื่อมั่นในระบอบ ประชาธิปไตยและพร้อมจะยุบสภา ซึ่งเหมือนการดิสเครดิตพันธมิตรฯไปโดยปริยายว่ายังมีความคิดอิงแอบอำนาจ เผด็จการ อย่างที่ พล.ต.จำลองตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ที่ออกมาชุมนุมก็เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 เท่านั้น ส่วนใครจะปฏิวัติหรือใครจะมาเป็นรัฐบาลไม่ได้สนใจ แต่ถ้ามาแล้วทำไม่ถูกต้อง พันธมิตรฯก็ต้องออกมาอีก

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็สร้างภาพเรื่องยุบสภาโดยใช้โวหารเดิมๆ อย่างในงานสัมมนา ASEAN-CLSA Forum ซึ่งมีนักการเงินการธนาคารทั้งในและต่างประเทศ โดยยืนยันว่าพร้อมให้มีการเลือกตั้งภายในช่วงครึ่งปีแรกนี้ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เหลือเพียงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะพิจารณาวาระ 3 ในวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ และต้องแน่ใจว่าการเลือกตั้งไม่มีความรุนแรง โดยก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ได้แถลงกับผู้สื่อข่าวว่าพร้อมคืนอำนาจให้ ประชาชนอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วบอกว่ารัฐบาลจะทอดเวลา ยุบสภา นั้นก็อยากให้ยื่นมาเร็วๆ รีบอภิปรายให้จบๆไป จะได้ยุบสภาได้ เพราะการจัดทำงบ ประมาณกลางปี 2554 เดือนมีนาคมก็เสร็จแล้ว จึงไม่มีเงื่อนไขเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 2555 มาเกี่ยวข้อง อย่างนั้นมันไม่จบ

แม้นายสุเทพจะออกมาพูดภายหลังว่ารัฐบาลไม่ถึงทางตัน ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามปฏิทินที่กำหนดไว้ก็ตาม แต่นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ ส.ส.มหาสารคาม พรรคภูมิใจไทย เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ส่งสัญญาณว่าพร้อมยุบสภานานแล้วหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 เพราะขณะนี้ปัจจัยทุกอย่างครบหมดแล้ว โดยเชื่อว่าจะยุบสภาไม่เกินเดือนเมษายนนี้

“ปฏิวัติ” เพราะดื้อด้าน

ด้านนายประพันธ์ คูณมี หนึ่งในโฆษกการชุมนุมพันธมิตรฯ ตอบโต้นายอภิสิทธิ์ว่า ใส่ร้ายพันธมิตรฯผ่านสื่อให้เข้าใจผิดว่า พล.ต.จำลองและพันธมิตรฯเรียกร้องให้มีการปฏิวัติ ทั้งที่ พล.ต.จำลองเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกหากทำหน้าที่ไม่ได้ จึงพูดว่าจบไม่สวย แต่นายอภิสิทธิ์กลับบิดเบือนใส่ร้าย ไม่เคารพสิทธิและไม่ฟังความเห็นของประชาชน นายอภิสิทธิ์ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองและไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่เคยประกาศว่านักการเมืองต้องมีจิตสำนึกสูงกว่าสำนึกทางกฎหมาย ดังนั้น หากรัฐบาลถูกปฏิวัติจริงก็เป็นเพราะดื้อด้านไม่สนใจประชาชน

นอกจากนี้มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยการประเมินสถานการณ์ทางการ เมืองของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ โดยยก 4 เหตุการณ์คือ การชุมนุมของพันธมิตรฯ การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง กรณีพิพาทระหว่างทหารไทย-กัมพูชา และการพิจารณารัฐธรรมนูญวาระที่ 3 รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นมีผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 3 อย่างคือ ยุบสภา การปฏิวัติ และนายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งนายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าทางเลือกมีทางเดียวคือประกาศยุบสภาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงกับการเกิดการปฏิวัติ

ส่วน พล.ต.จำลองก็ยืนยันว่ารัฐบาลมี 2 ทางเลือกคือ ลาออก หรือสลายการชุมนุม แต่จะกลับมาใหม่จนกว่าจะได้ชัยชนะ ไม่ว่าจะประกาศใช้กฎหมายใดก็ตามกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหารเป็นไปได้ทั้ง นั้น และตนก็เชื่อด้วย เพราะการเมืองประเทศไทยยังไม่มั่นคง ขอย้ำว่าพันธมิตรฯไม่ได้เปิดทางให้มีการปฏิวัติ แต่หากเกิดขึ้นจริงก็ไม่สามารถห้ามได้ เพราะพันธมิตรฯไม่มีอำนาจไปห้ามได้

“ขณะนี้ประเทศไทยเหมือนคนไข้ที่กำลังป่วยร้ายแรง เราไม่เลือกแพทย์แผนปัจจุบันหรือหมอฝังเข็มที่จะมารักษาเรา แต่ต้องเป็นหมอที่สามารถรักษาโรคเราได้ ทั้งในเรื่องการสูญเสียดินแดนอธิปไตย และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะมาจากกระบวนการใด”

ยกระดับเปิดทาง “ปฏิวัติ”!

