‘รัฐบาลอภิสิทธิ์’ ผู้ก่อการร้ายตัวจริง

ผศ.ดร.จารุพรรณ กุลดิลก อดีตอาจารย์พิเศษ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามาร่วมสังเกตการณ์การ เผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง และเห็นว่าผู้ก่อการร้ายตัวจริงก็คือรัฐบาล ไม่ใช่คนเสื้อแดงอย่างที่คิดกัน ที่คิดอย่างนี้เพราะเหตุผลดังนี้

ทำไมต้องยื่นฟ้องศาลโลกอาญาระหว่างประเทศ

สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อควบคุมและปราบปรามการชุมนุมของประชาชนที่มาเรียกร้องให้มีการยุบสภาตาม กรอบของรัฐธรรมนูญ แต่กลับมีการใช้กองกำลังทหารเข้าปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงในเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นการประทุษร้ายประชาชนพลเรือนอย่างเป็นระบบ ซึ่งอาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นธรรมนูญที่กำเนิดศาลอาญาระหว่างประเทศ

ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงที่ผ่านมาประเทศไทยได้ลงนามแต่ไม่ได้ให้สัตยาบัน ต่อธรรมนูญกรุงโรมก็ตาม แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์การใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนในประเทศซูดานและ คองโก ซึ่งไม่เคยลงนามในธรรมนูญ แต่ปัจจุบันประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศก็เป็นจำเลยในศาลโลกแล้วเช่นกันในฐานะอาชญากรต่อมนุษยชาติ

ใครเป็นผู้ยื่นฟ้อง

ผู้ยื่นฟ้องก็คือเจ้าทุกข์ทุกคน นั่นคือญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากการเข้ากระชับพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ใช้อาวุธสงครามเต็มพิกัดเข้ามาสลายการชุมนุมจำนวน 91 คน จากทั้ง 2 ช่วงเวลา และพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เข้าร่วมชุมนุมตามสิทธิที่มีอยู่แต่กลับเป็นผู้ ถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมโดยทหารมากกว่า 2,002 คน ทั้งบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงพิการและทุพลภาพ เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้

มีหลักฐานแค่ไหน

การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล เพราะการดำเนินการของ ศอฉ. ในการกระชับพื้นที่นั้นมีบรรดาสื่อสารมวลชนทั้งไทยและต่างชาติมากกว่า 200 คน ที่เข้ามาบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น หลักฐานมีมากมาย เนื่องจากนักข่าวต่างชาติอยู่ในเหตุการณ์กว่า 200 ชีวิต มีการบันทึกเหตุการณ์ว่าการสลายการชุมนุมมีการใช้อาวุธสงครามกับประชาชนมือ เปล่า และภาพเหล่านั้นได้เผยแพร่อย่าง real time ไปทั่วโลก ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถูกถ่ายทอดไปสู่สายตาของคนต่างชาติทั้งโลก

ยื่นฟ้องในข้อหาใด

การดำเนินคดีของประชาชนที่กล่าวหารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และคณะ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและพลเรือนที่อยู่ใน ศอฉ. ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยคณะตุลาการนูเร็มเบิร์ก ได้มีการยอมรับว่าการฆาตกรรมเป็นรูปแบบหนึ่งของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งทำให้บุคคลต้องมีความรับผิดชอบในอาชญากรรมภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกฎบัตรของคณะตุลาการทหารระหว่างประเทศ (The Charter of the International Military Tribunal) บัญญัติว่า อาชญากรรมต่อมนุษยชาติคือ การฆาตกรรม การทำให้สิ้นชีวิต การทำให้เป็นทาส การเนรเทศ และการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมอื่นๆที่กระทำต่อประชากรพลเรือน

ฟ้องใครบ้าง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสาทิตย์ วงหนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดใน ศอฉ.

ศาลจะใช้เวลาพิจารณาคดีนานไหม

ตรงนี้ไม่ทราบว่าจะใช้เวลาในการพิจารณานานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกระบวนการในการพิจารณา ซึ่งเชื่อว่าคงใช้เวลาพอสมควร แต่กระบวนการต่างๆจะเป็นไปอย่างเปิดเผยและยุติธรรมอย่างแน่นอน

“ประชาธิปไตย” คืออะไร

ประชาธิปไตยคือการเคารพว่า 1 คน มี 1 สิทธิ 1 เสียงอย่างเท่าเทียมกัน และประชาธิปไตยคือการเคารพเสียงของคนส่วนใหญ่ ในการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายในระดับประเทศ เสียงของประชาชนจะสะท้อนว่าประเทศเป็นอย่างไร ปัญหาของประเทศที่แท้จริงคืออะไร เสียงที่ซ้ำๆกันของประชาชนจะบ่งบอกปัญหาใหญ่ในด้านต่างๆ และรัฐจะต้องให้ความสำคัญในการจัดการปัญหานั้นเป็นอันดับต้นๆ เช่น ปัญหาหนี้สิน ความยากจน การศึกษา น้ำท่วม เป็นต้น ไม่ใช่เอาใจใส่โครงการที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชน เช่น รถเมล์ จนในที่สุดปัญหาหลักก็ไม่ได้แก้ไข เช่น กรณีน้ำท่วม จนมีผู้เสียชีวิตอย่างไม่ควรจำนวน 200 กว่าคน

คนเสื้อแดงคือผู้ก่อการร้ายจริงหรือ

ตรงนี้ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมรัฐบาลถึงจงเกลียดจงชังพี่น้องคนเสื้อแดงที่ เป็นคนไทยเช่นกัน เขามาทำหน้าที่และทำตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่รัฐบาลกลับบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ขนาดที่ภาคใต้มีระเบิดทุกวัน เจ้าหน้าที่ตายทุกวัน คนที่ก่อการเหล่านั้นยังไม่โดนข้อหานี้เลย ดังนั้น คำว่าผู้ก่อการร้ายเป็นข้อกล่าวหาของรัฐบาลซึ่งปราศจากหลักฐาน มีผู้ร่วมชุมนุมเรือนแสนเกือบทุกวัน รวมทั้งนักข่าวทั้งในและต่างประเทศเฝ้าสังเกตการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง อาจมีตำรวจ ทหารนอกเครื่องแบบปะปนอยู่ด้วยซ้ำ แต่ไม่ปรากฏว่าพบอาวุธหรือสิ่งผิดปรกติใดๆมาเป็นแรมเดือน

ซึ่งในทางกลับกันมีคนจำนวนมากทั่วโลกเห็นว่ารัฐบาลมีพฤติกรรมที่เปรียบ เสมือนผู้ก่อการร้ายมากกว่า โดยมีการนำทหารกว่า 80,000 นาย พร้อมอาวุธสงครามมาใช้กับพลเรือนมือเปล่า จำนวนมากกว่าไปรบกับต่างชาติเสียอีก ทั้งรถถัง เฮลิคอปเตอร์ซึ่งโรยแก๊สน้ำตาใส่บริเวณที่มีชาวบ้าน ทั้งคนแก่ เด็กเล็กนั่งอยู่จำนวนมาก มีการใช้ปืนสงครามนานาชนิดที่ใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่ประชาชนมือเปล่าในระยะ ประชิด มีการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์ และปิดกั้นไม่ให้กาชาดสากลเข้ามาดูแลพลเรือนตามสนธิสัญญาเจนีวา จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พฤติกรรมเหล่านี้ของรัฐบาลและ ศอฉ. เข้าข่ายเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายมากกว่า ซึ่งขัดกับหลักมนุษยธรรม และเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยแท้จริง

คนเสื้อแดงไม่จงรักภักดีจริงหรือ

นั่นเป็นข้อกล่าวหาเพื่อทำลายความชอบธรรมของกระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง และที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ข้อหานี้ได้ทำลายพลังของประชาชนและทำลายคน บริสุทธิ์มามาก แต่บัดนี้การยัดเยียดข้อหานี้กับคนเสื้อแดงดูเหมือนจะไม่สำเร็จแล้วในโลก ปัจจุบันที่ความจริงปรากฏได้ง่ายขึ้น เพราะความจริงปรากฏว่าคนที่ทำให้สถาบันเบื้องสูงเสื่อมเสียคือกลุ่มที่อ้าง อิงสถาบันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ และกลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ ในทางหลักสากลถือว่าการอ้างอิงสิ่งใดย่อมเป็นการทำลายสิ่งนั้น

ต่างชาติเขียนข่าวถึงพฤติกรรมของการดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องทางการ เมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลุ่มเหล่านี้จะใช้ข้ออ้างในการรักษาอำนาจ โดยการกล่าวหาและผลักไสให้ประชาชนบริสุทธิ์เรือนล้านไปอยู่ฝ่ายไม่จงรัก ภักดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เป็นวิธีคิดที่ไม่สร้างสรรค์และบ่อนทำลายระบบ คนที่อ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ทางการเมืองนั้นเป็นพฤติกรรม ที่ทำลายชาติอย่างแท้จริง

อนาคตคนเสื้อแดง

ประชาชนที่ตื่นตัวเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารการบ้านการเมืองทุกวัน เขาเหล่านั้นจะสามารถวิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ สังเคราะห์รูปแบบและทิศทางของประเทศได้อย่างแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้ประชาชนที่มีคุณภาพจำนวนมาก และวันหนึ่งคนเหล่านี้จะเป็นผู้นำทางความคิดและชี้นำสังคมและประเทศให้เป็น ไปในทิศทางที่เคารพประชาธิปไตย เคารพประชาชน และยกย่องให้เกียรติคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ประเทศไทยจะมีการปฏิรูประบบกฎหมายขนานใหญ่โดยเน้นไปที่หลักศักดิ์ศรีของความ เป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน

ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่

ที่บ้านเมืองไม่สงบสุขทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีความเป็นธรรมในบ้านเมือง หลักกฎหมายง่ายๆประเทศไทยยังไม่สามารถทำให้ตรงไปตรงมา จนเสมือนดูถูกสติปัญญาคนทั้งประเทศ อย่างไรก็ไม่มีวันที่จะเกิดสันติภาพได้ง่ายๆ

เรื่อง 2 มาตรฐานเป็นอย่างไร

เรื่อง 2 มาตรฐานกลายเป็นคีย์เวิร์ดประจำของรัฐบาลนี้ไปแล้ว เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง 2 มาตรฐานปรากฏขึ้นในข่าวต่างประเทศเป็นประจำ ซึ่งทุกคนสามารถค้นจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วยตนเอง และจะได้ทราบว่าต่างชาติมองประเทศไทยภายใต้การบริหารของนายอภิสิทธิ์และคณะ รัฐมนตรี รวมทั้งคนที่เกี่ยวข้องอย่างไร เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่าในเวลานี้ทั่วโลกกำลังให้ไทยเป็นตัวอย่างของคำ ว่า 2 มาตรฐานไปแล้ว เพราะเขาบอกว่าหากอยากรู้ว่า 2 มาตรฐานเป็นอย่างไรให้ศึกษาที่ประเทศไทย จะพบความจริงว่า 2 มาตรฐานคืออะไร

ภาพรวมของประเทศไทย

ในขณะที่ประเทศไทยมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดในแง่วิธีคิดในเรื่องโครงสร้าง การปกครอง การละเมิดสิทธิมนุษยชน การปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Freedom of Speech) และกองทัพ แต่ก็เป็นโอกาสที่ทำให้คนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายรวมไปถึงประชาชนคนไทยทุกคนได้เรียนรู้และตระหนักถึงปัญหา คนไทยเจ็บปวดมามากกับปัญหาความขัดแย้งที่ไม่มีทางออก ต่อไปคนจะยอมทดสอบทฤษฎีแห่งหลักการของการเคารพซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็น มนุษย์ คนในประเทศจะพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น และให้คุณค่านี้อยู่เหนือหลักอื่นๆในรัฐธรรมนูญ

กองทัพในสายตานักวิชาการ

กองทัพไม่ควรยุ่งกับการเมือง ไม่ควรนำวิธีคิดเรื่องการปกครองแบบทหารมาใช้กับการเมือง ส่วนตัวในฐานะที่ทำงานด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เห็นว่าการนำเอาโครงสร้างการ ปกครองแบบทหารมาใช้กับการปกครองประเทศเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ของคน ทำให้คนไม่พัฒนาศักยภาพของตนเองให้มีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่าง ไม่น่าแปลกที่ประเทศไทยไม่เคยมีคนเก่งในระดับโลก ไม่มีคนไทยเคยได้โนเบลหรืออื่นๆ เพราะที่ผ่านมาช่วงที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นโครงสร้างแบบเปิดกว้างสั้น เหลือเกิน

อนาคตของประเทศไทย

ประเทศไทยกำลังมาถึงทางตันมากขึ้นเรื่อยๆในด้านโครงสร้างแบบเผด็จการ การทำให้ประเทศชาติสงบสุขอย่างแท้จริงไม่ใช่การใช้กำลังกดขี่ปราบปราม หรือการปิดกั้นการเรียนรู้ของคน แต่ประเทศจะสงบสุขอย่างยั่งยืนได้เพราะปัญญา คนในสังคมต้องเรียนรู้ร่วมกันในโครงสร้างเปิดแบบประชาธิปไตย คนจะตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่ส่งผลต่อระบบ และจะร่วมมือกันดูแลพื้นที่ของตนเอง ประเทศชาติจะเข้าสู่ความสมดุลตามธรรมชาติและเกิดความสงบสุขที่แท้จริง

อยากบอกอะไรกับนายกฯ

อยากให้ศึกษาประวัติศาสตร์โลกให้มาก พฤติกรรมที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ของรัฐบาลคล้ายคลึงกับรัฐบาลนาซีมาก จัดตั้งรัฐบาลมาด้วยเสียงข้างน้อย เมื่อขึ้นสู่อำนาจก็เน้นไล่ล่าศัตรูทางการเมือง มีการใช้โฆษณาชวนเชื่อมหาศาลและปลุกกระแสชาตินิยม สุดท้ายทะเลาะกับเพื่อนบ้านไปทั่วและก่อชนวนของสงคราม วันนี้หากนายอภิสิทธิ์ยังมีสติดีอยู่ขอให้กลับสู่หนทางแห่งประชาธิปไตยและ เคารพหลักสิทธิมนุษยชน เพราะประวัติศาสตร์ไทยก็ถูกบันทึกทุกวันเช่นกัน

การเมืองไทยในสายตานักวิชาการ

เวลาของการเมืองไทยภายใต้ความคิดแบบเผด็จการยาวนานเกินไปแล้ว ประเทศไทยเคยอยู่ภายใต้บรรยากาศของประชาธิปไตย และมีความหวังกับการพัฒนาการเมืองมาก มีคนอาสาสมัครมาทำงานการเมืองมาก แต่วันนี้มีแต่คนรังเกียจ บ้านเมืองก็จะสิ้นหวัง หากอดทนให้ประชาธิปไตยได้เจริญเติบโตได้มากกว่านี้จะดีต่อประเทศไทย

ประชาธิปไตยของประเทศอื่นยาวนานเป็น 100 ปี ได้ลองผิดลองถูก และได้แก้ปัญหาเป็นลำดับๆไป แต่ประชาธิปไตยของประเทศไทยอย่างมาก 5-6 ปีก็มีการรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญทุกครั้ง ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไม่มีโอกาสเจริญเติบโต ลองผิดลองถูก สร้างองค์ความรู้และยืนหยัดได้ด้วยตนเอง เมื่อรากฐานไม่แข็งแรง คนไม่เคารพขั้นตอนในการพัฒนาประเทศ ด้านอื่นๆก็จะไม่เจริญด้วย ทั้งการศึกษา วิทยาการด้านอื่นๆ และสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

สุดท้ายวันนี้ประเทศไทยต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ คือต้องเคารพ 1 คน มี 1 สิทธิ 1 เสียง และตระหนักว่าแต่ละคนเป็นสมาชิกของระบบ มีความสำคัญในการพัฒนาระบบ เขาจึงจะลุกขึ้นมาร่วมมือกันและพาประเทศพ้นวิกฤตในด้านต่างๆอย่างทันท่วงที

มุมมองปัญหาการเมือง

มองว่าการใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ขาคือ บริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ไม่มีความสมดุลกัน เพราะตอนนี้ฝ่ายตุลาการมีอำนาจมากถึงขนาดทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่มีบทบาทในการบริหารประเทศ เพราะการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจนอกระบบเข้ามามีบทบาทต่อฝ่าย ตุลาการและกองทัพ ทำให้ดุลอำนาจไม่สมดุล ประเทศบริหารงานไม่ได้ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติถูกลดทอนบทบาทลงไป สุดท้ายความลำบากจะอยู่ที่ประชาชน เพราะปัญหาต่างๆไม่ได้แก้ไข รวมทั้งปัญหาเดิมคือเรื่องความยากจนก็ยังคงทวีคูณมากยิ่งขึ้น

คำว่า “ปฏิวัติ” คืออะไร

การปฏิวัติเป็นข้ออ้างที่จะมาแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่มีการคอร์รัปชัน เราพิสูจน์แล้วว่าปัญหาคอร์รัปชันแก้ไม่ได้ มันคือการใช้กำลัง ความสงบสุขจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะเกิดจากความเป็นธรรม แล้วก็จะสงบสุขไปเอง

ถ้ามีการปฏิวัติจะทำอะไร

ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงคงต้องออกไปสู้อย่างแน่นอน จะสู้จนตัวตาย เพราะทนไม่ได้แล้ว ถ้ามีแนวคิดโครงสร้างกดทับไปเรื่อยๆแบบนี้ประชาชนก็จะไม่ได้ลืมตาอ้าปาก มันไม่จริงที่จะอยู่ดีกินดี ไม่มีทางที่จะแก้ไขความทุกข์ในชีวิตได้ทันเวลา

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 289 วันที่ 11 – 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 18-19 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย วัฒนา อ่อนกำปัง



‘คุยข้ามคุก’ แกนนำนปช.

แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องข้อหาทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ สะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความ วุ่นวายในบ้านเมือง วันนี้ถูกคุมขังมาแล้วกว่า 6 เดือน แม้จะยื่นคำร้องขอประกันตัวแต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาจะหลบหนี “โลกวันนี้” จึง “คุยข้ามคุก” เพื่อสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของแกนนำ นปช. แต่ละคนว่ายังมีจิตใจที่เข้มแข็งและพร้อมจะต่อสู้กับคนเสื้อแดงเพื่อให้ได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมา

นพ.เหวง โตจิราการ ประเทศไทยไม่มีความยุติธรรมและใช้ความรุนแรงกับประชาชน

“ทุกวันนี้ผมวิ่งออกกำลังกายวันละ 10 กิโลเมตร เพื่อรักษาสุขภาพให้ดีขึ้นและออกมาต่อสู้หาความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวมากที่สุดคือความจริงของเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจะถูกเปิดเผยออกมา เนื่องจากใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือสังหารประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ราย บาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย แต่คนที่ถูกกระทำกลับต้องเข้าคุก ส่วนคนทำยังลอยหน้าลอยตาในสังคมต่อไป ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยไม่มีความ ยุติธรรมและใช้ความรุนแรงกับประชาชน”

นายนิสิต สินธุไพร หัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่

“ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะตลอด 6 เดือนที่อยู่ในนี้ทำให้มีเวลาคิดอะไรมากขึ้น ตอนนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้นเพราะได้ออกกำลังกายทุกวัน โดยจะขึ้นเวทีซ้อมมวยกับณัฐวุฒิและเจ๋ง ดอกจิก จากนั้นก็ดูทีวี.และอ่านหนังสือที่ทางเรือนจำมีไว้ให้ ก็สบายดีและยังแข็งแรงอยู่

แต่ขอยืนยันว่าสิ่งที่ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ทำคือสิ่งที่ถูกต้อง และมั่นใจว่าเราทำเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อบ้านเพื่อเมือง เป็นการทำหน้าที่ตามสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่บัญญัติไว้ตามรัฐ ธรรมนูญ เราไม่ใช่ผู้ต้องหาตามที่รัฐบาลกล่าวหา เราเป็นเพียงกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองเท่านั้น เพราะในทางการเมืองเห็นต่างกันได้ เราไม่ได้เป็นคนสร้างความแตกแยกให้กับชาติบ้านเมือง

ผมเชื่อว่าเมื่อไรที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรมก็จะตามมา ดังนั้น วันนี้ที่ผมอยู่ในนี้ก็เพียงแต่ไม่มีอิสรภาพเท่านั้น แต่ความคิดและหัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่ ผมอยากบอกว่ารัฐบาลจะทำอะไรกับพวกผม ผมไม่กลัว เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

นายก่อแก้ว พิกุลทอง คุณอภิสิทธิ์เป็นคนตอแหล

“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว แม้ว่าตอนแรกๆอาจปรับตัวยากหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีอะไร วันๆก็ดูทีวี. อ่านหนังสือ แล้วก็ออกกำลังกายบ้าง ไม่มีอะไรมาก ทีแรกที่เคยบอกว่าทำใจยากเพราะผมถูกส่งไปอยู่แดน 8 ซึ่งเป็นแดนที่มีนักโทษเด็ดขาดและเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น ก็ทำใจยากหน่อย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว บอกได้อย่างเดียวว่าคิดถึงลูกมาก แต่ก็ดีที่แม่เขามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ก็หายคิดถึงกันบ้าง

ผมอยากบอกดีเอสไอที่กล่าวหาพวกผมเป็นผู้ก่อการร้ายว่า ดีเอสไอทำงานรับใช้การเมือง ดังนั้น ดีเอสไอจะทำอะไรกับพวกเราก็เป็นเรื่องที่ทำเพื่อรับใช้การเมืองเท่านั้นเอง แต่คุณอภิสิทธิ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีบอกว่าการจะปล่อยแกนนำ นปช. เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ผมก็ไม่ได้หวังอะไร สำหรับผมไม่ฟังคุณอภิสิทธิ์มานานแล้ว เพราะคุณอภิสิทธิ์เป็นคนตอแหล เป็นคนปากพูดอย่างแต่สมองคิดอีกอย่าง พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น การออกมาบอกว่าต้องการปรองดอง แต่พอเอาเข้าจริงก็เป็นเพียงแค่พูดไปวันๆเท่านั้น เพราะความเป็นจริงคุณเองต่างหากที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก เมื่อคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้แล้วบ้านเมืองจะปรองดองได้อย่างไร”

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กองทัพเอาอาวุธมาฆ่าพี่น้องเรา

“ขอยืนยันว่าตอนนี้แม้ผมต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็มาจากการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ผมยืนยันว่าจะสู้ต่อไปเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ผมยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เรามาทำหน้าที่ของเรา แต่เมื่อรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นผู้ก้อการร้าย ผมก็ยังงงว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไรในเมื่อผมไม่ได้ไปฆ่าใคร มีแต่กองทัพที่เอาอาวุธมาฆ่าพี่น้องเรา มีการใช้กำลังทหารกับเรา

ตอนนี้ผมกำลังฟิตหุ่นให้แข็งแรง ออกกำลังกายทุกวัน เพื่อเตรียมตัวออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกับพี่น้องเสื้อแดงอีก ครั้ง ส่วนที่ดีเอสไอบอกว่าเราฆ่ากันเอง ผมอยากถามว่าคิดได้อย่างไร และการที่ดีเอสไอคิดอะไร ทำอะไร ก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ผมไม่ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพราะดีเอสไอวันนี้ทำงานเอาใจนักการเมืองเท่านั้น อยากบอกว่าคนเสื้อแดงที่อยู่ในนี้ยังคิดถึงพี่น้องเสื้อแดงทั่วประเทศ หากมีโอกาสจะมาพบกันอีกครั้งหลังจากประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่า นั้น”

นายขวัญชัย ไพรพนา ต่อสู้เพื่อทวงถามประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินเกิด

“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แม้ตอนแรกจะทำใจไม่ได้ก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาทำใจลำบากเพราะไม่เคยอยู่ในคุก แต่มาถึงตรงนี้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว ดีเสียอีกเพราะจะได้ออกกำลังกายมากขึ้น ตอนนี้น้ำหนักลดลงไปกว่า 10 กิโลกรัมแล้ว หุ่นดีขึ้นเยอะ

เรื่องกำลังใจจึงไม่ต้องห่วง เพราะมีพี่น้องเสื้อแดงจากอุดรธานีและจังหวัดอื่นๆมาเยี่ยมผมเป็นจำนวนมาก เขามาเราก็ดีใจ และฝากบอกไปด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะรักษาตัวให้ดีที่สุดเพื่อกลับไปหาพี่น้องเสื้อแดงทุกคน อยากบอกว่าผมไม่เคยเสียใจที่ต้องมาอยู่ในนี้ แต่ผมภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้ร่วมกันต่อสู้กับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง ต่อสู้เพื่อทวงถามประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินเกิด”

นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย เราเดิมพันชีวิตเราไว้แล้ว

“ตอนนี้ผมแข็งแรงดีเพราะออกกำลังกายทุกวัน และยังมีใจสู้อยู่ตลอดเวลา เพราะถ้ามองว่าไม่เป็นธรรมมันก็ไม่เป็นธรรม แต่ผมว่าก็ดีไปอย่างเพราะทำให้เรามีเวลาในการทำงานอย่างอื่นมากขึ้น ได้ดูแลร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น ตอนนี้หากมีเวลาว่างก็จะฝึกสมาธิมากขึ้น

พวกเราได้เข้ามาอยู่ในนี้อีกครั้งเพราะต้องการประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลให้ไม่ได้ การอยู่ในนี้เป็นการจำกัดอิสรภาพของเราเท่านั้น เราไม่เสียใจในการทำหน้าที่ของประชาชนคนไทยที่ต้องการให้ประเทศชาติเป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะการร่วมกันสู้หมายถึงเราเดิมพันชีวิตเราไว้แล้ว ดังนั้น แม้จะถูกขังคุกก็ยังสูญเสียน้อยกว่าพี่น้องประชาชนที่มีอุดมการณ์ร่วมกับเรา ที่สูญเสียทั้งชีวิต บางคนสูญเสียอวัยวะ บางคนต้องเสียตา เสียแขน เสียขา เราเพียงแค่ติดคุก ซึ่งก็มีวันออก

ทั้งๆที่ความเป็นจริงเราไม่น่าจะเข้ามาอยู่ในนี้ แต่เป็นเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้พวกเราได้แสดงความคิดเห็นที่เป็น ประชาธิปไตย แต่เรายังคงมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำมานั้นถูกต้อง เราต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ไม่มีความยุติธรรมและความจริงเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็จะเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นให้ได้”

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม

“ตอนแรกที่เข้ามาก็เครียดบ้างเพราะไม่เคยอยู่ในนี้ อย่างผมเป็นคนบันเทิง มีอิสระ มีเสรีภาพ เข้ามาใหม่ๆจึงลำบากหน่อย แต่พอนานไปก็ทำใจได้ ตอนนี้ก็สบายขึ้น ออกกำลังกายทุกวัน คือทุกวันผมจะวิ่งในเรือนจำกับพี่นิสิต วิ่งมาราธอนกันเลย ผมบอกเลยว่าที่ต้องเข้ามาอยู่ในนี้ผมไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม เพราะผมมีความเชื่อมั่นที่จะสร้างประชาธิปไตยในบ้านเมืองของเราให้เกิดขึ้น ให้ได้ เพียงแต่รู้สึกไม่ดีที่ไม่มีความเป็นธรรมในสังคมไทย

การที่ผู้มีอำนาจตั้งข้อกล่าวหาเราเกินจริง ทั้งยังไม่ให้ประกันตัวอีก อ้างว่าจะหลบหนี ทั้งที่ความเป็นจริงเราเข้าไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่เอง หากเราตั้งใจจะหลบหนีจะมอบตัวทำไม เรามอบตัวตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นความไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรมของผู้มีอำนาจ ทุกวันนี้สิ่งที่แกนนำทุกคนที่อยู่ในนี้ทำคือการรักษาตัวและรักษาสุขภาพให้ แข็งแรงเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ในวันข้างหน้า”

นายสมชาย ไพบูลย์ คุณก็หนีความจริงไม่พ้น

“ผมยังยืนยันว่าจะสู้ต่อไป แม้จะอยู่ในนี้ผมก็ไม่มีวันท้อ แต่กลับเพิ่มกำลังใจมากขึ้นอีกเพราะได้รับความห่วงใยจากพี่น้องประชาชนทั่ว ประเทศ เราได้รับความไม่ยุติธรรมจากผู้มีอำนาจทั้งที่เราเรียกร้องประชาธิปไตย เหมือนทุกที่ในโลก ถ้าเขาเห็นว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยก็ต้องออกมาเรียกร้องตามสิทธิที่ พึงกระทำได้ แต่เขาไม่ใช้กำลังกับประชาชน ผิดกับรัฐบาลนี้ที่ใช้ทั้งทหารและอาวุธมาห้ำหั่นประชาชน ยิงประชาชนจนตายเกือบ 100 ศพ แต่รัฐบาลกลับบอกว่าไม่ได้ทำ อยากบอกนายอภิสิทธิ์ว่าความจริงคือความจริง ยังไงก็หนีความจริงไม่พ้น วันนี้คุณยังมีอำนาจ คุณทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อคุณหมดอำนาจ วันนั้นจะรู้เองว่าความจริงคืออะไร เพราะประชาชนคงไม่ให้อภัยคนที่ฆ่าพี่น้องเขาแน่นอน”

อย่ามาทำตีแค่สำนวนโวหาร

นายสมหวัง อัสราษี แกนนำ นปช. ที่ทำหน้าที่ดูแลแกนนำ นปช. ที่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

“หลังจากแกนนำถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษฯ ในช่วงแรกมีคนรับไม่ได้ที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ โดยเฉพาะนายขวัญชัย ไพรพนา ถึงกับหลั่งน้ำตา เพื่อนๆก็ได้แต่ปลอบใจ แต่หลังจากอยู่ได้สักระยะตอนนี้ก็สบายใจขึ้น รวมทั้งได้รับกำลังใจจากคนเสื้อแดงที่ไปเยี่ยมทุกวัน เดี๋ยวนี้มีความสุขมากขึ้น ที่นายขวัญชัยกลัวมากเนื่องจากต้องไปอยู่ในแดน 8 ซึ่งเป็นแดนที่เป็นนักโทษเด็ดขาดเข้าออกคุกเป็นว่าเล่นและมีคดีร้ายแรงทั้ง นั้น สำหรับคนอื่นๆก็มีการแยกขัง ไม่ได้อยู่รวมกัน ตั้งแต่แดน 4-8

“เรื่องอาหารผมใช้วิธีสั่งจากสโมสรของเรือนจำให้ไปรับประทานทุกวัน ซึ่งทางเรือนจำค่อนข้างเข้มงวดเรื่องนี้ แต่ดีที่สั่งอาหารจากที่นี่ได้ทำให้ไม่กังวลเรื่องนี้ ผมเองก็เข้าไปทุกวัน จัดน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกไปให้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะเจ้าหน้าที่ให้ความสะดวกในการเยี่ยมและส่งของ ซึ่งแกนนำที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไร ปฏิบัติตัวเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ

แต่ที่ผมอยากถามรัฐบาลคือ การใช้อำนาจทั้งกำลังทหารและการออกมาขู่ไม่ให้ประกันตัวแกนนำ นปช. นั้นมาจากสาเหตุอะไร หรือเป็นเพราะกลัวว่าความจริงที่กระทำกับประชาชนในวันที่ 19 พฤษภาคม จะถูกเปิดเผยออกมา อย่ากลัวความจริง เพราะความจริงใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำนั้นแน่นอน การที่รัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามมาปราบปรามประชาชนไม่มีประเทศไหน ในโลกทำกัน

“ตอนนี้กลุ่ม นปช. กำลังจับตาดูว่ากรณีกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องขึ้นศาลในคดีก่อการร้ายเช่นกันจะ ได้รับการประกันตัวหรือไม่ เพราะกรณีของกลุ่ม นปช. ศาลเกรงว่าจะหลบหนี แต่กลุ่มพันธมิตรฯอยากไปไหน ไปทำอะไรก็ได้ หากได้รับการประกันตัวก็จะเป็นการตอกย้ำเรื่อง 2 มาตรฐาน ซึ่งจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับสังคมมากขึ้น ผมอยากเรียกร้องรัฐบาลว่าหากอยากให้เกิดความปรองดองจริงต้องทำให้ความ ยุติธรรมที่แท้จริงปรากฏขึ้น อย่ามาทำตีแค่สำนวนโวหาร เพราะไม่ต่างอะไรกับลมปากที่พ่นแต่ความเหม็นเน่าออกมา”

พงศ์เทพ เทพกาญจนา สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย

วันนี้

วันนี้ 19 พฤศจิกายน 2553 ผมคิดถึงวีรบุรุษ วีรสตรีชาวไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชนภายใต้ชื่อการกระชับพื้นที่

จนถึงวันนี้ 6 เดือนผ่านไป สาธารณชนไม่ทราบว่าการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนตามที่กฎหมายกำหนดมีการดำเนินการหรือไม่

จนถึงวันนี้ ไม่มีการดำเนินคดีกับบุคคลในเครื่องแบบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน

จนถึงวันนี้ สิ่งที่เห็นคือผู้เรียกร้องประชาธิปไตยถูกสอบสวน ถูกดำเนินคดี ถูกขัง ไม่ได้ประกันแม้ความผิดที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดไม่ร้ายแรง

จนถึงวันนี้ ประชาชนผู้บริสุทธิ์และสูญเสียยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

จนถึงวันนี้ ประชาชนรับทราบข่าวการทุจริต คอร์รัปชัน ความทรามของผู้ใช้อำนาจรัฐที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จนถึงวันนี้ หลายคนแปลกใจว่าองค์กรต่างๆที่เคยทำหน้าที่ได้ดี เคยเป็นที่เชื่อถือ ไฉนเปลี่ยนไปเพียงนี้

จนถึงวันนี้ หลายคนแปลกใจว่าผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายอดทนกันได้อย่างไร

จนถึงวันนี้ เมื่อย้อนถามตัวเอง หลายคนคิดเหมือนกันว่าเราอดทนอยู่ได้ เรายังอยู่ได้ก็ด้วยความหวังว่าอรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเท่า เทียมกัน มีความเสมอภาค กลไกต่างๆของประเทศทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาด้วยความเที่ยงธรรม กำลังรอเราอยู่

จนถึงวันนี้ ผมยังรอวันพรุ่งนี้และจะรอต่อไป

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 287 วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 18-19 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย วัฒนา อ่อนกำปัง


รับฟังประชาชน

รับฟังประชาชน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
credit to Sahanut Maneekul

ทั้งฝ่ายผู้จัดการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือกลุ่มอื่นก็ตาม ไปจนกระทั่งถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่สังกัดหน่วยงานด้านความมั่นคง ประเมินตรงกันว่าการชุมนุมในวาระครบรอบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่พ่วงเอาพิธีการรำลึกผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ เมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา อันเกิดขึ้นกระจายไปหลายจุด จะมีผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักถึง “ความไม่ปกติ” ของสังคม

ความไม่ปกติที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร และแม้จะผ่านการนองเลือดอีกครั้งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปัญหาก็ยังมิได้รับการคลี่คลาย ความไม่พอใจ ไม่ว่าจะโดยความรักชอบส่วนตัวหรือด้วยหลักการอุดมการณ์ของคนจำนวนไม่น้อย ยิ่งนานก็ยิ่งกลายเป็นความอึดอัดคับข้องใจ

ประการหนึ่ง เพราะยิ่งรู้สึกว่าข้อกล่าวหาเรื่อง”สองมาตรฐาน”ในการปฏิบัติต่อประชาชนต่าง กลุ่ม ที่มีความเชื่อทางการเมืองต่างกัน ยิ่งนานก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นทุกที

ประการหนึ่ง เพราะการเรียกร้องทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมือง ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับการเหลียวแลสนใจ ยังถูกประทับตราว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย”

เมื่อความ เป็นธรรมยังไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ความอึดอัดก็มีแต่จะเพิ่มเป็นทวีคูณ

การนัดชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน จึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับการระบายความอึดอัดคับข้องใจ ซึ่งหากภาครัฐเข้าใจและเห็นใจประชาชน ที่แม้จะคิดต่างจากตัวเอง ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หรือสมาชิกที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน

ท่าทีและวิธีการปฏิบัติทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุม ก็จะเป็นไปอย่างโอนอ่อนละมุนละม่อม อย่างน้อยก็เพื่อมิให้ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ขยายตัวไปมากขึ้นกว่านี้ และจะยิ่งดีกว่า หากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐจะสนใจ “สาระ” ที่ประชาชนสื่อออกมา เพื่อจะเพิ่มความเข้าใจปัญหาที่แท้จริง ที่จะนำไปสู่การแก้ไขคลี่คลายสถานการณ์

มิใช่การสาดน้ำมันเข้ากองไฟอย่างที่เป็น



อย่าให้คำว่า ‘สมานฉันท์’ ปั่นหัวคุณ

อย่าให้คำว่า ‘สมานฉันท์’ ปั่นหัวคุณ
ที่มา
: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน 7 กันยายน พ.ศ.2553
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
โดย : ทีมข่าวการเมือง

..ดังนั้น อย่าปล่อยให้คำว่าสมานฉันท์ปั่นหัวคุณ หากพวกเขาต้องการการสมานฉันท์จริงพวกเขาก็ต้องไม่เรียกประชาชนว่า “ผู้ก่อการร้าย”..

หลังเงียบหายไปพักใหญ่ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์กับเว็บไซต์ประชาไท เพื่อให้ผู้ที่ติดตามได้รับทราบความเคลื่อนไหวในวงกว้างขึ้น “โลกวันนี้รายวัน” จึงได้นำเนื้อหาของบทสัมภาษณ์มานำเสนอโดยไม่มีการตัดทอน และผู้สนใจสามารถติดตามอ่านต้นฉบับบทสัมภาษณ์ได้ที่ http://www.prachatai3.info/journal/2010/09/30982

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ชื่อนี้เป็นที่รู้จักในเมืองไทยเพียงไม่นานเมื่อเขาตัดสินใจรับเป็นผู้ดูแล คดีฟ้องร้องรัฐบาลไทยที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อประชาชน ของตน จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมในช่วงวันที่ 10 เม.ย. และช่วง 1-19 พ.ค. 2553

ชื่อของเขานั้นพ่วงท้ายด้วยความขัดแย้งในตัวเองไม่ต่างกับคนที่เขารับว่าความให้ นอกเหนือจากทักษิณ ชินวัตร ผู้ว่าจ้างคนล่าสุดแล้ว เขาเคยว่าความให้กับอดีตนักการเมืองในกัวเตมาลา เวเนซุเอลา และรัสเซีย ซึ่งแน่นอนว่าเขายืนยันว่าการว่าความให้บุคคลเหล่านั้นเป็นการดำเนินไปเพื่อ ปกป้องหลักนิติธรรม ขณะที่ลูกความของเขาล้วนต้องเผชิญกับข้อวิพากษ์และกล่าวหาในทางลบ เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการคอร์รัปชันอย่างรุนแรง เช่น กรณีของมิกาเอล คอร์โดคอฟสกี (Mikhail Khodorkovsky) อดีตนักการเมืองดาวรุ่งผู้อาจขึ้นมาเทียบรอยเท้าผู้นำอย่างวลาดิเมียร์ ปูติน โดยการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองหลายพรรคด้วยฐานะระดับเศรษฐีอันดับ 1 ของรัสเซีย และอันดับที่ 16 ของโลก แต่ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่ายักยอกและฟอกเงิน กระทั่งถูกศาลสั่งจำคุก จบเส้นทางการเมืองไป

แนวทางของอัมสเตอร์ดัมเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกันว่าถนัดเล่นนอกศาล ด้วยวิธีเล่นกับสื่อมากกว่าการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับที่เขาถูกโจมตีจากสื่อไทยหลายสำนักเมื่อเขาออกสมุดปกขาว ซึ่งรวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงช่วง เดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่ผ่านมาว่ามีเป้าหมายเพื่อโจมตีรัฐบาลไทย

ประชาไทสัมภาษณ์เขาทางโทรศัพท์ถึงความขัดแย้งเหล่านี้ทั้งที่เกิดกับตัว เขาเองและลูกความของเขา ซึ่งล้วนเป็นผลอย่างสำคัญที่ทำให้การพูดคำว่า “นิติธรรม” ของเขาฟังคล้ายคำโฆษณา ซึ่งเขาตอบกลับอย่างน่าสนใจเช่นกันว่า สำหรับคนไทยสิ่งที่ต้องพึงระวังอาจจะมิใช่คำโฆษณาว่าด้วยการสู้เพื่อความ เป็นธรรมและนิติธรรม แต่พึงระวังคารมหวานหูเกี่ยวกับคำว่า “สมานฉันท์” โดยปราศจากความจริง

ทำไมคุณถึงตัดสินใจทำคดีให้กับทักษิณ มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับทักษิณหรือ?

ผมคิดว่าทักษิณนั้น ประการแรกคือเขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ประการที่ 2 ผมคิดว่าการรัฐประหารที่โค่นอำนาจทักษิณลงนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายและไม่ชอบธรรม และข้อกล่าวหาที่เขาถูกตัดสินไปแล้วและที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นขาดพื้นฐานทางกฎหมาย ดังนั้น ผมคิดว่าคดีของเขาเป็นคดีสำคัญ เพราะมันจะเป็นตัวอย่างสำหรับการที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองใช้กฎหมายเพื่อบรรลุผลประโยชน์ของตน

แต่ว่าทักษิณก็เป็นบุคคลที่มีความขัดแย้งในตัวเองนะ ก่อนการรัฐประหารเขาก็ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายกรณี คุณรู้เรื่องพวกนี้หรือเปล่า

แน่นอน และความเห็นของผมต่อกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คือ ข้อกล่าวหาพวกนี้ต้องถูกพิสูจน์ สำหรับกรณีของทักษิณข้อกล่าวหาเหล่านี้ต้องถูกพิสูจน์ แต่ยังไม่มีการดำเนินการเช่นนั้น ผมคิดว่ามันสำคัญมากสำหรับคนไทยที่จะต้องวางบรรทัดฐานให้ชัดเจน ระหว่างการกล่าวหากับข้อเท็จจริงกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความชอบธรรมในนามของรัฐ และการกระทำที่เคารพต่อบุคคลหรือแนวทางทางการเมืองของบุคคล

คุณรู้ไหมว่าคนเสื้อแดงเองก็มีอาวุธ จากรายงานของผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนระบุว่า ผู้สื่อข่าวต่างประเทศบางรายบาด เจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 ที่ถูกยิงมาจากฝั่งเสื้อแดง

ผมเขียนเรื่องนี้ไปแล้ว ผมเชื่อว่าการโต้ตอบอย่างโหดร้ายและขยายวงกว้างนั้นมาจากฝั่งของกองทัพ โดยการส่งเสริมของรัฐบาล

นี่เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยดำเนินรอยตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น เหตุการณ์การเรียกร้องปี 2535 และมันก็เป็นเอกสารที่ดี สิ่งที่ผมเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือการสืบสวนสอบสวนที่เป็นกลางและเป็นอิสระ และมุ่งหน้าสู่ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐบาลไทยไม่ได้เห็นด้วยกับการสืบสวนสอบสวน ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาชักช้า ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาจับกุมประชาชนและตีตราว่าเป็นผู้ก่อการร้ายก่อนที่พวกเขาจะได้พยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงเหล่านี้แหละบอกผมว่าพวกเขามีเรื่องใหญ่ที่ซ้อนอยู่เบื้องหลัง ผมเองก็พยายามรวบรวมหลักฐาน ผมพยายามรวบรวมและพิเคราะห์พยานหลักฐานอยู่ และก็แปลกใจว่าทำไมรัฐบาลไทยไม่ทำ

ในรายงานของคุณ คุณบอกว่าถ้าประเทศไทยต้องการความสมานฉันท์ก็ต้องยอมรับในข้อเท็จจริงเสียก่อน แต่ว่าการที่คุณก้าวเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาเข้าจริงแล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างรอยร้าวในแผนการสมานฉันท์เช่นกัน

อย่างจริงใจเลยนะ เสรีภาพในการพูดของคุณมีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อันเป็นผลมาจากการพยายามควบคุมรัฐบาลผ่านกฎหมายความมั่นคงภายใน กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ และผมคิดว่าประเทศไทยต้องการการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่มีปากมีเสียงได้พูดมากขึ้น

คน 90 คนที่เพิ่งถูกฆ่าตายกลางถนนในกรุงเทพฯ ผมบอกคุณได้ว่าประชาชนไม่ได้รับโอกาสให้พูดมากเท่าที่ควรจะเป็น ความเจ็บแค้นที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯมันเป็นระบบ และเกิดขึ้นทุกๆ 12 ปี หรือ 24 ปี นี่ไม่ใช่ประเด็นเรื่องของความแตกต่าง แต่มันเป็นรูปแบบของประเทศไทย และนี่คือเหตุผลของความสำคัญว่าทำไมการที่ประชาชนซึ่งถูกกล่าวหาจะต้องได้รับการสอบสวนและตั้งข้อหา และการสมานฉันท์จะเกิดได้ก็ด้วยความจริงเท่านั้น

ผมแก่แล้ว และผมจำได้ว่าในยุคทศวรรษ 1970 และ 1980 เมื่อรัฐบาลลาตินอเมริกาปรับตัวมาสู่แนวทางประชาธิปไตย และคนรุ่นเก่าก็ยังคงพร่ำพูดอยู่แต่เรื่องการสมานฉันท์ ในเวลาที่พวกเขาต้องการการนิรโทษเพื่อที่พวกเขาจะไม่ต้องถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น อย่าปล่อยให้คำว่าสมานฉันท์ปั่นหัวคุณ หากพวกเขาต้องการการสมานฉันท์จริงพวกเขาก็ต้องไม่เรียกประชาชนว่า “ผู้ก่อการร้าย”

ไม่ใช่แค่รัฐบาลที่พยายามจะติดป้ายให้กับคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ว่าคนไทยจำนวนมากก็สนับสนุนรัฐบาล คุณคิดว่าทักษิณจะสมานฉันท์กับคนที่สนับสนุนรัฐบาลได้หรือ

ในทุกประเทศ เช่น กัวเตมาลา หรือประเทศใดๆก็ตามที่เคยมีสงครามกลางเมือง ทุกๆที่มีความเป็นไปได้เสมอที่จะมีการสมานฉันท์หากมีความจริงใจอยู่ แกนนำเสื้อแดงที่ยอมแพ้เพื่อป้องกันการเสียเลือดเสียเนื้อ และคุณไม่อาจจะทำอย่างนั้นกับคนที่ยอมแพ้แล้ว หากคุณต้องการสมานฉันท์จริงๆคุณต้องหยุดฟังที่ประชาชนพูดและมองสิ่งที่ประชาชนทำ เมื่อพวกเขาตีตราทักษิณว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่นั้นไม่เคยมีเกิดขึ้นกับอดีตนายกรัฐมนตรีที่ลี้ภัยอยู่นอกประเทศ อย่างกรณีของซิมบับเวพวกเขาแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว พวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งที่พวกเขาเชื่ออย่างแท้จริง

นอกเหนือจากกรณีของซิมบับเว คุณมีกรณีอื่นๆที่คล้ายๆกับกรณีของทักษิณอีกไหม คุณมีข้อพิสูจน์ไหมว่าการทำหน้าที่ของคุณเคยประสบความสำเร็จมาก่อน

ผมเกี่ยวข้องกับกรณีเหล่านี้อยู่เกือบตลอดชีวิตผม ผมเกี่ยวข้องกับกรณีของกัวเตมาลาอยู่ 15 ปี ในคดีที่ผมเรียกว่าเป็นการยึดรัฐ โดยที่ผู้นำยึดรัฐเอาไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง

กรณีของไทยและสถานการณ์ของทักษิณนั้นไม่ได้เป็นเรื่องพิเศษจำเพาะเจาะจงอะไร อย่าปล่อยให้ผู้นำของคุณบอกว่าประเทศของคุณนั้นมีลักษณะเฉพาะ สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสากล สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นหลักกฎหมายสำหรับทุกคน และไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่าคุณค่าแบบอาเซียน หรือจะเรียกมันว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือแบบรัสเซีย ผู้นำมักจะมาพร้อมกับคำอธิบายทำนองนี้ตลอดเวลา เพื่อที่จะบอกว่าประเทศของเรานั้นแตกต่าง ดังนั้น สิทธิมนุษยชนจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องตระหนัก ข้อเท็จจริงก็คือว่าประเทศไทยนั้นมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่งสำหรับคนไทยทั้งประเทศ การที่รัฐบาลของพวกเขาคิดว่าสามารถที่จะจัดการกับประเทศด้วยการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ พวกเขาสามารถจะกล่าวหาใครก็ได้ สิ่งที่คนไทยต้องการก็คือ “การเลือกตั้ง” และนั่นก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุด

คุณมีความเห็นอย่างไรกับข้อวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคุณในคดีของมิกาเอล คอร์โดคอฟสกี ที่ว่าคุณไม่ได้ให้ความสนใจมากนักต่อคดีดังกล่าว แต่เน้นเรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชนมากกว่าแทนที่จะมุ่งต่อสู้ตามประเด็น ของคดี ขออภัยที่ต้องถามคำถามนี้ แต่มันเป็นคำถามที่จำเป็น

ไม่เป็นไร ผมว่ามันเป็นเรื่องตลก เพราะว่าในรัสเซียนั้นผมถูกจับตอนตี 2 และก็ถูกคุกคามชีวิต ดังนั้น สำหรับคนที่วิพากษ์วิจารณ์ผมก็ต้องลองปล่อยให้พวกเขาเผชิญกับความเสี่ยงแบบ ที่ผมเคยเจอดูบ้าง ต้องลองให้พวกเขาเรียกนายปูตินว่าโจรอย่างที่ผมทำในรัสเซีย และจากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ไป

เรื่องที่ผมไม่ได้ต่อสู้ประเด็นสิทธิมนุษยชนในศาลนั้น เพราะผมไม่ใช่ทนายความในรัสเซีย และสิ่งที่ผมทำได้โดยการอยู่นอกประเทศรัสเซียก็คือ ผมอยากจะบอกว่าในรัสเซียนั้นไม่ใช่ศาลที่แท้จริง ไม่ใช่การฟ้องคดีที่ชอบธรรม และผมพูดได้ว่า 5 ปีก่อนทั้งโลกจะรู้ว่าผมเป็นฝ่ายถูก เป็นเวลาหลายปีก่อนที่สภายุโรปจะสนับสนุนในทุกสิ่งที่ผมพูด หลายปีก่อนที่ศาลแห่งสหพันธรัฐสวิสจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด เราได้พิสูจน์ว่ารัฐบาลรัสเซียนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการไต่สวนคดี และเราได้พิสูจน์ว่ารัสเซียละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ปัญหาก็คือว่าคนอ่านแต่พาดหัวข่าวแต่ไม่มีใครเข้าใจข้อเท็จจริง เรามีส่วนร่วมในคดีจำนวนหลายสิบคดี จากกัวเตมาลาถึงรัสเซีย จากไนจีเรียถึงเวเนซุเอลา เราเพียงแต่ต้องการปลดปล่อยนักโทษการเมืองในเวเนซุเอลา เราเพียงต้องการคืนนักการเมืองคนสำคัญกลับสู่ไนจีเรีย แต่คนในประเทศไทยโฟกัสแค่เรื่องในรัสเซียเพื่อสร้างรอยด่างให้กับความพยายาม ของผมอย่างจริงใจที่สุด ผมภาคภูมิใจในการทำงานให้กับ มร.คอร์โดคอฟสกี และผมก็ภูมิใจมากในสิ่งที่ได้ทำลงไปตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือการสู้เพื่อหลักนิติธรรมในประเทศที่ต่อสู้ได้ยากลำบาก

คุณคิดว่าระบบศาลรัสเซียที่เผชิญนั้นต่างกับที่กำลังเผชิญในไทยหรือไม่

ศาลในรัสเซียนั้นคอร์รัปชันอย่างน่าสิ้นหวัง โดยที่ผู้พิพากษาในรัสเซียนั้นเป็นคนคอร์รัปชันเสียเอง แต่ในประเทศไทยนั้นถูกการเมืองครอบงำอย่างน่าสิ้นหวังและไม่มีความเป็นอิสระ และโลกก็รู้เรื่องนี้ดี ผมหมายถึงกรณีของทักษิณที่ถูกพิพากษาโดยตุลาการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นกรณีพิเศษ โดยเลือกเอากลุ่มคนที่ไม่ชอบทักษิณเพื่อจะพิพากษาเขา ไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอิสระ โลกนั้นจับจ้องอยู่และก็รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ และก็เป็นเรื่องน่าละอายที่รัฐบาลไทยและนายกรัฐมนตรีไม่ได้ดำเนินการให้มีการสืบสวนสอบสวนที่เป็นที่ยอมรับได้ในไทย และนายกรัฐมนตรีก็ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ นายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาผู้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยดำเนินแนวทางเดียวกับที่กองทัพได้กระทำลงไปในช่วงที่ขอคืนพื้นที่ในกรุงเทพฯ พวกเขาพูดอะไรนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่ได้ดำเนินการบนพื้นฐานของความจริง

เราเผยแพร่รายงานและพวกเขาก็โจมตีผม และผมพึงพอใจที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่านั่นคือสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถที่จะตอบโต้ด้วยข้อโต้แย้งที่เป็นเหตุเป็นผลเพื่อที่จะคัดง้างกับข้อมูลในรายงานของผม และผมก็เรียกร้องให้ใครก็ตามที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้ควรจะติดตามรายงานฉบับนั้น ก่อนที่จะตัดสินการทำงานของเราด้วยตัวเขาเอง

คุณถูกห้ามเข้าประเทศไทยแล้ว ไม่ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากให้แก่คุณในการทำคดีนี้หรือ

ไม่หรอก ผมรู้ว่าพวกเขาห้ามผมเข้าประเทศ พวกเขาสามารถจะทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ แต่ผมจะไม่หยุดเขียน ไม่หยุดพูด และเราจะไม่หยุดให้ความช่วยเหลือทนายความในประเทศไทยที่ทำงานต่อสู้กับอคติ และสภาพที่ปราศจากความอิสระอย่างที่เป็นอยู่ และแม้ผมจะแน่ใจว่าผู้พิพากษาจำนวนมากนั้นซื่อสัตย์ และผู้พิพากษาที่มีชื่อเสียงหลายๆคนก็อาจจะเตรียมการรับมือกับแรงกดดันทาง การเมือง แต่เราก็ต้องชัดเจนด้วยว่าคุณไม่สามารถมีระบบตุลาการที่เป็นอิสระได้ หากว่ากระบวนการสมคบคิดทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่ในระดับนี้

คุณบอกความคืบหน้าในคดีที่กำลังทำได้ไหม

ถ้าเป็นกรณีของคุณทักษิณซึ่งข้อกล่าวหาซับซ้อนมาก และผมถือว่าเป็นหน้าที่ของทีมงานคนไทยที่จะสื่อสารโดยตรงในกรณีนั้น ผมจะไม่พูดเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับการกล่าวหาหรือคดีใดๆ เป็นหน้าที่ของทีมงานชาวไทย

ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็คาดหวังสูงมากกับการทำงานของคุณ คุณอยากจะบอกอะไรกับพวกเขาบ้าง

ความเห็นของผมก็คือมันจะดีกว่าหากไม่มีการคาดหวัง เราทั้งหมดต้องเข้าใจว่า รัฐบาลไทยนั้นมีลักษณะนิสัยในการทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ดำเนินตามหลักการในตำราใดๆเลย และก็พยายามที่จะซ่อนเร้น พวกเขาพยายามที่จะถอยออกห่างจากพันธสัญญาระหว่างประเทศ พวกเขาเกี่ยวข้องกับการโจมตีประชาชนของตัวเองในหลายกรณี

สิ่งที่สำคัญประการแรกคือ ในการสืบสวนสอบสวนประชาชนนั้น รัฐบาลไทยนั้นผูกพันตนอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ เราส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะเรียกร้องให้ยอมปฏิบัติตามพันธสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยผูกพัน นั่นก็คือกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) และกระทำการตามหน้าที่ของรัฐบาลในการสืบสวนสอบสวนตามที่รัฐบาลไทยได้ลงนามในปฏิญญาว่าจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนที่เหมาะสมตามความจริง ประชาชนมีสิทธิในการรวมกลุ่มเพื่อที่จะเรียกร้องความจริงที่เกิดขึ้น หยุดการป้ายสีประชาชนว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หยุดการโจมตีตัวบุคคล และเริ่มต้นการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทั้งชาวต่างชาติและคนไทยถูกยิงบนท้องถนนและทุกคนต้องการคำตอบที่รับฟังได้


ยุคแดกด่วน!

ยุคแดกด่วน!
จาก หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ปีที่ 11 ฉบับที่ 2850 ประจำวันพุธที่ 28 กรกฏาคม 2553
โดย นายหัวดี

จะฉงนสงสัยหรือฉงฉัยว่า ทำไม “เจ๊เป็ด” หมดเวลากลับไปเลี้ยงหลานแล้วยังโผล่มาทำงานอีก

ไม่มีคำตอบ เพราะมีแต่เรื่องคดีความของ “เจ๊เป็ด” ที่วันนี้ไม่รู้ว่าเงียบหายไปไหน แต่วันใดที่ “เจ๊” ต้องจากไป ก็เชื่อว่าคดีความต่างๆที่เคยมีอำนาจนั่งทับไว้นั้นจะออกมาให้เห็นกันเป็น ระลอก เพราะสิ่งที่ “เจ๊” ทำกับผู้คนทั้งในและนอกรั้วนั้นมีมากมาย

เกริ่นไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้บรรดา “ขี้ข้าประชาชน” ได้ตระหนักว่าเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญนั้น “ไม่จีรัง”

ดังนั้น เมื่อมีอำนาจก็อย่าเหิมเกริมใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม หรือกอบโกยแต่ผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง เพราะเมื่อหมดอำนาจ แม้จะใหญ่โตแค่ไหน หากไม่มี “ความดี” เป็นเกราะคุ้มครองก็ไม่ต่างอะไรกับ “เสือเอ๋ง” ที่จะถูก “ชำระแค้น” หรือไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” ที่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

เช่นเดียวกับข่าวอื้อฉาวในกองทัพขณะนี้ ทั้งที่เรื่องฉาวเดิมยังไม่ได้สะสาง แต่กลับโผล่เรื่องฉาวสดๆใหม่ๆขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการขออนุมัติตั้งกองพลใหม่ หรือการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆในกองทัพ ซึ่งเป็นยุคที่กองทัพต้องรีบกอบโกย เพราะมีบุญคุณที่คุ้มหัว “สัตว์การเมือง” ไม่ให้ตกนรกหมกไหม้เพราะ “กรรม”

จึงเป็นยุคที่กองทัพจะทำอะไร ขออะไร ถ้าไม่มีใครเอา “คานมาสอด” หมูก็ถูกชำแหละเป็นหมูกรอบผัดกะเพราไปเรียบร้อยแล้ว

“สัตว์การเมือง” ยุคนี้จึงไม่ต่างอะไรกับ “ลิง 3 ตัว” ที่ต้องปิดปาก ปิดตา และปิดหู เพื่อไม่ให้ถูกเตะออกจากอำนาจ “ใครใคร่โกง-โกง ใครใคร่ฆ่า-ฆ่า”

จึงเป็นยุค “แดกด่วน” ที่ไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย เพราะ “ย.ยักษ์” หล่นหายไปชั่วคราว

นอกจาก “สัตว์การเมือง” ที่หิวโซกินไม่เลือกตั้งแต่ปลากระป๋องยันถนนแล้ว รั้วของประชาชนยังสนุกสนานกับการถลุงภาษีประชาชน ตั้งแต่ “ไม้ล้างป่าช้า” ยัน “เรือเหาะ” ที่ดัน “ไม่ยอมเหาะ” หรือเหาะเหมือน “ลูกโป่งสวรรค์”

อย่าง “จอห์น วิญญู” ดีเจเจาะข่าวตื้นสุดฮอต ที่มาพร้อมคลิปสุดฮาแต่เจ็บในเว็บไซต์ “I-Here TV” กระแหนะกระแหนว่า เอาไปให้ร้านปะยางหน้าปากซอยซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง?

แถมการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครนล็อตที่ 2 ไม่ใช่แค่เรื่องราคาและเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ตามสเปกที่ระบุเท่านั้น แต่รถที่สั่งซื้อล็อตแรกยังไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนดอีก

ใครผิดใครถูก ใครโกงใครได้ประโยชน์ ก็คงเป็นแค่ข่าวแล้วเงียบหายไปเหมือน “ไม้ล้างป่าช้า” และ “เรือเหาะมหัศจรรย์”

ยังไม่รวมเรื่องฉาวใน “ศูนย์อับเฉา” กับ “ดีแต่ไอ” ที่ไม่รู้ว่าใครตีแสกหน้าอม “เพชร” ของกลางไป เรื่องจะเงียบหายไปพร้อมๆกับ “ผู้นำกองทัพ” คนใหม่ หรือตะแบงไปให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ก็คงไม่มีใครสนใจ

เพราะวันนี้ก็มี “ผู้ก่อการร้าย” ครึ่งค่อนประเทศแล้ว!