เปลี่ยนคู่ต่อสู้

สงสัยกันไปทั่วว่า ทุกวันนี้นายกฯ อภิสิทธิ์ และรองนายกฯ เทพเทือก ตอบโต้คดี 91 ศพด้วยการปลุกกระแส “เผาบ้านเผาเมือง” อยู่ทุกวี่ทุกวัน ร่ายยาวในเฟซบุ๊กอีกต่างหาก

แต่กระแสก็ไม่ขึ้น

ความหวังที่จะปลุกให้คนกรุงเทพฯ รำลึกถึงภาพอาคารศูนย์การค้าถูกเผาไหม้ เพื่อหวาดกลัวเสื้อแดงและเพื่อไทย

ทำมาตั้งนานไม่เห็นจะได้ผล

แล้วทำไมจึงคิดว่า การเปิดเวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์แค่วันเดียว จะพลิกกระแสได้!

พูดทุกวัน สัมภาษณ์ทุกวัน เฟซบุ๊กก็เอา กลายเป็นมุขแป๊ก แล้วการปราศรัยไม่กี่ชั่วโมง จะทำอะไรได้

จึงนำมาสู่ข้อสงสัยว่า มีใครคิดอะไรซ่อนเร้นกับพื้นที่ราชประสงค์หรือไม่!?

นักวิเคราะห์การเมือง เขากาปฏิทินเอาไว้ 2 วัน

วันที่ 21 มิ.ย. บรรดา 4 เสือกกต.ที่จู่ๆ ขยันไปดูงานต่างประเทศ จะกลับตามกำหนดหรือไม่

เพราะจากนั้นอีก 4-5 วัน ต้องจัดเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว

วันที่ 23 มิ.ย. การเปิดปราศรัยใหญ่ที่แยกราชประสงค์ จะนำไปสู่สถานการณ์อะไรหรือไม่

ไม่ว่ามองมุมไหน ไม่เห็นว่าการปราศรัยราชประสงค์นั้น จะหวังผลเรื่อง “เนื้อหา” ได้

ในเมื่อเนื้อหานั้น พร่ำพูดอยู่ทุกวันแล้ว แต่ไม่ได้ผล หรือต้องการอะไรอยู่ลึกๆ เห็นจะต้องติดตามกันต่อไป

จึงนับเป็น 2 วัน ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษในช่วงโค้งสุดท้าย

มีนักวิชาการจำนวนมาก แสดงความเห็นต่อยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในช่วงสุดท้ายของประชาธิปปัตย์ ที่เล่นแต่เรื่องเผาบ้านเผาเมืองลูกเดียวว่า ไม่ใช่การเมืองที่สร้างสรรค์อย่างชัดแจ้ง

การประกาศตัวจะเข้ามาบริหารบ้านเมือง ต้องชูเน้นนโยบาย มาตรการแก้ไขทุกด้าน แต่นี่ทุ่มเทแตกหักกับสงครามเสื้อแดง

อาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่บอกว่า นี่เท่ากับเป็นการลดระดับนายกฯอภิสิทธิ์

คือ ลดจากที่สู้กับยิ่งลักษณ์เพื่อชิงตำแหน่งนายกฯ กลับลงมาสู้กับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แทน

เป็นมุมมองที่ต้องยกนิ้วให้ แต่พูดกันตรงๆ สู้เรื่อง 91 ศพกับณัฐวุฒินั้นก็ลำบาก

นายกฯ อยากไปพูดที่ราชประสงค์ ทั้งที่ตอนเกิดเหตุอยู่ในราบ 11 ขณะที่ณัฐวุฒิเขากินนอนอยู่ตรงนี้จริงๆ!!

แล้วที่นายกฯอ้างอิงการรักษาบ้านเมืองเอาไว้ให้ได้นั้น มีคำตอบที่ดีกว่าจากณัฐวุฒิ

“ไม่มีผู้ปกครองคนใดจะรักษากฎหมายด้วยการทำลายชีวิตประชาชน”

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ 21 มิถุนายน 2554
คอลัมน์ : ชกไม่มีมุม
โดย : วงค์ ตาวัน


ณัฐวุฒิถึงอภิสิทธิ์ 2 : จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้

“ประหลาดใจมากกับเรื่องคนทำบั้งไฟที่ถูกไอ้โม่งชุดดำยิงตายแล้วเผาหน้าวัดปทุมฯ คุณเก็บเรื่องนี้ไว้กว่า 1 ปีได้อย่างไร ไม่มีใครเคยได้ยินทั้งอภิปรายในสภาหรือที่อื่น เรื่องใหญ่มากนะครับ คนถูกยิงเป็นใคร พยานชื่ออะไรขอดูหน้าหน่อยได้ไหม เชื่อจริงๆ หรือว่ามีการเผากันหน้าวัดปทุมฯ โดยไม่มีใครรู้เห็น เผาศพใช้เวลานานมากเถ้าถ่านก็ต้องมี ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้เลย สงสารประชาชนบ้างเถอะครับ”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มาตามสัญญา โต้ข้อความที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีความตาย 91 ศพในเฟซบุ๊ก ถามอภิสิทธิ์ “คนเป็นนายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ คำว่าเสียใจคำว่าขอโทษก็ไม่ต้องมีให้ประชาชนและร่างไร้วิญญาณเหล่านี้เลยใช่ไหม”

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตอบโต้ข้อความที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขียนลงโน้ตในเฟซบุ๊กเป็นตอนที่ 4 โดยณัฐวุฒิโพสต์ลงหน้าวอลล์ของตนเองว่า “คุณอภิสิทธิ์เขียนบันทึกมาแล้วผมขอร่วมเขียนด้วยตามที่ได้บอกไว้ครับ” หลังจากนั้นจึงโพสต์ข้อความติดต่อกันผ่านไอแพด ระหว่างรอการปราศรัย

1. การอ้างเหตุว่ามีการยิงเอ็ม 79 ตามที่ต่างๆทำให้ถูกกดดันให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเลื่อนลอยน่าใจหาย ในเมื่อรัฐบาลหาตัวคนทำความผิดไม่ได้จะมีความชอบธรรมอะไรจัดการประชาชนผู้บริสุทธิ์ คุณอภิสิทธิ์พยายามบอกว่าตัวเองถูกกดดันจากประชาชนให้ใช้ความเด็ดขาดตลอด เวลาผมไม่เข้าใจว่าระหว่างกดดันให้ยุบสภาเพราะคุณมาด้วยอำนาจพิเศษกับกดดัน ให้สลายการชุมนุมซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายทำไมเลือกใช้ความรุนแรงครับ

2. เรื่องรพ.จุฬาฯ เป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้าของเพื่อนเราบางคนเพราะเชื่อว่ามีกำลังทหารอยู่ใน นั้น หลังเกิดเหตุเราแถลงยอมรับความผิดพลาดพร้อมทั้งขออภัยทางรพ. รวมทั้งเปิดพื้นที่ชุมนุมบางส่วนทั้งที่ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยเพราะความ ชัดเจนเรื่องกำลังทหารยังไม่มี มีการย้ายผู้ป่วยบางส่วนออกจากรพ.ก่อนหน้านี้เหลือบางรายที่ย้ายหลังการเข้าไปตรวจสอบโดยผู้ชุมนุม แม้เป็นเรื่องไม่ควรเกิดแต่ก็ไม่ควรเป็นข้ออ้างของการสังหารหมู่ประชาชนครับ

3. ข้อเสนอวันเลือกตั้งได้รับการตอบรับตั้งแต่ต้นแต่ประเด็นที่เรายังยอมรับไม่ได้คือไม่มีการพูดถึงความรับผิดชอบต่อความตายของประชาชน ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ มาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเลยเพราะ แกนนำได้ประกาศมติหลังเหตุการณ์ 10 เม.ย.แล้วว่าไม่ยอมรับการนิรโทษกรรม ตัวเองถูกแจ้งข้อหาก่อการร้ายเรายังปฏิเสธนิรโทษกรรมแล้วเรายังจะไปคิด เรื่องพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างไร

4. ข้อเรียกร้องคือให้นายสุเทพเข้ามอบตัวในคดีสั่งสลายการชุมนุมจนมีคนตายเกือบ 30 ชีวิตเพื่อไม่เป็นเยี่ยงอย่างให้ผู้มีอำนาจคนใดใช้กำลังกับประชาชนโดยไม่ ต้องรับผิดชอบอีก แต่นายสุเทพกลับทำเพียงแค่ไปปรากฏตัวที่ DSI ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในคดีอาญา จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครในรัฐบาล ถูกดำเนินคดีหรือแสดงความรับผิดชอบใดๆ สิ่งที่รัฐบาลทำคือสรุปว่าคนเสื้อแดงไม่ยอมรับการเจรจาแล้วก็สั่งกำลังทหารเข้ามาจนยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 91 ศพ

5. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าพยายามเจรจา แล้วทำไมจึงปฏิเสธกลุ่ม สว.ที่มาพบพวกผมหลังเวทีในวันที่ 18 พ.ค. ทั้งที่พล.อ.เลิศรัตน์และคณะยืนยันว่าคุณรับรู้ทุกขั้นตอน เราแถลงข่าวร่วมกันว่าวันที่ 19 เป็นวันเจรจา ผมบอกคณะ สว.ด้วยว่าเราพร้อมยุติการชุมนุมทันที คุณอภิสิทธิ์ก็ทราบเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเปลี่ยนวันเจรจาเป็นวันสังหาร เพราะเตรียมการมาตลอดใช่ไหม บอกสว.ให้มาคุยกับเราจนทุกฝ่ายสบายใจแล้วค่อยลงมือ วิธีการนี้ไม่อำมหิตกับประชาชนไปหน่อยหรือ

6. การบอกว่าความตาย 14-18 พ.ค.เพราะการปะทะระหว่างกองกำลังชุดดำกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องอธิบายว่าทำไมคนที่ตายไม่มีอาวุธในมือแม้แต่คนเดียว พลุไฟตะไลของเล่นที่บางคนถือเรียกว่าอาวุธไหม ศพไหนที่เป็นผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ยิงโดนใครบ้างหรือไม่มีเลย และถามจริงๆว่าคนเป็นนายกฯไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ คำว่าเสียใจคำว่าขอโทษก็ไม่ต้องมีให้ประชาชนและร่างไร้วิญญาณเหล่านี้เลยใช่ไหม

7. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย แล้วกฎหมายข้อไหนอนุญาตให้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน มาตราใดให้อำนาจประกาศเขตกระสุนจริง หลักสากลที่ไหนให้เอาสไนเปอร์มาใช้กับการชุมนุม กระสุน 2 พันกว่านัดที่ใช้ไปทำไมใกล้เคียงกับยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากต้องรับผิดชอบกับ 91 ศพที่กรุงเทพฯ แล้ว ยังต้องรวมถึงทุกชีวิตในกลุ่มอาหรับที่ตายเพราะสไนเปอร์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วย คุณคือผู้นำคนแรกของโลกที่ใช้วิธีนี้กับประชาชน

8. ประหลาดใจมากกับเรื่องคนทำบั้งไฟที่ถูกไอ้โม่งชุดดำยิงตายแล้วเผาหน้าวัดปทุมฯ คุณเก็บเรื่องนี้ไว้กว่า 1 ปีได้อย่างไร ไม่มีใครเคยได้ยินทั้งอภิปรายในสภาหรือที่อื่น เรื่องใหญ่มากนะครับ คนถูกยิงเป็นใคร พยานชื่ออะไรขอดูหน้าหน่อยได้ไหม เชื่อจริงๆ หรือว่ามีการเผากันหน้าวัดปทุมฯ โดยไม่มีใครรู้เห็น เผาศพใช้เวลานานมากเถ้าถ่านก็ต้องมี ผมไม่เชื่อเรื่องนี้ จะฆ่าก็ฆ่า ขังก็ขังแต่อย่าโกหกกันขนาดนี้เลย สงสารประชาชนบ้างเถอะครับ

9. 6 ศพในวัดปทุมฯผมฟันธงได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐยิง อย่าถามว่ามีเหตุผลอะไรจะยิงทั้งที่การชุมนุมยุติแล้ว เพราะถึงยังไม่ยุติก็ไม่มีเหตุผลใดๆให้ยิงประชาชนมือเปล่า จะอ้างกองกำลังที่ไหนในเมื่อคนบนรางรถไฟฟ้าก็ยอมรับว่ายิงลงมาหัวกระสุนสี เขียวก็อยู่เต็มตัวคนตาย คุณรักครอบครัวมากทุกคนรู้ พี่น้องผมถึงจะจนต่ำต้อยแต่ความเป็นคนก็เท่าคุณ พวกเขาอยากรู้ว่าคนที่เขารักตายยังไงต่างกับคุณที่คิดเพียงว่าจะอยู่อย่างไร ต่างกันมากเหลือเกิน

10. หลายตอนในบทความเน้นย้ำแต่เรื่องผู้สนับสนุนเรื่องคะแนนเสียง นักการเมืองที่แสดงตัวว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่คิดได้แค่นี้หรือ การยกข้อความสนับสนุนมาบอกว่าเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจคิดไหมว่าคนที่สูญเสียจะรู้สึกอย่างไร พร่ำพูดแต่ตึกถูกเผาส่วนคนที่ตายไม่สนใจ ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ยืนยันว่าเราไม่ได้ทำ ไม่ได้วางแผนสั่งการให้ใครเผาห้างให้ช่อง 11 เชิญฝ่ายผจญเพลิงของเซ็นทรัลเวิลด์ไปพูดความจริงบ้างไหม กล้าหรือเปล่า

11. อย่าอ้างบุญคุณกับบางคนที่ได้ประกันตัวออกมา เพราะพวกเขาไม่ได้ทำความผิดไม่ควรถูกขังตั้งแต่ต้น ให้คนโทรไปตามมาพบที่ทำเนียบสั่งให้เขียนจดหมายมาขอบคุณตัวเอง นี่หรือทำเพื่อประชาชน หลายคนชีวิตยับเยินแม่ตายไม่ได้ดูใจ ลูกเมียถูกไล่จากบ้านเช่า ลูกสาวถูกข่มขืน ป่วยต้องหามส่งรพ.จากเรือนจำ ถ้าคนเหล่านี้ได้ออกจากคุกต้องเขียนจดหมายขอบคุณท่านนายกฯไหมครับ แล้วคนที่ถูกขังเพราะโดนขู่ให้สารภาพ ติดคุกเกือบปีแล้วศาลยกฟ้องต้องขอบคุณไหม

12. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าเปื้อนโคลนจากทุกสี สถานการณ์แบบนี้ใครไม่เปื้อนโคลนก็แปลกแล้ว ปัญหาคือคุณไม่ได้เปื้อนโคลนแต่เปื้อนเลือดประชาชน เป็นนายกฯที่มีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศ ไม่มีใครมองข้ามความตายของเพื่อนร่วมชาติได้ง่ายอย่างที่คุณทำหรอก พวกเขาจึงอยากรู้ว่าเกือบร้อยชีวิตตายยังไง ถ้าไม่พบความจริงคำถามนี้จะติดตามคุณไปชั่วชีวิต เป็นลมหายใจแห่งความตายที่ยังรอความยุติธรรมตลอดไป

13. ผมรู้ว่าคุณเขียนบทความนี้เพราะต้องการคะแนนเสียง แต่ผมเพียงต้องการพูดความจริง ไม่มีผู้รักษากฎหมายที่ไหนจะนิ่งดูเขาฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แล้วไปรับผลประโยชน์จากอำนาจนั้น ไม่มีผู้ปกครองคนใดจะรักษากฎหมายด้วยการทำลายชีวิตประชาชนแต่คุณก็ทำ ผมเลือกข้างประชาชน

ประชนจงเจริญ

ที่มา : ประชาไท


เฟซบุ๊คร้อนฉ่าณัฐวุฒิดวลเดือดมาร์ค 91 ศพ

อภิสิทธิ์: คืนวันนั้นจนถึงวันรุ่งขึ้นเป็นคืนที่ผมไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว เป็นวันที่ผมสลดใจมากที่สุดในช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี

ณัฐวุฒิ: ผมเป็นแกนนำคนเสื้อแดง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ขณะนี้ผมเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายถ้าผิดจริงโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ผมยินดีต่อสู้คดีโดยไม่มีเงื่อนไข คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯคิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหม

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้เขียนข้อความในเฟซบุ๊คของเขาเพื่อตอบโต้การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองกรณีการชุมนุมและสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงลงในเฟซบุ๊คของนายอภิสิทธิ์ก่อนหน้านี้

1. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าความรุนแรงเริ่มตั้งแต่ปี2552ที่มีการล้มประชุมอาเซียน โดยจงใจไม่กล่าวถึงกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินที่มาดักทำร้ายคนเสื้อแดง ระหว่างทางกลับจากการยื่นหนังสือรอบแรก คนพวกนั้นเป็นชายฉกรรจ์ผมสั้นเกรียนมีทั้งปืน มืด และไม้เป็นอาวุธมีคนบาดเจ็บหลายรายและปรากฏข้อมูลว่ากลุ่มคนดังกล่าวบัญชาการโดยผู้มีอิทธิพลในพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งปรากฎตัวพร้อมนายสุเทพในคืนก่อนเกิดเหตุ ความรุนแรงเริ่มต้นตรงนี้ครับ

2. สรุปเหตุการณ์ว่าชาวบ้านนางเลิ้ง2คนเสียชีวิตเพราะตกเป็นเหยื่อของการชุมนุม ถามว่าผ่านมากว่า2ปีคดีนี้คืบหน้าไปถึงไหน ได้ตัวคนทำความผิดหรือยัง ถ้ายังคุณอภิสิทธิ์สรุปได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการชุมนุม ทำไมไม่พูดความจริงด้วยว่ามีคนเสื้อแดง2คนกลายเป็นศพถูกมัดมือไพล่หลังลอยนำ้เจ้าพระยา คดีนี้ผลการสืบสวนเป็นอย่างไร

3. มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความจริงเรื่องนี้แต่เหตุใดจึงไม่รายงานผลต่อประชาชน คุณอภิสิทธิ์จงใจปกปิดความจริงอยู่ใช่หรือไม่ ผมเชื่อว่าถ้ามีการเปิดเผยความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดปี2552น่าจะมีส่วนช่วยอย่างสำคัญที่จะป้องกันเหตุสูญเสียครั้งใหญ่ในปีต่อมา แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่ยอมพูดความจริงแล้วจะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

4. การบอกว่าเหตุการณ์ปี 2553 เริ่มจากการตัดสินยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงว่าคุณอภิสิทธิ์ยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับการวาดภาพปีศาจใส่ฝ่ายตรงข้าม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ผมยืนยันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่การขับไล่รัฐบาลทักษิณจนถึงคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องเดียวกัน การยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีผลใดๆเลยต่อการต่อสู้ในปี2553การทำลายประชาธิปไตยและระบบยุติธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหากเป็นสาเหตุที่แท้จริง

5. การเทียบเคียงคดีซุกหุ้นกับคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณเพื่ออธิบายว่าถ้าตัดสินได้ประโยชน์พอใจถ้าไม่ก็คือสองมาตรฐานเป็นตรรกะหน้าไม่อาย เพราะคดีซุกหุ้นเริ่มก่อนพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯมีกระบวนการตามระบบปกติจนถึงวันตัดสิน แต่คดียึดทรัพย์เกิดหลังรัฐประหารโดยตั้งต้นจากคตส.ซึ่งรวมเอาคนเกลียดทักษิณมาเป็นกรรมการ คุณอภิสิทธิ์แยกแยะคำว่าเผด็จการกับประชาธิปไตยเป็นไหมครับ

6. การอ้างว่าพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในปี2553เป็นคำพูดเอาแต่ได้ เพราะข้อเรียกร้องของประชาชนคือการยุบสภาซึ่งคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมจะดำรงตำแหน่งนายกฯตั้งแต่ต้นคำยืนยันของคุณชุมพล ศิลปอาชาเรื่องพลังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือใบเสร็จเรื่องนี้ การอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ปัญหาวันนี้ก็ชัดแล้วว่าทุกปัญหาร้ายแรงกว่าเก่า ยอมรับเถิดว่าการฆ่าไม่สามารถทำให้ชนะได้

7. ผมยืนยันว่านปช.ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ถ้าคุณอภิสิทธิ์บอกว่ามีผมอยากเห็นหน้าคนพวกนี้ว่าเป็นใคร ใช่คนที่ถูกยิงตายมือเปล่ากลางถนนไหมหรือรัฐบาลจับเอาไปขังไว้ที่ไหน การที่คนเสื้อแดงไม่เรียกร้องให้ยุบสภาอีกหลังเหตุการณ์เพราะเขารู้แล้วว่าไร้ประโยชน์ คุณอภิสิทธิ์ยึดติดกับอำนาจยิ่งกว่าชีวิตประชาชนจะเรียกร้องอย่่างไรก็คงไม่เป็นผล และที่สำคัญคือประชาชนยังไม่อยากตายครับ

8. เหตุการณ์ 10เม.ย. ไม่ใช่การสลายการชุมนุมตามหลักสากล มีที่ไหนบ้างใช้เฮลิคอปเตอร์โยนแก๊สน้ำตาลงกลางเวทีที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่จำนวนมาก มีคนถูกยิงตายรายแรกราว16.00-17.00น.ข่าวช่องTPBS เขาสัมภาษณ์หมอคนหนึ่งซึ่งบอกมาตามนั้น ไม่ใช่การขอคืนพื้นที่แต่เป็นการปราบปรามประชาชนข่าวรายงานว่านายทหารใหญ่ให้สัมภาษณ์ว่าต้องให้จบในคืนนั้นไม่มีตรงไหนอธิบายว่าคุณอภิสิทธิ์พยายามยุติปฏิบัติการ

9. จนเหตุการณ์บานปลายเอาไม่อยู่จึงมีการเจรจาระหว่างผมกับคุณกอร์ปศักดิ์ ซึ่งเราพร้อมจะให้ความร่วมมือในการยุติความรุนแรงในทันที มีคนตายทั้งทหารและประชาชน 20 กว่าชีวิตผมเสียใจกับทุกครอบครัว ปัญหาคือเราบอกได้ว่า คนตายคนไหนเป็นทหาร แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าใครคือชายชุดดำ ใครคือผู้ก่อการร้าย เพราะทุกคนที่ตายไม่มีอาวุธ และมีหลักแหล่งครอบครัวชัดเจนทุกคนมีญาติพี่น้องมาร่ำไห้ที่เวที จนถึงวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายจากรัฐบาล

10. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นและในคืนนั้นไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่นาทีเดียว แล้วรู้ไหมครับว่าทุกชีวิตที่ตายไม่มีใครตาหลับเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจว่าทำไมต้องตาย ไม่รู้ด้วยซำ้ว่ากระสุนสไนเปอร์เหล่านั้นมาจากทางทิศไหนและตายไปแล้วดวงวิญญาณก็ยังมองไม่เห็นความยุติธรรมจะปรากฏแต่อย่างใด หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกวันที่นอนหลับคุณอภิสิทธิ์ฝันเห็นพี่น้องผมที่ตายบ้างไหมครับ