สถานการณ์การเมืองขณะนี้ การปฏิวัติรัฐประ-หารเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะทุกฝ่ายรู้ดีว่าการปฏิวัติรัฐประหารของไทยนั้น ที่ผ่านมาในอดีตส่วนใหญ่เกิดจากการยื้อแย่งอำนาจทางการเมืองระหว่างทหารและ พลเรือน หรือเพราะทหารสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ โดยทหารจะอ้างเรื่องความมั่นคง การปก ป้องสถาบันเบื้องสูง และการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง แต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการจัดฐานอำนาจของกลุ่มอำมาตย์กับกลุ่มทุนเก่าหลังจากถูกกลุ่มทุนใหม่ แย่งชิงไป ไม่ได้เป็นไปตามอุดมการณ์การเมือง โดยอ้างเรื่องความมั่นคง และอิงแอบสถาบันเบื้องสูง ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯและพรรคประชาธิปัตย์รู้ดี

ดังนั้น จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่จึงอยู่ที่ว่า “อีแอบ” จะเลือกฝ่ายใดให้ขึ้นมารับใช้ และกดปุ่มไฟเขียวเมื่อไร โดยมีกองทัพเป็น “ยักษ์สีเขียว” ถือกระบอง เพราะกองทัพไทยไม่ได้ให้คำปฏิญาณว่าจะปกป้องรักษารัฐธรรมนูญ หรือให้ปฏิเสธคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แม้คำสั่งนั้นจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิเสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของประชาชน

อย่างวลีอมตะของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ว่า “รัฐบาลเป็นแค่จ๊อกกี้ แต่ไม่ใช่เจ้าของคอกม้า” ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตยอย่างชัดเจน กองทัพไทยจึงไม่ใช่กองทัพของประชาชนและรัฐบาล แต่เป็นทาสรับใช้ “เจ้าของคอกม้า”

ไล่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะปฏิวัติ!

“การผลักดันให้ยกระดับการต่อสู้ เดือดร้อนประชาชนคนอีสานใต้นับหมื่นราย ผมนึกถึงที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดว่า ถ้าท่านตายก็ไม่อยากตายด้วยความโง่จากสงครามที่คนอื่นก่อ นี่คือสงครามของคนที่ไม่ได้อยู่ชายแดนก่อ คนก่อคือคนอยู่เมืองหลวง ใช้การเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองร่วมกับการที่ในประเทศเองก็มีความแตก แยกมาก จนอาจนำไปสู่การปฏิวัติได้ บ้านเมืองจะยิ่งจมดิ่งไปกว่านี้”

นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหา-วิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นเรื่องชายแดน และกระแสชาตินิยมกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ซึ่งถูกชูขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อต่อต้านและล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างเสียม โป๊ย กั๊ก แล้วใช้ประเทศเป็นข้ออ้าง ซึ่งปลุกระดมได้ง่าย

“การปลุกกระแสในขณะนี้ก็เพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไล่ไปเรื่อยๆ ก็จะมีการยึดอำนาจ แล้วก็จะไม่มีประชาธิปไตย คนที่ไม่อยากใช้วิถีประชาธิปไตย คือคนไม่อยากเลือกตั้ง เพราะลงเลือกตั้งไปก็ไม่ได้สักที เลยรอเอาส้มหล่น ก็ไม่รู้ว่าส้มจะหล่นที่ใคร แต่เคยเห็นคนรุ่นเดียวกับผมได้ส้มหล่นไปหลายคน”

ชิงยุบสภาก่อนปฏิวัติ!

ดังนั้น นายอภิสิทธิ์จึงรู้ดีว่าถ้าไม่ชิงยุบสภาโดยเร็วก็ยิ่งเสี่ยงที่จะเกิด ปฏิวัติรัฐประหาร หรือมี “อำนาจพิเศษ” ให้ลาออก เพื่อจัดตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกาล” ซึ่งกลุ่มผู้มีอำนาจจะอ้างเข้ามาเพื่อแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองเหมือนเมื่อ ครั้งกลุ่มพันธมิตรฯขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยอ้างเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ความแตกแยก และการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯจึงไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่ไม่มีใครรู้ชัดเจนว่า ขณะนี้ “อีแอบ” ที่มีอำนาจที่แท้จริงนั้นตัดสินใจอย่างไรกับการเมืองไทย ไม่ใช่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจตามระบอบประชาธิปไตย

แม้แต่สำนักข่าวรอยเตอร์ยังรายงานว่า สาเหตุการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชายังคลุมเครือ แต่นักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุอาจมาจากพวกนายพลสายเหยี่ยวในกองทัพไทยและกลุ่มพันธมิตรฯที่ปลุกกระแส ชาตินิยม พยายามโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หรือพยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการรัฐประหารอีกครั้ง และล้มการเลือกตั้ง

ไม่เช่นนั้นกลุ่มพันธมิตรฯคงจะไม่ประกาศยกระดับขับไล่นายอภิสิทธิ์ให้ตาย กันไปข้างหนึ่ง แม้แต่การโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อย่างรุนแรง อาจเป็นละครฉากใหญ่ หลายฝ่ายจึงเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯกำลังสร้างเงื่อนไขเพื่อเปิดประตูสู่การ ปฏิวัติรัฐประหารมากกว่าให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีผลดีใดๆกับกลุ่มพันธมิตรฯเลย โดยเฉพาะพรรค การเมืองใหม่ที่ไม่มีโอกาสได้ ส.ส. แม้แต่คนเดียว

อย่างแถลงการณ์ของพันธมิตรฯที่ระบุชัดเจนว่า ต้องการเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความ สามารถ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจที่จะปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันให้หมดสิ้น มีวุฒิภาวะ และมีความเป็นผู้นำ ซื่อสัตย์ต่อชาติ ต่อประชาชน ไม่โกหกหลอกลวงประชาชน มีคุณธรรม ศีลธรรม เข้ามาบริหารชาติบ้านเมืองต่อไป

คนที่พันธมิตรฯต้องการจึงมีแค่ “พระเอกขี่ม้าขาว” ซึ่งจะโผล่ออกมาตาม “กลไกหรืออำนาจพิเศษ” จาก “มือที่มองไม่เห็น” ไม่ว่าจะผ่านทางกองทัพหรือตุลาการภิวัฒน์ก็ตาม

จากเหตุการณ์ปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชาโดยไม่มีความชัดเจนในสาเหตุ บวกกับการเคลื่อน ย้ายกำลังและการประชุมกันในที่รโหฐานของบรรดาบิ๊กๆทั้งหลายที่ถูกปูดออกมา เป็นระลอก สอดประสานกับ “ม็อบมีเส้น” ที่แม้จะ “หะรอมหะแรม” แต่กลับมีกำลังภายในจนทำให้ “รัฐบาลเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว” ฉวยโอกาสประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงไปในคราวเดียวกัน ย่อมแสดงถึงความหวั่นไหวของนายกรัฐมนตรีเบบี๋ที่สามารถเปลี่ยนสนามการค้าให้ เป็น “สนามรบและสนามเด็กเล่น” ได้ในคราวเดียวกัน

“การยุบสภาเพื่อหนีการถูกยึดอำนาจ” จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์

ยุบสภาดีกว่า โดนปฏิวัติแน่นอน

บ๊ายบาย… เบบี๋มาร์ค!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 298 วันที่ 12 – 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 หน้า 16
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
โดย : ทีมข่าวรายวัน



ความจริงบนฝาผนัง

“การสืบสวนสอบสวนคดีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเมื่อ เดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เป็นไปอย่างล่าช้า แม้จะมีรายงานหลุดออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าการเสียชีวิตของประชาชนบางส่วนเป็น น้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการต่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้ควรเป็นคดีพิเศษที่พนักงานสอบสวนต้องร่วมกับอัยการดำเนินการให้ แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำงานมานานกว่า 6 เดือนแล้ว และยังดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไม่ได้ส่งเรื่องให้อัยการตามที่กฎหมายระบุ”

ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษย ชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน

ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงคราม ออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก

“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”

ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน

ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศ ไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่า ฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ

“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”

ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง

ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร

นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิด ชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่าง เหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้

“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”

ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ

ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย

ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย

“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”

ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้

มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ

ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย

เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการ ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและ ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่ง ครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ

แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชน ที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯ กลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน

ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ

เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่อง ในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม

อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง

ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทย ปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ

ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ

ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก

ความจริงที่ถูกปิดกั้น

ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของ คนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมี ความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความ ยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ด และแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่าน ราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง

ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อย แล้วหรือเปล่า?

เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก

เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษา สถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม

และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อ แดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก

ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่น มาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูก ประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็น ใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ

ความจริงบนฝาผนัง

จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิด กั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุ ว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้

แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”

ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง

ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!

สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน

วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม

ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้

คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้

“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ

“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก

แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?

เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม…เหมือนเหตุการณ์มากมาย ในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง…

นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์…อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 295 วันที่ 22-28 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน