‘คุยข้ามคุก’ แกนนำนปช.

แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องข้อหาทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ สะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความ วุ่นวายในบ้านเมือง วันนี้ถูกคุมขังมาแล้วกว่า 6 เดือน แม้จะยื่นคำร้องขอประกันตัวแต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเกรงว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวแล้วผู้ต้องหาจะหลบหนี “โลกวันนี้” จึง “คุยข้ามคุก” เพื่อสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของแกนนำ นปช. แต่ละคนว่ายังมีจิตใจที่เข้มแข็งและพร้อมจะต่อสู้กับคนเสื้อแดงเพื่อให้ได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมา

นพ.เหวง โตจิราการ ประเทศไทยไม่มีความยุติธรรมและใช้ความรุนแรงกับประชาชน

“ทุกวันนี้ผมวิ่งออกกำลังกายวันละ 10 กิโลเมตร เพื่อรักษาสุขภาพให้ดีขึ้นและออกมาต่อสู้หาความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลัวมากที่สุดคือความจริงของเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจะถูกเปิดเผยออกมา เนื่องจากใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือสังหารประชาชนเสียชีวิตถึง 91 ราย บาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย แต่คนที่ถูกกระทำกลับต้องเข้าคุก ส่วนคนทำยังลอยหน้าลอยตาในสังคมต่อไป ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยไม่มีความ ยุติธรรมและใช้ความรุนแรงกับประชาชน”

นายนิสิต สินธุไพร หัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่

“ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะตลอด 6 เดือนที่อยู่ในนี้ทำให้มีเวลาคิดอะไรมากขึ้น ตอนนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้นเพราะได้ออกกำลังกายทุกวัน โดยจะขึ้นเวทีซ้อมมวยกับณัฐวุฒิและเจ๋ง ดอกจิก จากนั้นก็ดูทีวี.และอ่านหนังสือที่ทางเรือนจำมีไว้ให้ ก็สบายดีและยังแข็งแรงอยู่

แต่ขอยืนยันว่าสิ่งที่ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ทำคือสิ่งที่ถูกต้อง และมั่นใจว่าเราทำเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อบ้านเพื่อเมือง เป็นการทำหน้าที่ตามสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่บัญญัติไว้ตามรัฐ ธรรมนูญ เราไม่ใช่ผู้ต้องหาตามที่รัฐบาลกล่าวหา เราเป็นเพียงกลุ่มคนที่เห็นต่างทางการเมืองเท่านั้น เพราะในทางการเมืองเห็นต่างกันได้ เราไม่ได้เป็นคนสร้างความแตกแยกให้กับชาติบ้านเมือง

ผมเชื่อว่าเมื่อไรที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรมก็จะตามมา ดังนั้น วันนี้ที่ผมอยู่ในนี้ก็เพียงแต่ไม่มีอิสรภาพเท่านั้น แต่ความคิดและหัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่ ผมอยากบอกว่ารัฐบาลจะทำอะไรกับพวกผม ผมไม่กลัว เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด”

นายก่อแก้ว พิกุลทอง คุณอภิสิทธิ์เป็นคนตอแหล

“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว แม้ว่าตอนแรกๆอาจปรับตัวยากหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีอะไร วันๆก็ดูทีวี. อ่านหนังสือ แล้วก็ออกกำลังกายบ้าง ไม่มีอะไรมาก ทีแรกที่เคยบอกว่าทำใจยากเพราะผมถูกส่งไปอยู่แดน 8 ซึ่งเป็นแดนที่มีนักโทษเด็ดขาดและเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น ก็ทำใจยากหน่อย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว บอกได้อย่างเดียวว่าคิดถึงลูกมาก แต่ก็ดีที่แม่เขามาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ก็หายคิดถึงกันบ้าง

ผมอยากบอกดีเอสไอที่กล่าวหาพวกผมเป็นผู้ก่อการร้ายว่า ดีเอสไอทำงานรับใช้การเมือง ดังนั้น ดีเอสไอจะทำอะไรกับพวกเราก็เป็นเรื่องที่ทำเพื่อรับใช้การเมืองเท่านั้นเอง แต่คุณอภิสิทธิ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีบอกว่าการจะปล่อยแกนนำ นปช. เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ผมก็ไม่ได้หวังอะไร สำหรับผมไม่ฟังคุณอภิสิทธิ์มานานแล้ว เพราะคุณอภิสิทธิ์เป็นคนตอแหล เป็นคนปากพูดอย่างแต่สมองคิดอีกอย่าง พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น การออกมาบอกว่าต้องการปรองดอง แต่พอเอาเข้าจริงก็เป็นเพียงแค่พูดไปวันๆเท่านั้น เพราะความเป็นจริงคุณเองต่างหากที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก เมื่อคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีพูดอย่างนี้แล้วบ้านเมืองจะปรองดองได้อย่างไร”

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กองทัพเอาอาวุธมาฆ่าพี่น้องเรา

“ขอยืนยันว่าตอนนี้แม้ผมต้องเข้ามาอยู่ในเรือนจำเป็นครั้งที่ 2 แต่ก็มาจากการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ผมยืนยันว่าจะสู้ต่อไปเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ผมยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เรามาทำหน้าที่ของเรา แต่เมื่อรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นผู้ก้อการร้าย ผมก็ยังงงว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไรในเมื่อผมไม่ได้ไปฆ่าใคร มีแต่กองทัพที่เอาอาวุธมาฆ่าพี่น้องเรา มีการใช้กำลังทหารกับเรา

ตอนนี้ผมกำลังฟิตหุ่นให้แข็งแรง ออกกำลังกายทุกวัน เพื่อเตรียมตัวออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกับพี่น้องเสื้อแดงอีก ครั้ง ส่วนที่ดีเอสไอบอกว่าเราฆ่ากันเอง ผมอยากถามว่าคิดได้อย่างไร และการที่ดีเอสไอคิดอะไร ทำอะไร ก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ผมไม่ให้ความสนใจอะไรมากนัก เพราะดีเอสไอวันนี้ทำงานเอาใจนักการเมืองเท่านั้น อยากบอกว่าคนเสื้อแดงที่อยู่ในนี้ยังคิดถึงพี่น้องเสื้อแดงทั่วประเทศ หากมีโอกาสจะมาพบกันอีกครั้งหลังจากประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่า นั้น”

นายขวัญชัย ไพรพนา ต่อสู้เพื่อทวงถามประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินเกิด

“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว แม้ตอนแรกจะทำใจไม่ได้ก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาทำใจลำบากเพราะไม่เคยอยู่ในคุก แต่มาถึงตรงนี้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว ดีเสียอีกเพราะจะได้ออกกำลังกายมากขึ้น ตอนนี้น้ำหนักลดลงไปกว่า 10 กิโลกรัมแล้ว หุ่นดีขึ้นเยอะ

เรื่องกำลังใจจึงไม่ต้องห่วง เพราะมีพี่น้องเสื้อแดงจากอุดรธานีและจังหวัดอื่นๆมาเยี่ยมผมเป็นจำนวนมาก เขามาเราก็ดีใจ และฝากบอกไปด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะรักษาตัวให้ดีที่สุดเพื่อกลับไปหาพี่น้องเสื้อแดงทุกคน อยากบอกว่าผมไม่เคยเสียใจที่ต้องมาอยู่ในนี้ แต่ผมภูมิใจที่ครั้งหนึ่งได้ร่วมกันต่อสู้กับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง ต่อสู้เพื่อทวงถามประชาธิปไตยให้กับแผ่นดินเกิด”

นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย เราเดิมพันชีวิตเราไว้แล้ว

“ตอนนี้ผมแข็งแรงดีเพราะออกกำลังกายทุกวัน และยังมีใจสู้อยู่ตลอดเวลา เพราะถ้ามองว่าไม่เป็นธรรมมันก็ไม่เป็นธรรม แต่ผมว่าก็ดีไปอย่างเพราะทำให้เรามีเวลาในการทำงานอย่างอื่นมากขึ้น ได้ดูแลร่างกายให้แข็งแรงมากขึ้น ตอนนี้หากมีเวลาว่างก็จะฝึกสมาธิมากขึ้น

พวกเราได้เข้ามาอยู่ในนี้อีกครั้งเพราะต้องการประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลให้ไม่ได้ การอยู่ในนี้เป็นการจำกัดอิสรภาพของเราเท่านั้น เราไม่เสียใจในการทำหน้าที่ของประชาชนคนไทยที่ต้องการให้ประเทศชาติเป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เพราะการร่วมกันสู้หมายถึงเราเดิมพันชีวิตเราไว้แล้ว ดังนั้น แม้จะถูกขังคุกก็ยังสูญเสียน้อยกว่าพี่น้องประชาชนที่มีอุดมการณ์ร่วมกับเรา ที่สูญเสียทั้งชีวิต บางคนสูญเสียอวัยวะ บางคนต้องเสียตา เสียแขน เสียขา เราเพียงแค่ติดคุก ซึ่งก็มีวันออก

ทั้งๆที่ความเป็นจริงเราไม่น่าจะเข้ามาอยู่ในนี้ แต่เป็นเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้พวกเราได้แสดงความคิดเห็นที่เป็น ประชาธิปไตย แต่เรายังคงมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำมานั้นถูกต้อง เราต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ไม่มีความยุติธรรมและความจริงเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็จะเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นให้ได้”

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม

“ตอนแรกที่เข้ามาก็เครียดบ้างเพราะไม่เคยอยู่ในนี้ อย่างผมเป็นคนบันเทิง มีอิสระ มีเสรีภาพ เข้ามาใหม่ๆจึงลำบากหน่อย แต่พอนานไปก็ทำใจได้ ตอนนี้ก็สบายขึ้น ออกกำลังกายทุกวัน คือทุกวันผมจะวิ่งในเรือนจำกับพี่นิสิต วิ่งมาราธอนกันเลย ผมบอกเลยว่าที่ต้องเข้ามาอยู่ในนี้ผมไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม เพราะผมมีความเชื่อมั่นที่จะสร้างประชาธิปไตยในบ้านเมืองของเราให้เกิดขึ้น ให้ได้ เพียงแต่รู้สึกไม่ดีที่ไม่มีความเป็นธรรมในสังคมไทย

การที่ผู้มีอำนาจตั้งข้อกล่าวหาเราเกินจริง ทั้งยังไม่ให้ประกันตัวอีก อ้างว่าจะหลบหนี ทั้งที่ความเป็นจริงเราเข้าไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่เอง หากเราตั้งใจจะหลบหนีจะมอบตัวทำไม เรามอบตัวตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นความไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรมของผู้มีอำนาจ ทุกวันนี้สิ่งที่แกนนำทุกคนที่อยู่ในนี้ทำคือการรักษาตัวและรักษาสุขภาพให้ แข็งแรงเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ในวันข้างหน้า”

นายสมชาย ไพบูลย์ คุณก็หนีความจริงไม่พ้น

“ผมยังยืนยันว่าจะสู้ต่อไป แม้จะอยู่ในนี้ผมก็ไม่มีวันท้อ แต่กลับเพิ่มกำลังใจมากขึ้นอีกเพราะได้รับความห่วงใยจากพี่น้องประชาชนทั่ว ประเทศ เราได้รับความไม่ยุติธรรมจากผู้มีอำนาจทั้งที่เราเรียกร้องประชาธิปไตย เหมือนทุกที่ในโลก ถ้าเขาเห็นว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยก็ต้องออกมาเรียกร้องตามสิทธิที่ พึงกระทำได้ แต่เขาไม่ใช้กำลังกับประชาชน ผิดกับรัฐบาลนี้ที่ใช้ทั้งทหารและอาวุธมาห้ำหั่นประชาชน ยิงประชาชนจนตายเกือบ 100 ศพ แต่รัฐบาลกลับบอกว่าไม่ได้ทำ อยากบอกนายอภิสิทธิ์ว่าความจริงคือความจริง ยังไงก็หนีความจริงไม่พ้น วันนี้คุณยังมีอำนาจ คุณทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อคุณหมดอำนาจ วันนั้นจะรู้เองว่าความจริงคืออะไร เพราะประชาชนคงไม่ให้อภัยคนที่ฆ่าพี่น้องเขาแน่นอน”

อย่ามาทำตีแค่สำนวนโวหาร

นายสมหวัง อัสราษี แกนนำ นปช. ที่ทำหน้าที่ดูแลแกนนำ นปช. ที่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

“หลังจากแกนนำถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษฯ ในช่วงแรกมีคนรับไม่ได้ที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ โดยเฉพาะนายขวัญชัย ไพรพนา ถึงกับหลั่งน้ำตา เพื่อนๆก็ได้แต่ปลอบใจ แต่หลังจากอยู่ได้สักระยะตอนนี้ก็สบายใจขึ้น รวมทั้งได้รับกำลังใจจากคนเสื้อแดงที่ไปเยี่ยมทุกวัน เดี๋ยวนี้มีความสุขมากขึ้น ที่นายขวัญชัยกลัวมากเนื่องจากต้องไปอยู่ในแดน 8 ซึ่งเป็นแดนที่เป็นนักโทษเด็ดขาดเข้าออกคุกเป็นว่าเล่นและมีคดีร้ายแรงทั้ง นั้น สำหรับคนอื่นๆก็มีการแยกขัง ไม่ได้อยู่รวมกัน ตั้งแต่แดน 4-8

“เรื่องอาหารผมใช้วิธีสั่งจากสโมสรของเรือนจำให้ไปรับประทานทุกวัน ซึ่งทางเรือนจำค่อนข้างเข้มงวดเรื่องนี้ แต่ดีที่สั่งอาหารจากที่นี่ได้ทำให้ไม่กังวลเรื่องนี้ ผมเองก็เข้าไปทุกวัน จัดน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกไปให้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะเจ้าหน้าที่ให้ความสะดวกในการเยี่ยมและส่งของ ซึ่งแกนนำที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไร ปฏิบัติตัวเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ

แต่ที่ผมอยากถามรัฐบาลคือ การใช้อำนาจทั้งกำลังทหารและการออกมาขู่ไม่ให้ประกันตัวแกนนำ นปช. นั้นมาจากสาเหตุอะไร หรือเป็นเพราะกลัวว่าความจริงที่กระทำกับประชาชนในวันที่ 19 พฤษภาคม จะถูกเปิดเผยออกมา อย่ากลัวความจริง เพราะความจริงใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำนั้นแน่นอน การที่รัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามมาปราบปรามประชาชนไม่มีประเทศไหน ในโลกทำกัน

“ตอนนี้กลุ่ม นปช. กำลังจับตาดูว่ากรณีกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องขึ้นศาลในคดีก่อการร้ายเช่นกันจะ ได้รับการประกันตัวหรือไม่ เพราะกรณีของกลุ่ม นปช. ศาลเกรงว่าจะหลบหนี แต่กลุ่มพันธมิตรฯอยากไปไหน ไปทำอะไรก็ได้ หากได้รับการประกันตัวก็จะเป็นการตอกย้ำเรื่อง 2 มาตรฐาน ซึ่งจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับสังคมมากขึ้น ผมอยากเรียกร้องรัฐบาลว่าหากอยากให้เกิดความปรองดองจริงต้องทำให้ความ ยุติธรรมที่แท้จริงปรากฏขึ้น อย่ามาทำตีแค่สำนวนโวหาร เพราะไม่ต่างอะไรกับลมปากที่พ่นแต่ความเหม็นเน่าออกมา”

พงศ์เทพ เทพกาญจนา สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย

วันนี้

วันนี้ 19 พฤศจิกายน 2553 ผมคิดถึงวีรบุรุษ วีรสตรีชาวไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชนภายใต้ชื่อการกระชับพื้นที่

จนถึงวันนี้ 6 เดือนผ่านไป สาธารณชนไม่ทราบว่าการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนตามที่กฎหมายกำหนดมีการดำเนินการหรือไม่

จนถึงวันนี้ ไม่มีการดำเนินคดีกับบุคคลในเครื่องแบบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน

จนถึงวันนี้ สิ่งที่เห็นคือผู้เรียกร้องประชาธิปไตยถูกสอบสวน ถูกดำเนินคดี ถูกขัง ไม่ได้ประกันแม้ความผิดที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดไม่ร้ายแรง

จนถึงวันนี้ ประชาชนผู้บริสุทธิ์และสูญเสียยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

จนถึงวันนี้ ประชาชนรับทราบข่าวการทุจริต คอร์รัปชัน ความทรามของผู้ใช้อำนาจรัฐที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จนถึงวันนี้ หลายคนแปลกใจว่าองค์กรต่างๆที่เคยทำหน้าที่ได้ดี เคยเป็นที่เชื่อถือ ไฉนเปลี่ยนไปเพียงนี้

จนถึงวันนี้ หลายคนแปลกใจว่าผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายอดทนกันได้อย่างไร

จนถึงวันนี้ เมื่อย้อนถามตัวเอง หลายคนคิดเหมือนกันว่าเราอดทนอยู่ได้ เรายังอยู่ได้ก็ด้วยความหวังว่าอรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเท่า เทียมกัน มีความเสมอภาค กลไกต่างๆของประเทศทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาด้วยความเที่ยงธรรม กำลังรอเราอยู่

จนถึงวันนี้ ผมยังรอวันพรุ่งนี้และจะรอต่อไป

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 287 วันที่ 27 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 หน้า 18-19 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย วัฒนา อ่อนกำปัง


กรณีโหวต ‘มาร์ค V11’ ถึง..‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ สะท้อนพลังเงียบ+คนเสื้อแดงเลือกตั้งซ่อมกทม.เขต 6

กรณีโหวต ‘มาร์ค V11’ ถึง..‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ สะท้อนพลังเงียบ+คนเสื้อแดงเลือกตั้งซ่อมกทม.เขต 6
ที่มา : โลกวันนี้ รายวัน ปีที่ 11 ฉบับที่ 2842 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 16 กรกฏาคม 2010
คอลัมน์ : เรื่องจากปก

“มรึงออกได้ละ ไอ้…อภิสิทธิ์”

“อภิสิทธิ์ออกก็จบ เสื้อแดงจะเผาไหม ถามหน่อยครับบบบบ!!”

“แม่(ง)พูดมาได้ เห็นประชาประท้วงมาขนาดนี้ เป็นผมผมออกไปนานแล้ว แล้วทีตัวเองไม่ออก…!”

“กลัวตาย กลัวออกประเทศไม่มีเงินใช้หรือไง(วะ)!”

เป็นข้อความส่วนหนึ่งของ “มาร์ค V11” นายวิทวัส ท้าวคำลือ ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายรายการเรียลิตี้ล่าฝันยอดนิยม “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (เอเอฟ 7) จนทำให้วันแรกของการขึ้นเวทีของเขาต้องถูกระงับไปกะทันหัน โดยพ่อแม่ของ “มาร์ค V11” แถลงสั้นๆ ขอใช้สิทธิความเป็นพ่อแม่เพื่อความสมานฉันท์ และไม่ต้องการให้เรื่องลุกลามบานปลาย ขณะที่ทรูฯก็อ้างเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาจากแฟนคลับต่อต้านอย่างไร

V11 คะแนนพุ่งกระฉูด

อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวข้อความของ “มาร์ค V11” ออกไป พร้อมๆกับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ “Social Sanction” หรือ “ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม” ที่ใช้โจมตีใส่ร้ายบุคคลต่างๆทางโลกออนไลน์ ซึ่งแพร่หลายอย่างมากขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ที่ออกมาสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และโจมตีคนเสื้อแดงนั้น ปรากฏว่าคะแนนของ “มาร์ค V11” กลับทะยานแบบพุ่งกระฉูด เพราะตอนที่ไม่มีข่าวนี้คะแนนของ “มาร์ค V11” อยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายได้ 3.89% แต่เมื่อถูกโจมตีกลับพุ่งไปถึง 17.52%

คะแนนที่พุ่งพรวดจะเป็นเพราะคนเสื้อแดงที่รวมพลังโหวตให้หรือคะแนนสงสารจากประชาชนก็ตาม ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและ นายอภิสิทธิ์ได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึง “มาร์ค V11” ว่าแม้เป็นการโพสต์ก่อนเข้าแข่งขันและไม่เกี่ยวกับบริษัท แต่ความรับผิดชอบส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ว่ามีความจริงใจหรือไม่ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจและตามสิทธิ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย แทนที่นายอภิสิทธิ์จะใจกว้างแสดงความเป็นประชาธิปไตยและเมตตาธรรมในฐานะผู้นำ กลับแสดงความกังขาและทวงถามความรับผิดชอบ

ขบวนการบิดเบือน

ด้านนางวรรณา ท้าวคำลือ มารดาของ “มาร์ค V11” ได้ออกมาปกป้องลูกชายว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นตามประสาวัยรุ่นที่ได้รับข้อมูลข่าวสารขณะบ้านเมืองไม่ปรกติ ซึ่งเขียนขึ้นขณะอยู่ต่างประเทศที่มีข่าวจากประเทศไทยรุนแรงมาก แต่ที่กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะมีคนเอารูป “มาร์ค V11” ขึ้นมาตัดแปะและโจมตีในออนไลน์ ซึ่งห้ามไม่ได้ แต่เข้าใจลูกชายดี และครอบครัวทุกคนก็เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

แต่นางวิสา เบ็ญจะมโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวตำหนิกรณีขบวนการล่าแม่มดในเครือข่ายออนไลน์ที่ต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึง “มาร์ค V11” ว่าเป็นการแสดงความเกลียดที่รุนแรงเกินไป ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคล หากไม่ใช้ความรุนแรง หรือละเมิดกฎหมาย ละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถทําได้อย่างอิสระ

เช่นเดียวกับนายสุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ไม่แปลกใจที่ขบวนการล่าแม่มดเกิดขึ้นในสภาวการณ์ขณะนี้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้วสุดโต่งอย่างชัดเจน โดยมีการตามล่า ตามเช็กประวัติการเคลื่อนไหวข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่ต่อต้านรัฐบาล หลังจากนั้นจะออกกดดัน ข่มขู่ หรือขู่ฆ่า ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความอดกลั้นของสังคมต่อการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง

นับเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งกับสังคมไทย ที่กำลังสูญเสียพื้นที่ประชาธิปไตย สูญเสียช่องทางที่จะแสดงความคิดเห็นในทางการเมืองได้ ทั้งยังเข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงการรวมกลุ่มเพื่อกดดันให้มีการลงโทษผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้จะมีอยู่ในรายงานประจำปีของฮิวแมนไรท์ วอทช์ ที่ต่างประเทศจะนำไปใช้อ้างอิงสถานการณ์ในประเทศไทยได้

“มาร์ค V11” ถึง “ก่อแก้ว”

กรณีของ “มาร์ค V11” จึงสอดรับกับสถานการณ์การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 6 กรุงเทพฯ แทนนายทิวา เงินยวง อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยพรรคเพื่อไทยส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่ถูกคุมขังในข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ลงสมัคร ซึ่งนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็พยายามออกมาขัดขวางให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วินิจฉัยคุณสมบัติของนายก่อแก้ว โดยเฉพาะการกล่าวหาว่า “นายก่อแก้วเบอร์ 4 เป็นผู้ก่อการร้าย” แต่ กกต. ยืนยันว่านายก่อแก้วมีคุณสมบัติถูกต้อง

แม้จะแค่ 1 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็มีความหมายอย่างยิ่งกับสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอย่างมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นัยทางการเมืองในผลแพ้หรือชนะเท่านั้น แต่ยังเหมือนสัญลักษณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เพื่อทวงความยุติธรรมในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ทั้งถูกเปรียบเหมือนการต่อสู้ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่เป็นการต่อสู้ระหว่าง “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการซ่อนรูป” ว่าประชาชนเชื่อฝ่ายใด?

หาเสียงบนคมดาบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายก่อแก้วต้อง “ชกข้ามคุก” ไม่สามารถออกมาหาเสียงได้ ต้องให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงหาเสียงแทน แต่การพูดถึงเหตุการณ์นองเลือดก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะเสี่ยงต่อการทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วยังอาจต้อนตัวเองเข้ามุมอับให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงดาบเชือดอีกด้วย

ที่น่าสังเกตคือ ในการปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยทุกครั้งจะมีคนเสื้อแดงไปรับฟังและให้กำลังใจมากมาย แต่ก็มีคำถามว่าคนเสื้อแดงมากมายที่มาฟังคำปราศรัยนั้นเป็นคนในพื้นที่ที่มี สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ และปฏิเสธไม่ได้ว่าคะแนนจัดตั้งหรือฐานคะแนนเสียงของแต่ละพรรคจะเป็นตัวชี้ผลแพ้ชนะในวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2553 โดยเฉพาะเสียงของประชาชนที่เป็นพลังเงียบที่อาจไม่ชอบทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง และพรรคประชาธิปัตย์

แต่เชื่อว่าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิอย่างมากมาย ซึ่งจะทำให้คะแนนเสียงของผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด เป็นตัวแปรที่สำคัญกับผลการเลือกตั้ง เพราะคะแนนเสียงเหล่านี้จะไหลไปตามกระแสสังคมที่เกิดขึ้น ซึ่งจะบ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกของสังคมต่อสถานการณ์การเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งจะเป็นดัชนีชี้วัดความชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์และกองทัพได้เป็นอย่างดี

นายก่อแก้วจึงไม่ใช่แค่ตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่จะเหมือนสัญลักษณ์ในการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับอำนาจเผด็จการ ซ่อนรูปอีกด้วย

ความจริงไม่มีวันตาย

เช่นเดียวกับ “มาร์ค V11” ที่จะต้องต่อสู้กับขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ และกลุ่มอํานาจรัฐที่พยายามบิดเบือนความจริงที่ดัดจริตใส่หน้ากาก ประชาธิปไตย แต่ธาตุแท้กลับไม่ต่างกับ “เผด็จการทรราชมือเปื้อนเลือด” ที่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่การเข่นฆ่าและทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง

เช่นเดียวกับนายก่อแก้วที่จะมีคนเสื้อแดงหลายสิบล้านคนเป็นกำลังใจ แม้จะไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตยทั่วทั้งแผ่นดินที่ต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมกลับคืน

การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. จึงต้องจับตาอย่ากะพริบว่า “ก่อแก้ว ก่อการร้ายเบอร์ 4” จะล่าฝัน “ประชาธิปไตย” ได้หรือไม่?


ไล่ล่าเข่นฆ่าเพื่อครองอำนาจ

ไล่ล่าเข่นฆ่าเพื่อครองอำนาจ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5  ฉบับ 267 วันที่ วันที่ 10 – 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  หน้า 16
คอลัมน์ : ฟังจากปาก
โดย : วัฒนา อ่อนกำปัง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เห็นว่าการที่รัฐบาลยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้เท่ากับเป็นการยืนยันที่จะอยู่ในอำนาจจนกว่าจะหมดวาระ อย่างไรก็ตาม คนเสื้อแดงก็ยังมีการเคลื่อนไหวตลอด แม้จะถูกไล่ล่าแต่ก็ไม่กลัวถ้าทำแล้วประเทศเป็นประชาธิปไตยก็ยอม ที่เหลืออ่านต่อดังนี้

ศอฉ. จัดชุดไล่ล่าคนเสื้อแดง

อย่างที่ผมได้อธิบายมาตลอดว่าถ้ารัฐบาลบอกว่าตัวเองถูกคนจะลอบทำร้ายนั่น หมายถึงพวกผมที่ต้องระวังตัว เพราะรัฐบาลพูดอย่างนี้ฝ่ายที่ตายคือฝ่ายผมทุกครั้ง ฉะนั้นการไล่ล่าของรัฐบาลเป็นพวกอื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการโดนยิงตายของแกนนำโคราชที่รู้จักในนาม “อ้วน บัวใหญ่” ที่จนป่านนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า ในขณะที่พยานคนเดียวก็ไม่กล้าออกมาพูดอะไร เพราะกลัวอำนาจมืดที่คอยไล่ล่าทุกวัน หรือแม้กระทั่ง “การ์ดพัทยา” หรือการ์ดของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ชื่อ“น้ำหวาน” อดีตจ่าอากาศหน่วยคอมมานโด ก็เป็นความตายที่เป็นปริศนา เป็นฆาตกรรมอำพรางทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแกนนำทุกจังหวัด ทุกกลุ่มใน 400 กลุ่ม ถูกไล่ล่าเหมือนกันหมด

พวกเราเองก็รู้ว่าเวลานี้แค่ทำหน้าที่รักษาลมหายใจก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว แต่การกดขี่ของรัฐบาล การไล่ล่าของรัฐบาล การที่รัฐบาลปากบอกปรองดองแต่พฤติกรรมปองร้าย เท่ากับไปสร้างความโกรธแค้นให้กับประชาชนผู้รักความยุติธรรม ซึ่งไม่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น เพราะคนไทยไม่ชอบให้ใครไปรังแกกัน ยิ่งรังแกมากเท่าไรคนจะมีความรู้สึกว่าไปรังแกอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถามว่า ณ ขณะนี้คนเสื้อแดงอยู่อย่างไร ก็ตกอยู่ในสถานะของคนที่มีความรู้สึกเจ็บปวด สูญเสีย แต่ก็ยังเป็นคนเสื้อแดงอยู่

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมได้อธิบายกับสื่อมวลชนต่างประเทศไปเหมือนกันว่า คนเสื้อแดงอยู่นิ่งๆก็ถือเป็นการเคลื่อนไหวแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปชุมนุมเหมือนเดิม เพราะรู้ว่าถ้าไปชุมนุมก็ต้องมีการฆ่าเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นขณะนี้เพียงแค่เรามีโอกาสได้พูดความจริงบ้าง มีโอกาสได้ปรับทุกข์ มีโอกาสให้กำลังใจซึ่งกันและกันมันก็มากแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงมีโอกาสได้เจอกันในงานทำบุญ ครั้งนี้คงมีโอกาสได้เจอกันในสนามการเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. เพราะฉะนั้นแม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็เป็นโอกาสของพวกเราที่จะได้พบปะกัน เพราะฉะนั้นการนำความทุกข์มาปรับกันและมีโอกาสได้อธิบายความจริงให้ประชาชนที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ผมเชื่อว่าความจริงจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

มีคนจ้องปองร้ายรัฐบาล

การออกมาบอกเช่นนี้ของคนที่เป็นผู้นำตำรวจอย่าง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อความคิดเห็นและการนำเสนอตรงนั้นคือการหาเหตุของรัฐบาลเท่านั้นคือ 1.เป็นการหาความชอบธรรมสำหรับการต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2.เป็นการกลบการใช้งบประมาณจำนวนกว่า 5,000 ล้านบาท ในการฆ่าประชาชน 3.เป็นการอนุมัติงบประมาณในการซื้อรถกันกระสุนและรถต่างๆเพิ่มเติม การจัดกำลังเพิ่มเติม ทั้งหมดเป็นมายาภาพทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการกุข่าวหรือแม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. ที่ความจริงเป็นพวกรัฐบาลชุดนี้ 100% ยังไม่เชื่อเลยว่าข่าวลอบสังหารมีจริง เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครไปทำอะไรนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยกเว้นขบวนรถจะขับชนกันเอง

เพราะฉะนั้นผมเห็นว่าเป็นการกุข่าว เป็นการเรียกร้องความสนใจ เหมือนกับการยิงถังน้ำมันเปล่า น่าแปลกตรงที่ว่ามีถังน้ำมันอยู่ 10 ถัง ในนั้นมีน้ำมัน 9 ถัง แต่ไปเลือกยิงถังน้ำมันเปล่า หรือแม้กระทั่งระเบิดรถขายผลไม้ข้างพรรคภูมิใจไทย เพราะที่ผ่านมาผมเจอแกนนำแหลมฉบังเขาไม่รู้จักการ์ดคนนี้เลย เพราะฉะนั้นทั้งหมดจึงอธิบายความได้ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของรัฐบาล ซึ่งยิ่งสร้างความเจ็บแค้นให้กับประชาชนมากขึ้น เพราะประชาชนในที่สุดก็รู้ความจริง

จะคง พ.ร.ก. ไว้นานหรือไม่

รัฐบาลจะทำอะไรก็ได้ไม่มีปัญหา จะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ตลอดชาติก็ได้ ในเมื่อผมอธิบายชัดเจนว่าในภาคใต้ 6-7 ปีมาแล้ว 3 จังหวัดชายแดนบวกอีก 5 อำเภอ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส นาทวี จะนะ เทพา สะบ้าย้อย ถามว่าทำไมปัญหาจึงไม่จบล่ะ ดังนั้น พ.ร.ก. ฉบับนี้เนื้อหาเหมือนกันหมดทุกอย่าง ฉบับเดียวกันหมดงบไปเกือบ 200,000 ล้านบาท ตายกว่า 4,000 คน บาดเจ็บเป็นหมื่น ถามว่าจบหรือไม่

เพราะฉะนั้นการตรึง พ.ร.ก. ไม่ได้เป็นการตอบว่าเป็นการจบปัญหา จะทำให้รัฐบาลมีความรู้สึกว่าตัวเองมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ถามว่าถ้าสำเร็จจริงทำไม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสียงปืนจึงไม่สงบล่ะ ความตายจึงไม่เคยหยุด เพราะฉะนั้นความสงบก็เกิดขึ้นมาไม่ได้จากการใช้ พ.ร.ก.

วันนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่า กทม. จะไม่มีปัญหาเหมือนกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการสร้างสถานการณ์ก็เห็นว่ามีร่องรอย อาชญากรไปทำเหตุที่ใดก็มักทิ้งร่องรอยอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นผมเห็นว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาลซึ่งเวลานี้เข้าใจว่าอยู่ได้เพราะ พ.ร.ก. ความจริงไม่ใช่ ประชาชนคนไทยเขาเกลียดที่สุดคือการโกหก ยิ่งจัดฉากสร้างสถานการณ์ใส่ร้าย และผมเชื่อที่สุดก็จะตรึง พ.ร.ก. ไว้ตลอดรัฐบาลชุดนี้ แต่ไม่มีวันรักษาอำนาจได้ และไม่มีใครไปทำอะไรรัฐบาลชุดนี้ เพราะคนที่ทำรัฐบาลชุดนี้คือตัวรัฐบาลเอง

ศาลว่า ศอฉ. ไม่ผิดกฎหมาย

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เลือกที่จะไม่พูดคำพิพากษาทั้งหมด คืออย่างนี้ ของผมมี 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งศาลแพ่งวินิจฉัยชัดเจนว่าจะต้องสลายการชุมุนมโดยยึดหลักสากล ครั้งที่ 2 ผมไปขอคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้มีการล้อมปราบ ครั้งที่ 2 ไม่อนุญาตก็ต้องดำเนินการตามหลักสากล ไม่มีคำวินิจฉัยอันใดบอกว่าไม่มีความผิด ที่ไปตีความมันเห็นแก่ตัว มันก็มีอยู่แล้วในมาตรา 17 ว่าต้องเป็นการกระทำตามเหตุผล 1 2 3 4

แสดงว่านายสุเทพโกหก

ก็อาจจะสร้างความสุขให้กับนายสุเทพไป เพราะความจริงคือไม่มี พ.ร.ก. ฉบับไหนให้ฆ่าคนตายได้ หรือฆ่าคนบริสุทธิ์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีกฎหมายนี้ทั่วโลก

พ.ร.ก. ฉบับนี้คุ้มครองทั้งหมด

อันนั้นก็เป็นความสุขของคุณสุเทพ คุณสุเทพจะหาความสุขอย่างไรก็เป็นเรื่องของคุณสุเทพ คิดว่านั่นคือความสำเร็จก็ไปสู้กัน เรื่องนี้ถึงศาลโลกอยู่แล้ว ถึงศาลอาญาระหว่างประเทศอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นศาลแพ่งไม่ได้อนุญาตให้คุณสุเทพเอา พ.ร.ก. มาเป็นข้ออ้างในการใช้ให้ทหารมาทำร้าย มาฆ่าประชาชน เพราะดูคำวินิจฉัยแล้วไม่มีผู้พิพากษาคนไหนในประเทศนี้บอกว่าฆ่าคนแล้วไม่ผิด คำพิพากษาอันแรกคือต้องสลายตามหลักสากล เราขอคำคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ในครั้งที่ 2 คำพิพากษาแรกยังใช้อยู่ เขาให้สลายการชุมนุมได้แต่ต้องยึดหลักสากล แล้วหลักสากลที่ไหนใช้รถหุ้มเกราะ สไนเปอร์ เอ็ม16 มันไม่มี มันผิดมาตั้งแต่ต้น แต่คุณสุเทพก็เลือกอธิบายดูเหมือนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง สร้างความสุขให้กับคุณสุเทพก็สร้างความสุขไป

จะไม่มีการเลือกตั้งในอีก 3-4 ปี

ตรงนี้ไม่ทราบ เพราะไม่ว่าใครก็ตามคิดอย่างนั้น ใครอยากใคร่ทำอะไรก็ทำกันไปก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าท้ายที่สุดวิบากกรรมคือกฎหมายช้ากว่ากฎแห่งกรรม ผมเชื่อว่าถึงที่สุดจะยื้ออย่างไรก็ตามคณะรัฐประหารในอดีตมีกองกำลังมากมาย ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทัดทานประชาชนได้ ผมก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่าใครก็ตามยิ่งอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งและก็ ไปทำลายประชาธิปไตย ฆ่าคน ใส่ร้ายประชาชนแบบนี้ และคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้ยาวและจะลากไปถึงไม่ต้องมีการเลือกตั้งก็คิดไปเถอะ เพราะเป็นความคิดของคุณ แต่คุณถามเจ้าของประเทศเขาแล้วหรือยัง ถามเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยเขาแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ให้ความสนใจ คุณอยากจะประกาศ พ.ร.ก. ตลอดก็ประกาศไป แต่ไม่จำเป็นต้องมาสร้างสถานการณ์อะไรเลย

รัฐบาลไม่ยอมรับว่ามีการตาย

นี่คือวิธีคิดของรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งดำเนินคดีก่อการร้ายไง เพราะก่อการร้ายตอนออกหมายจับไม่มีเหตุอะไรเลย ฉะนั้นการเผาตึก ตึกที่ไหม้ใครได้ประโยชน์ ต้องดูประโยชน์ ถามว่าคนเสื้อแดงได้ประโยชน์หรือเปล่า คนเสื้อแดงเสียประโยชน์เพราะถูกมองว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง หากถามว่าใครได้ประโยชน์ ก็คือรัฐบาล เพราะฉะนั้นดูตรรกะเลยว่าเกิดเรื่องอะไร วิเคราะห์ง่ายๆขั้นพื้นฐาน ระเบิดข้างพรรคภูมิใจไทยใครได้ประโยชน์ คนเสื้อแดง หรือภูมิใจไทย หรือรัฐบาลได้ประโยชน์ ตอบว่าภูมิใจไทย รัฐบาลได้ประโยชน์ ใครได้ประโยชน์คือคนนั้นทำ

เพราะฉะนั้นกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมคุยกับเจ้าของเก่า คุณวิรุฬ เตชะไพบูลย์ เรื่องเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เขาก็ระบุเรื่องความผิดปรกติชัดเจน แล้ววันนี้จับใครไม่ได้ ที่จับไปได้ภาพสุดท้ายเขาถือถังดับเพลิงช่วยดับ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ถูกนำมาเพื่อกลบความผิดของตัวเอง ถ้าพวกผมเป็นผู้ก่อการร้ายได้ นายอภิสิทธิ์อาจคิดว่าตัวเองจะหลุดพ้นจากคดีบงการใช้ จ้างวานฆ่า ทั้งที่จริงแล้วคนตาย 80 คน บาดเจ็บ 1,500 คน ยังเป็นประจักษ์พยานอยู่ เพราะฉะนั้นผมก็เชื่อว่าเขาต้องยัดเยียดข้อหานี้เพื่อกลบความผิดของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ตราบใดที่ความยุติธรรมยังไม่มีก็ไม่มีปัญหา วันใดที่ความยุติรรมมี ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องได้รับการปฏิบัติการอย่างยุติธรรม

ประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง

ถึงตรงนี้คนเสื้อแดงยังอยู่กันครบ ไม่มีใครบอกว่าหลังการชุมนุมวันที่ 19 พฤษภาคมแล้วได้ลาออกจากการเป็นคนเสื้อแดง แต่คนเสื้อแดงอยู่ในสภาพของการถูกไล่ล่า ถูกกดดัน บางคนก็ถึงแก่ชีวิตหลังจากนั้น เพราะฉะนั้นภาพต่างๆ เวลานี้อย่าเพิ่งไปคิดเลย คิดเพียงแค่ว่าเวลานี้จะไม่ให้มีคนตายเพิ่มอย่างไร การนิ่ง การสงบ รู้ว่าอะไรทำได้ทำไม่ได้ และควรเอาบทเรียนในช่วงที่ผ่านมาเป็นตัวกำหนดในการตัดสินใจ คนเสื้อแดงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบจะต้องชุมนุมกันเหมือนเดิม เพียงแต่ช่วยกันพูดทำความจริงให้ปรากฏรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้แล้ว เราก็รู้ว่าถ้าชุมนุมเหมือนเดิมก็จะถูกฆ่าเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้นวันนี้เรารู้ว่าเราทำอะไรได้มากแค่ไหน ในความเห็นของผมไม่จำเป็นต้องชุมนุมเลย เพียงแค่ช่วยกันพูดความจริง ขอให้เสียงความจริงมันดังพร้อมๆกันทั้งประเทศนั่นก็คือชัยชนะแล้ว แต่ ณ ขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่าหัวใจของคนเสื้อแดงเจ็บปวด ขมขื่น รวดร้าว แต่ก็ยังเป็นคนเสื้อแดงอยู่ ไม่มีการบอกว่าหลังวันที่ 19 พฤษภาคมคนเสื้อแดงจะลดลง ไม่มีใครพูดอย่างนี้สักคน เพราะทุกคนออกจากสนามรบด้วยความเจ็บปวด ด้วยความขมขื่น ด้วยคราบเลือดของเพื่อนที่ได้รับชะตากรรม เพราะนั้นผมยังเชื่อว่าระยะยาวจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ในระยะสั้นคนเสื้อแดงรู้ว่าควรทำอย่างไร และจะใช้ชีวิตภายใต้กติกาที่ชั่วร้ายนี้อย่างไร ในโลกแห่งความเป็นจริงเราก็ต้องรู้เหมือนกันว่าขอบเขตที่สามารถทำได้คืออะไร ซึ่งแน่นอนที่สุดในวันนี้มีโอเอซิสในเขตเลือกตั้งที่ 6 เราก็มีโอกาสไปช่วยเพื่อนเรา ได้มีโอกาสเจอเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกับพรรคเพื่อไทยช่วยนายก่อแก้ว พิกุลทอง ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่ได้พบปะกัน แต่ทั้งหมดนั้นเราไม่ควรคิดเกินกว่าความเป็นจริงที่เราสามารถจะกระทำได้

“ก่อแก้ว” เป็นใคร

ผมกับนายก่อแก้วรู้จักกันมาหลายปีเพราะมีอายุเท่ากัน ซึ่งนายก่อแก้วเกิดวันที่ 27 มีนาคม 2508 ส่วนผมเกิดวันที่ 5 ตุลาคม 2508 เป็นเพื่อนกัน มารู้จักสนิทสนมกันตอนเป็นหนุ่มแล้ว ผ่านชีวิตมามากมาย ก็มีความผูกพันกันมาตลอด เพราะฉะนั้นเมื่อพวกผมได้มาตั้งพีทีวีหลังจากมีการยึดอำนาจ ผมก็เป็นคนตามนายก่อแก้วมาร่วมกับพีทีวี และก่อนที่จะมีการยึดอำนาจผมมีโอกาสได้ชักชวนนายก่อแก้วเข้ามาร่วมต่อสู้ทาง การเมือง ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในพรรคให้เห็นถึงศักยภาพของนายก่อแก้วที่จบปริญญาตรี ปริญญาโทก็ได้เกียรตินิยม คณิตศาสตร์ก็ได้ที่ 1 ของภาคใต้ ทำธุรกิจก็ประสบผลสำเร็จมากมาย สุดท้ายนายภูมิธรรม เวชยชัย ก็ตั้งให้เป็นที่ปรึกษาและเป็นกรรมการของ ร.ส.พ. (องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์) และให้ไปรักษาการผู้อำนวยการ ร.ส.พ. เป็นคนสุดท้าย เพราะเวลานั้นรัฐบาลมีมติให้ยุบ ร.ส.พ.

พอถูกยึดอำนาจพวกผมก็ลุกขึ้นมาต่อสู้และตั้งพีทีวี ก็ชวนนายก่อแก้ว เขาก็มาทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในฐานะที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ก็มาร่วมการต่อสู้กับผม กับนายณัฐวุฒิ กับนายวีระ มุสิกพงศ์ ที่ตามมาเพิ่มก็คือนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาโดยตลอด ช่วงจากความจริงวันนี้ก็มีโอกาสที่จะทำตรงนั้นแทนนายณัฐวุฒิ เพราะตอนนั้นนายณัฐวุฒิมีตำแหน่งเป็นโฆษกรัฐบาลทำให้งานค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีเวลามาร่วมงานกันมากนัก แต่ถึงอย่างไรนายณัฐวุฒิก็มาร่วมเป็นบางครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสามเกลอความจริงวันนี้ควรจะเป็นสี่เกลอมาตั้งแต่ต้น เพราะนายก่อแก้วก็อยู่ในรายการความจริงวันนี้มายาวนาน และเพื่อนพ้องน้องพี่ก็เป็นสัญลักษณ์ของทั้ง 4 คนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมีการต่อสู้นายก่อแก้วก็เป็นแกนนำของเราคนหนึ่ง แต่บุคลิกภาพเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ความรู้ไปทางวิชาการบ้าง แต่ทั้งหมดมีหัวใจที่รักประชาธิปไตย

ทำไมถึงเจาะจงที่ “ก่อแก้ว”

การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย แต่วันนี้คนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยกลับถูกกล่าวหาว่าก่อการร้าย ถูกจับเข้ากุมคุมขังในเรือนจำ ดังนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม มีคนอยู่ในเรือนจำที่มีคุณสมบัติพร้อม พรรคเพื่อไทยก็ตัดสินใจส่งลงสมัครทันที ตอนแรกเราคิดถึงนายณัฐวุฒิก่อน เพราะเป็นคนที่ได้รับความรัก ความเชื่อมั่น ความศรัทธาจากคนเสื้อแดงมาก แต่เมื่อดูคุณสมบัติการเรียนในชั้นปริญญาตรี ปริญญาโท ไม่ต่อเนื่องกัน มีการเว้นระหว่างปริญญาตรีและปริญญาโท จึงไม่อยากสุ่มเสี่ยงมาเป็นผู้สมัคร กลัวจะถูกตีความ เมื่อนายณัฐวุฒิมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติก็คิดตรงกับผมและพรรคเพื่อไทยว่าควร เอานายก่อแก้วมาสมัคร เพราะนายก่อแก้วก็อยู่ตกอยู่ในฐานะเดียวกับเพื่อนอีกหลายคน และยังอยู่ในเรือนจำเหมือนกับนายณัฐวุฒิ

การที่พรรคเพื่อไทยมีมติส่งนายก่อแก้วเป็นผู้สมัครเกิดจากความเป็น ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ กล่าวคือ การเลือกนายก่อแก้วเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยเป็นการเปิดโอกาสของคนที่มี หัวใจรักประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการตอบโจทย์ที่สำคัญคือมองเห็นเหมือนกันหมดว่าการส่งนายก่อแก้วถือ ว่าเป็นการเยียวยาหัวใจของพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดง คนที่ไปต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคหรือประชาชน เพราะฉะนั้นการลงรับสมัครเลือกตั้งแม้นายก่อแก้วจะไม่มีโอกาสมาหาเสียงแม้ แต่เพียงวันเดียว แต่คนที่เป็นเพื่อนเขาไม่ว่าจะเป็นส่วนของพรรค ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. และเพื่อนพ้องน้องพี่คนเสื้อแดงจะทำหน้าที่นี้แทนนายก่อแก้ว ถามว่ามีโอกาสต่อสู้ในการเลือกตั้งหรือไม่ ตอบว่าเขตนี้ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกันมานานระหว่างพวกเรากับพรรคประชาธิปัตย์ และซีกผมชนะมากกว่าเมื่อเทียบจำนวนครั้ง เพราะฉะนั้นคะแนนมันห่างกันหลักพัน ครั้งที่แล้วประชาธิปัตย์ได้ 2 ผมได้ 1 จาก 3 คน แต่คะแนนที่ 4 ก็ห่างกันนิดเดียว

เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า ถ้าพรรคการเมืองใหม่ลงรับสมัครรับเลือกตั้งผมแบเบอร์ เพราะเพียงแค่พรรคการเมืองใหม่แบ่งไปสักหมื่น พวกผมอาจได้แสนคะแนนใกล้เคียงกันก็ชนะแล้ว แต่เมื่อพรรคการเมืองใหม่ถอนตัวไปก็เป็นหน้าที่ในการลงพื้นที่อธิบายความ เวลานี้จะเทียบเรื่องการเลือกตั้ง สข. (สมาชิกสภาเขต) ที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะเราเลือก สข. จากบรรยากาศหลังจากการล้อมปราบ ส.ส. ถูกอายัดบัญชีหมด และที่สำคัญที่สุดคือแกนนำในพื้นที่ที่ช่วยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งถูกไล่ล่า ไม่สามารถช่วยหาเสียงได้ ผิดกับการเลือกตั้ง ส.ส. ในครั้งนี้ เพราะคนนอกพื้นที่ที่เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่กับนายก่อแก้วและพวกเราจะเดินทาง มาช่วย ส.ส. 189 คนของพรรคก็จะลงไปช่วย สก. (สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร) สข. ก็จะลงไปช่วย เพราะฉะนั้นที่นั่นจะเป็นเหมือนกับโอเอซิสของประเทศไทยที่จะเป็นทะเลหรือ เป็นเหมือนบ่อน้ำแห่งความจริง

หากถามว่ามีโอกาสหรือเปล่า ผมบอกได้เลยว่ามีโอกาสมาก ถามว่าเป็นรองมั้ยก็เป็นรอง เพราะ 1.ผู้สมัครไม่มีโอกาสมาหาเสียงได้เลย และ 2.รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายสุเทพบอกว่าถ้าพูดให้แตกแยกก็จะจับกุมทันที ซึ่งการเลือกตั้งรัฐบาลไม่มีสิทธิเลย โดยหลักเป็นหน้าที่ของ กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) แต่รัฐบาลยิ่งใช้อำนาจรัฐมากเท่าไรประชาชนยิ่งต่อต้านมากเท่านั้น ผมยังคิดในมุมนี้อยู่นะ คือวันนี้เราเป็นรองเรื่องอำนาจรัฐ 100% กลไกทุกกลไกเราเป็นรอง 100% แต่เราเชื่อว่าเรามีความจริงที่เป็นอาวุธ สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะนำไปต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ และผมเชื่อว่าความจริงนี่แหละแม้จะเป็นรอง แต่ความจริงจะเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ


รัฐบาลขาพัน ระวังล้มทั้งยืน

รัฐบาลขาพัน ระวังล้มทั้งยืน
โดย : Sahanut Maneekul

กลายเป็นจุดขายไปอีกแบบ กับชุดเครื่องแบบของนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ที่สวมเสื้อยืด นุ่งกางเกงขาสั้น ลากรองเท้าแตะ ออกจากเรือนจำมากรอกใบสมัครลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 6 กทม. ในนามพรรคเพื่อไทย แถมหน้าอกเสื้อเขียนข้อความ “เสรีภาพ เสมอภาค ประชาธิปไตย” ด้วยปากกาเมจิก สลักลายเซ็นกลุ่มแกนนำนปช.เพื่อ นร่วมกรงขัง แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็แสดงถึงความแตกต่างกับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ คู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์ชนิด คนละสุดสายปลายขั้ว

ครั้งนี้ถึงจะเป็นเลือกตั้งแค่เขตเดียว ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการ เมืองในสภาโดยตรง แต่หลายคนมองตรงกันว่าเป็นการเลือกตั้งซ่อมที่คนไทยให้ความสนใจจับตามากที่สุด เพราะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ภายหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค. 53 จะเป็นเครื่องบ่งบอกได้ในระดับหนึ่งว่าคนกรุงรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองกันตามสูตรไม่ว่าการเลือกตั้งทั่วไปหรือเลือกตั้งซ่อมบางเขต ผู้สมัครพรรครัฐบาลมักเป็นฝ่ายได้เปรียบผู้สมัครจากพรรคที่ไม่ใช่รัฐบาล

ครั้งนี้ก็ไม่แตกต่าง นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ มีสถานะความได้เปรียบเหนือนายก่อแก้ว พิกุลทอง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลต้องระมัดระวังคือการใช้เงื่อนไขความได้เปรียบที่ตนเองมีอยู่แบบเกินความพอดี กลายเป็นการเอารัดเอาเปรียบ เพราะถ้าสังคมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันเมื่อไหร่ อาจเกิดกระแสตีกลับได้เมื่อนั้น

ในบรรยากาศการเลือกตั้งตามกติกาประชาธิปไตย พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำลังเป็นปัญหา “ดาบสองคม” สำหรับรัฐบาล ด้านหนึ่งรัฐบาลใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นอาวุธฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน แต่การคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้และมี แนวโน้มจะต่ออายุออกไปอีกนั้น แสดงให้เห็นด้วยเหมือนกันว่ารัฐบาลยังกุมสภาพการเมืองไว้ไม่ได้ รัฐบาลอ้างว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินยังจำเป็น เนื่องจากการเคลื่อนไหวในลักษณะเป็นภัยต่อความมั่นคง รวมถึงการก่อวินาศกรรมสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมืองยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยยกตัวอย่างกรณีวางระเบิดพรรคภูมิใจไทย และเหตุยิงถล่มคลังน้ำมันในกรมพลาธิการทหารบกด้วยจรวดอาร์พีจี ที่หลังเกิดเหตุรัฐบาลพยายามอย่างมากที่จะลากโยงพยานหลักฐานเข้าหากลุ่มเสื้อแดง

แต่ความพยายามดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ข้อพิรุธมากมาย

ทั้งการจับกุมคนร้ายวางระเบิดพรรค ภูมิใจไทยที่ดูเหมือนง่ายดายและรวดเร็วเกินไป รวมถึงคดียิงถล่มคลังน้ำมันซึ่งภายหลังปรากฏว่าเป็นถังน้ำมันเปล่า ตรงจุดนี้เองที่เป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบขึ้นมาโจมตี สังคมเองก็ตั้งข้อสงสัยเช่นกันว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลเพื่อหาข้ออ้างในการยืดอายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สานต่อปฏิบัติการขุดรากถอนโคนกลุ่มเสื้อแดง

พร้อมกับดิสเครดิตคู่แข่งช่วงเลือกตั้งซ่อมหรือไม่

การที่หลายคนไม่ยินดียินร้ายกับข้อมูลเป้าหมายก่อวินาศกรรม 68 จุด หรือแม้แต่ข้อมูลการลอบปองร้าย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ฝ่ายรัฐบาลปล่อยออกมา ก็พอสะท้อนได้ว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยในสังคมไม่ให้ความเชื่อถือข้อมูลที่ออกมาจากรัฐบาลหรือแม้แต่ตัวรัฐบาล เองก็ตาม ความไม่เชื่อถือนี้น่าจะเป็นผล มาจากพฤติกรรมรัฐบาลที่อาศัย ชั้นเชิงข้อ กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้ามจนเกินขอบเขต ตลอดจนการโกหกบิดเบือนข่าวสารและข้อมูลข้อเท็จ จริงในเหตุการณ์เดือน พ.ค.53เหล่า นี้คือสิ่งสำคัญที่ย้อน มาทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลโดยไม่รู้ตัว

ภายหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค. รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก นายอภิสิทธิ์พยายามจะผลักดันแผนปรองดอง จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงขึ้นมา ควบคู่ไปกับการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ แต่ผ่านไป 2-3 สัปดาห์ภาพก็ยังเบลอๆ จับทิศทางการทำงานไม่ได้ เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงถึงความจริงใจในเบื้องต้นด้วยการยกเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉินเริ่มดังกระหึ่มไปทุกวงการ

ทั้งยังถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องง บประมาณ 600 ล้านบาท ที่รัฐบาลอนุมัติให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ เช่นเดียวกับคำถามเรื่องนโยบายประชานิยม น้ำประปา-ไฟฟ้า-รถเมล์ฟรีแบบถาวร ที่นายกฯอภิสิทธิ์เพิ่งออกมาประกาศถึงความเป็นไปได้เมื่อไม่กี่วันก่อน หรือการเดินหน้าแผนขึ้นเงินเดือน จัดโบนัสพิเศษเป็นของขวัญปีใหม่ให้ข้าราชการ

ซึ่งนอกจากเป็นการหวังผลระยะยาว ซึ่งหมายถึงการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งในสมัยหน้า ยังถูกมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมืองระยะสั้น คือการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 6 กทม. ที่พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ไม่ได้อีกด้วย นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธว่านโยบายดังกล่าวไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ แต่ในสายตานักวิชาการทีดีอาร์ไอ และนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปกลับมองว่านโยบายรัฐสวัสดิการฉบับ อภิสิทธิ์นี้ อาจสร้างภาระงบประมาณให้ประเทศยิ่งกว่าประชานิยมฉบับทักษิณด้วยซ้ำ กระแสการเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ 19 พ.ค. ชี้ว่ารัฐบาลกำลังสอบตกความน่าเชื่อถือ

คดีความเกี่ยวกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงล้วนแต่มีพิรุธข้อสงสัย ไม่ว่าคดีก่อการร้าย ล้มล้างสถาบัน หรือคดีก่อวินาศกรรมต่างๆ ตรงข้ามกับคดีความที่คนในซีกฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ถูกกล่าวหา ที่เป็นไปอย่างเนิบนาบเชื่องช้า เช่น คดียึดสนามบิน คดีสั่งฆ่าประชาชนเดือนพ.ค. คดียุบพรรค ฯลฯ

ความคับข้องใจเหล่านี้เมื่อบวก รวมกับพฤติกรรมการส่อทุจริ ตโครงการรายกระทรวง ซึ่งถูกเปิดโปงมากขึ้นทั้งจากฝ่ายค้านและคนในรัฐบาลที่จ้องเสียบสกัดกันเอง ในสถานการณ์ดังกล่าวถึงรัฐบาลจะ ฝืนยืนอยู่ต่อไปได้

แต่โอกาสที่ขาจะพันกันเองล้มทั้ง ยืนก็มีความเป็นไปได้พอกัน



ชกข้ามคุกสนุกแน่ๆครับพี่น้อง!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 265 วันที่ 26 มิถุนายน-2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8
คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน

“มันมีการทำร้ายประชาชน มีการยิงอาวุธใส่ประชาชน ไม่ได้เป็นไปตามที่ได้แถลงก่อนหน้านี้ว่าเป็นการใช้แก๊สน้ำตาเท่านั้น”

“เป็นคนหรือเปล่า กระทำกับบุคคลถึงขั้นเสียชีวิตแล้ว ยังยัดเยียดปรักปรำใส่ร้ายเขาอีกว่าเขาพกอาวุธ”

“การเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐแล้วรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

คำพูดทุกประโยคเป็นของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้าน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 หลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สลายการปิดล้อมรัฐสภาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 ราย

แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่แสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์มหาวิปโยคเดือนเมษายน และพฤษภาคมที่สั่งให้กองทัพใช้กำลังปราบปรามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน จนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย และยังคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน ซึ่งเป็นอำนาจที่ป้องกันการกระทำของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พร้อมกล่าวหาและกวาดล้างคนเสื้อแดงและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และล้มสถาบัน

ผู้นำอังกฤษขอโทษประชาชน

ตรงข้ามกับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งจบจากโรงเรียนอีตันและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเหมือนนายอภิสิทธิ์ ที่ได้ออกมาแถลงขอโทษและแสดงความรับผิดชอบการกระทำของรัฐบาลอังกฤษ กับความขัดแย้งในไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมีกลุ่มใต้ดินและกองกำลังปลดปล่อยไอร์แลนด์เหนือ (IRA) ที่ต่อสู้เพื่อแยกดินแดนและเรียกร้องความ ยุติธรรมตั้งแต่ปี 2514 ทำให้มีการจับกุมชาวไอริชกว่า 30,000 คน โดยรัฐบาลอังกฤษมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและระบุว่าทหารหน่วยปราบปรามจลาจล สลายการชุมนุมผิดหลักสากล ใช้อาวุธปราบปรามผู้ชุมนุมมือเปล่าโดยไม่ได้ส่งสัญญาณเตือน ทำให้ชาวไอริชที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลกลางของอังกฤษในวันที่ 30 มกราคม 2514 เสียชีวิต 13 ราย จนถูกเรียกว่า “วันอาทิตย์นองเลือด” ส่งผลให้ชาวไอริชจำนวนหนึ่งเข้าร่วมกับกลุ่ม IRA เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลอังกฤษ

การออกมาแถลงขอโทษของนายกรัฐมนตรีอังกฤษแสดง ให้เห็นภาวะผู้นำอย่างแท้จริง แม้ไม่ใช่การกระทำของรัฐบาลนายคาเมรอน แต่ก็ถือเป็นความผิดของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลอังกฤษได้เริ่มต้นแผนการปรองดอง “PeaceTalks” โดยเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มการเมือง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ปากปรองดอง แต่กระทำปองร้ายกับฝ่ายการเมืองตรงข้ามอย่างไม่หยุดหย่อนเหมือนนายกรัฐมนตรี บางประเทศ

ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง

“ผมสนใจการเมืองเมื่อครั้ง ที่มีอายุ 9-10 ขวบ ที่ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้เห็นคนนับหมื่นนับแสนออกมาชุมนุมกันตามท้องถนนและต่อสู้โดยยอมเอาชีวิต เข้าแลก คุณพ่อได้อธิบายว่าออกมาเรียกร้องสิทธิ ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเหมือนกัน จึงตัดสินใจตั้งแต่ครั้งนั้นว่าจะเป็นนักการเมือง…ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคย เปลี่ยนใจ”

นั่นคือคำพูดของนายอภิสิทธิ์ ที่ประกาศว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่วันนี้กลับไม่แสดงความรับผิดชอบหรือกล่าวขอโทษประชาชน ทั้งที่เป็นผู้สั่งให้ทหารปราบปรามคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย และยังพยายามใช้สื่อของรัฐและสื่อกระแสหลักโฆษณาชวนเชื่อและสร้างกระแสเพื่อ สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองและ ศอฉ. โดยโยนความผิดไปให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” และคนเสื้อแดงว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย

หลังการสังหารหมู่ไม่ถึงเดือน นายอภิสิทธิ์ก็กลับมาเดินสายปราศรัยและประกาศแผนการปรองดอง โดยพยายามตอก ย้ำความเสียหายทางเศรษฐกิจ การตรวจพื้นที่ศูนย์การค้าที่ถูกเผา แต่ไม่พูดถึงคนเสื้อแดงที่ถูกฆ่าและบาดเจ็บ แม้แต่การเลือกตั้งซ่อมที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินค้ำคอการหาเสียงก็อ้างว่าไม่กระทบกับบรรยากาศการเลือกตั้ง ทั้งที่รัฐบาลและ ศอฉ. มีอำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กล่าวหาและจับกุมฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลา ซึ่งไม่ต่างกับการเมืองเผด็จการในพม่า สะท้อนถึงใจที่คับแคบของนายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ที่ตรงข้ามกับแผนปรองดองอย่างชัดเจน

ขณะที่องค์กรภาคประชาชน สื่อ และองค์กรสื่อ ต่างก็ปิดตา ปิดปากตัวเอง ไม่ค้นหาข้อเท็จจริงหรือเสนอข้อมูลข่าวสารการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะการเสียชีวิตของเด็กอายุแค่ 12 ปี ที่ถูกสไนเปอร์ยิงที่ศีรษะ หรือหญิงสาวที่มาชุมนุมที่ถูกทหารข่มขืน ซึ่งมีหลักฐานการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลกลางอย่างชัดเจนว่าถูกข่มขืน รวมถึงการบันทึกประจำวันแจ้งความไว้ที่ สน. ปทุมวัน หรือการสังหารโหด 6 ศพที่วัดปทุมฯที่กำลังจะถูกลืมหายไป ขณะที่หลักฐานต่างๆที่จะพิสูจน์การสังหารโหดก็สูญหายหรือถูกทำลายไปมากมาย เช่น กระสุนในตัวน้องเกด อาสาหน่วยกู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บในวัดปทุมฯ

ล่าสุดฮิวแมนไรท์วอตทช์ออกมาประณามการล่ามโซ่ 2 นปช. ที่บาดเจ็บที่ข้อเท้าไว้กับเตียงคนไข้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิผู้บาดเจ็บชัดเจน ขัดกับมาตรฐานสากล ทั้งที่ควรควบคุมในห้องพิเศษแทนการล่ามโซ่ตีตรวน ซึ่งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ก็ประณามว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งยังมีญาติ นปช. อีกหลายคนที่ร้องเรียนว่าถูกล่ามโซ่ในโรงพยาบาล และมีอีกหลายคนถูกยิงบาดเจ็บจนเป็นอัมพาตจากกระสุนที่ยืนยันว่ายิงมาจากฝั่งทหารเข้าใส่ประชาชนมือเปล่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายนิค นอสติทซ์ ผู้สื่อข่าวอิสระชาวเยอรมัน ซึ่งทำข่าวบริเวณถนนราชปรารภ ได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์ new mandala ยืนยันว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม เวลาประมาณ 16.00 น. ทหารใช้ปืนยิงใส่คนเสื้อแดง 300-400 คนที่กำลังขนยางรถยนต์เพื่อไปตั้งเป็นบังเกอร์กลางถนน โดยไม่ใช้กระสุนยางหรือแก๊สน้ำตาก่อน โดยเห็นกับตาตัวเองว่ามีคนเสื้อแดงอย่างน้อย 3 คนถูกยิงล้มลงบนถนน และคนเหล่านั้นไม่มีอาวุธนอกจากหนังสติ๊ก ซึ่งต่อมาทหารเริ่มตั้งแถวเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามา ทำให้ทั้ง คนเสื้อแดงและนักข่าวต้องหลบอยู่หลังห้องน้ำด้านหลังปั๊มน้ำมัน และปีนข้ามกำแพงหนีไปยังบ้านที่อยู่หลังปั๊ม ทั้งยังได้ยินเสียงทหารตะโกนและได้ยินเสียงปืนรัวดังเป็นชุด ปลอกกระสุนกระเด็นข้ามรั้วเข้ามา และได้ยินเสียงคนร้องขอชีวิต

ตอแหลได้ต้องตอแหล!

โดยเฉพาะในเวทีโลก นายอภิสิทธิ์และกระทรวงการต่างประเทศพยายามสร้างภาพและอ้างความชอบธรรมจากกรณี ตัวแทนของไทยได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council : UNHRC) ซึ่งรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ก็ฉวยโอกาสอ้างว่า ประชาคมโลกเข้าใจการกระทำของรัฐบาลไทยในเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม ไม่เช่นนั้นคงไม่เลือกไทยเป็นประธาน

ทั้งที่รัฐบาลไทยพยายามวิ่งเต้นกับนานาชาติโดยเฉพาะสหรัฐและจีน เพื่อให้การสนับสนุน โดยข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องของโควตาที่ให้ประเทศต่างๆผลัดกันเข้าเป็นสมาชิก เพราะกรรมการสมัยแรกไม่มีประเทศไทย แต่ประเทศที่ได้รับเลือกมีทั้งจีน ปากีสถาน ซูดาน และซาอุดีอาระเบีย ที่มีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะจีนมีเหตุการณ์เทียนอันเหมินที่รถถังไล่ขยี้นักศึกษาเสียชีวิตนับพัน หรือซูดานที่มีการฆ่าล้างและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ซึ่ง “นิวยอร์กไทม์ส” ได้วิจารณ์สหประชาชาติอย่างรุนแรงว่าน่าละอายที่ใช้การแบ่งปันและผลัดกัน เข้าเป็นกรรมการมากกว่าการพิจารณาจากข้อมูลการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง

ประชาธิปไตยแบบ “มาร์ค”

การไม่เคารพหรือละเมิด “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ซึ่งตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษ “Human Dignity” และนำมาซึ่งการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน (Human Rights) นั้นระบุไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ รัฐธรรมนูญปี 2550 ว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย

แต่ประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และอำนาจครอบจักรวาลของ ศอฉ. ขณะนี้กลับไม่ต่างกับรัฐบาลเผด็จการ เพราะแม้แต่การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 กรุงเทพมหานคร แทนนายทิวา เงินยวง ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงแก่กรรม นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ก็ยืนยันที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป ทั้งที่มีข้อห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ซึ่งแม้รัฐบาลจะมีการผ่อนปรน แต่ก็สะท้อนชัดเจนว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ ขณะที่คนตาบอด คนพิการที่ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในการประกอบอาชีพ กลับถูกจับกุมเพราะฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่มีปัญหาหรืออุปสรรคกับการเลือกตั้งหรือไม่ แต่เป็นการใช้อำนาจที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย เพราะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง ขณะที่รัฐบาลก็ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อความมั่นคงของรัฐบาล มากกว่าความมั่นคงของบ้านเมือง

ที่เห็นชัดเจนก็คือการระงับธุรกรรมการเงินของผู้สนับสนุนคนเสื้อแดง โดยรู้ดีว่าหากไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็จะไม่สามารถทำการขู่เข็ญเยี่ยงที่ทำอยู่ได้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็นอำนาจครอบจักรวาลที่จำกัดสิทธิเสรีภาพอย่างร้ายแรง

ส่ง “ก่อแก้ว” ชกข้ามคุก!

ที่น่าสนใจคือการที่พรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่งนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. ที่ขณะนี้ถูกคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม แทนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ที่อาจมีปัญหาคุณสมบัติ ลงแข่งขันเลือกตั้งซ่อมในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่งเท่ากับพรรคเพื่อไทยไม่ใช่แค่ต้องการชัยชนะในการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังต้องการให้เป็นเวทีของคนเสื้อแดงที่จะประกาศกับคนไทยและประชาคม ถึงความอำมหิตที่นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ปราบปรามคนเสื้อแดง ซึ่งในสายตาของประชาคมโลกถือว่านายก่อแก้วและแกนนำ นปช. ที่ถูกจับกุมเป็นนักโทษการเมือง ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

เพราะหากพรรคเพื่อไทยเลือกบอยคอตหรือส่งชื่อคนอื่นที่อยู่นอกการถูกคุมขัง แล้วไม่ส่งนายก่อแก้วหรือนายณัฐวุฒิก็อาจถูกประณามจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและ มวลชนเสื้อแดงว่าเล่นการเมืองไม่เป็น ตีโง่ซ้ำซาก สู้เกมการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ สถานการณ์ในขณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องการมองผลแพ้ชนะ แต่ต้องการให้ประชาชนและประชาคมโลกเห็นความไม่ชอบธรรมของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ ที่ขณะนี้ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต่างพยายามใช้ความได้เปรียบ เพื่อหาเสียงและสร้างความชอบธรรมเพื่อฟอกตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม ทั้งขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ลดภาษี ลดดอกเบี้ยเงินกู้ แจกเงิน แจกของ และสร้างสาธารณูปโภคให้แบบปูพรมในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการพาคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและ อบจ. 75 จังหวัดไปทัวร์หรูต่างประเทศถึง 6 ชุด ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการจ่ายมัดจำซื้อเสียงล่วงหน้า

สงครามประชาธิปไตย

การต่อสู้ทางการเมืองของคนเสื้อแดงและประชาชนที่รักประชาธิปไตยในขณะนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการปฏิรูปประเทศโดยประชาชน ไม่ใช่โดยรัฐบาลที่ส่งร่างทรงเข้ามา เพราะไม่ว่านายอานันท์ ปันยารชุน หรือ นพ.ประเวศ วะสี ก็วิตกเช่นกันที่จะกลายเป็นเครื่องฟอกอากาศให้นายอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะข้อหา “ฆาตกร 100 ศพ” จึงพยายามย้ำว่าการรับอาสาร่วมปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องของภาคสังคม ภาคประชาชน และภาควิชาการ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม ไม่เกี่ยวกับเรื่องความปรองดอง ส่วนจะรับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ไปปฏิบัติหรือไม่ก็อยู่ที่รัฐบาล

ประชาชนจึงต้องไม่โง่ซ้ำซากให้รัฐบาลมือเปื้อนเลือดกลบเกลื่อนหรือมอมเมา ด้วยนโยบายต่างๆ เพราะตราบใดก็ตามที่ยังมีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เท่ากับนายอภิสิทธิ์ไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองอย่างที่ประกาศ เพราะรัฐบาลยังใช้อำนาจเผด็จการกดหัวและกดขี่ประชาชนต่อไป เหมือนการกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้ายและการควบคุมธุรกรรมทางการเงินฝั่งตรงข้าม

แผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์จึงทำได้แค่การตีปี๊บผ่านสื่อรัฐและสื่อกระแสหลัก ที่จำยอมเป็นวัวควายให้รัฐบาล เช่นเดียวกับองค์กรอิสระที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับอำนาจและผลประโยชน์ของ ตนเองและพวกพ้อง โดยท่องคาถา “รักชาติ รักสถาบัน” ซึ่งเป็นวาทกรรมตอแหลเดิมๆ

ส.ส. จากคุกคนแรก

กรณีที่พรรคเพื่อไทยมีมติส่งนายก่อแก้วลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 จึงใกล้เคียงกับกรณีโรเบิร์ต เจอราร์ด แซนด์ส “บ็อบบี้ แซนด์ส” ส.ส.นักโทษของกลุ่มไออาร์เอ ที่ถูกจับกุมข้อหาร่วมกับเพื่อนอีก 5 คนบุกสำนักงานตำรวจไอร์แลนด์เหนือ และถูกตัดสินจำคุก 14 ปี แต่เขาได้สร้างชื่อไปทั่วโลกเมื่อประกาศอดอาหารประท้วงเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1981 เรียกร้องให้ทางการอังกฤษให้สถานะ “นักโทษการเมือง” กับผู้ต้องขังที่เป็นไออาร์เอ

ในขณะที่ไม่กี่วันหลังจากนั้น แฟรงค์ แม็กไกวร์ ส.ส.เขตเฟอร์มานาฟและเซาธ์ ไทโรน ซึ่งนิยมการแยกตัวของไอร์แลนด์เหนือ ได้เสียชีวิตกะทันหัน ทำให้ “บ็อบบี้ แซนด์ส” ถูกส่งลงแข่งขันในฐานะตัวแทนพรรคซินเฟน (ฟากการเมืองของไออาร์เอ) ปรากฏว่า “บ็อบบี้ แซนด์ส” ชนะและได้รับการเลือกตั้งอย่างเฉียดฉิวเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1981 และได้เป็น ส.ส. อายุน้อยที่สุด (อายุเพียง 27 ปี) แต่เขาดำรงตำแหน่งได้ไม่ถึง 1 เดือนก็เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม หลังอดอาหารประท้วงในเรือนจำได้เพียง 2 เดือน

ความสำเร็จของ “บ็อบบี้ แซนด์ส” ในครั้งนั้นทำให้รัฐ บาลอังกฤษต้องเสนอ พ.ร.บ.ว่าด้วยตัวแทนแห่งปวงชน 1981 บัญญัติห้ามไม่ให้ผู้ต้องโทษจำคุกเกินกว่า 1 ปีทั้งในและนอกราชอาณาจักรลงสมัคร ส.ส. อีกต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

การลงมติของพรรคเพื่อไทยให้ส่ง “นายก่อแก้ว พิกุลทอง” หนึ่งในแกนนำ นปช. ลงเลือกตั้งซ่อมในเขต 6 กทม. เพื่อชิงเก้าอี้ ส.ส. ที่ว่างลงจากการเสียชีวิตของนายทิวา เงินยวง จึงเป็นอีกเกมการเมืองที่น่าจับตามอง

แม้ว่าในครั้งแรกมีการคาดการณ์ว่าจะส่งนายณัฐวุฒิ หนึ่งในสามเกลอลงสมัคร แต่การเปลี่ยนตัวเป็นนายก่อแก้วก็มิได้ทำให้เกมเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ในทางตรงข้ามอาจเป็นข้อดี เพราะสงครามครั้งนี้ไม่ใช่ต้องการผลแพ้ชนะเป็นหลักชัย แต่เป็น “สงครามข่าวสาร” ที่ทั้งโลกต้องจับตามอง อีกทั้งโอกาสที่นายก่อแก้วจะได้ประกันตัวชั่วคราวมีมากกว่านายณัฐวุฒิ โดยคาดหวังว่าจะไม่สะดุดหยุดอยู่แค่ธรณีประตูศาล

“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” กับฉายา “ชกข้ามรุ่น” จึงต้องช่วยลุ้น “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ให้สร้างตำนาน “ชกข้ามคุก” ชนะเลือกตั้งซ่อม ได้เป็น ส.ส. คนแรกของประเทศไทย

ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของคนเสื้อแดงเขต 6 กทม.

สงครามครั้งนี้จึงห้ามกะพริบตา!!