11. ผมเป็นแกนนำคนเสื้อแดง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ขณะนี้ผมเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายถ้าผิดจริงโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ผมยินดีต่อสู้คดีโดยไม่มีเงื่อนไข คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คิดว่าต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างไหม มีทหารออกมาอาวุธครบมือแล้วประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองหลวงเกือบ 100 ศพคุณอภิสิทธิ์ทำได้แค่อยู่ต่ออีกเกือบปีแล้วยุบสภามาชวนประชาชนเดินหน้าต่อไปเท่านั้นหรือ

12. คุณอภิสิทธิ์ปฏิเสธตลอดมาว่าไม่ได้ทำไม่รู้ไม่เห็น ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนผมอาจจะเชื่อแต่พอเห็นคุณปฏิเสธเรื่องร่วมมือกับพันธมิตร เรื่องอำนาจพิเศษตั้งรัฐบาล เรื่องความสัมพันธ์พิเศษกับศาลรัฐธรรมนูญอย่างหน้าตาเฉย ยอมรับว่าผมไม่กล้าเชื่ออะไรคุณอีกเลย คุณเชื่อที่ตัวเองพูดไหม ยังจำสิ่งที่พูดไว้กับนายกฯ สมชายเมื่อ 9 ต.ค. 50หลังเหตุการณ์พันธมิตรบุกสภาได้บ้างไหมครับ (อ่านที่นี่ : วาทะเด็ดๆ ที่อภิสิทธิ์เคยพ่นไว้)

13. คุณอภิสิทธิ์บอกว่าจะเขียนอีกผมก็จะร่วมเขียนด้วยอีก อยากบอกคุณอภิสิทธิ์ว่าบางทีการพูดความจริงอาจทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่ถ้าเราเป็นผู้นำแล้วไม่พูดความจริงจะทำให้ประชาชนเจ็บปวด เวลาพูด สบตาประชาชนบ้างนะครับ

ประชาชนจงเจริญ

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
14 มิถุนายน 2554

หมายเหตุ : ท่านสามารถอ่าน จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 3 ได้ตามลิงค์ของไทยอีนิวส์


“ชำนิ-ณัฐวุฒิ” สองแนวคิดประชาธิปไตย!

เมื่อวันที่ 1 และ 2 มิถุนายน 2554 ถ้าใครได้ดูรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ช่วงเจาะข่าวเด่น ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางไทยทีวีสีช่อง 3 คงจะมีความคิดเห็นและความรู้สึกคล้ายดิฉัน… ผู้ร่วมรายการในวันนั้นได้แก่ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย…

โดยประเด็นที่ทั้งสองดวลกันนั้นไล่ไปตั้งแต่เรื่องของแนวทางการปรองดอง การเกิดรัฐประหาร 19 กันยา รวมถึงการเลือกตั้ง…

ในที่นี้จะขอพูดถึงเพียงประเด็นของการเลือกตั้งเท่านั้น ความตอนหนึ่งว่า

“…การเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกคนต้องเห็นร่วมกันว่าจะเป็นจุดนับหนึ่งในการสร้างสันติ คือปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ ยุติธรรม แล้วผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไรต้องเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน จะต้องไม่มีคำพูดว่าเพื่อไทยชนะถึงยังไงก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล ที่คุณชำนิพูดไม่ปฏิเสธว่าใครรวมเสียงข้างมากได้ตั้งรัฐบาล นี่ถูกต้อง แต่ไม่ถูกกับสถานการณ์ในประเทศไทย เวลานี้ประชาชนต้องการการเลือกตั้ง แล้วอยากให้รู้แพ้รู้ชนะในสนาม ใครชนะเป็นรัฐบาลไปก่อน เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็สร้างกระบวนการปรองดองแล้วมาว่ากันใหม่…”

คุณณัฐวุฒิยังเห็นว่าพรรคอันดับหนึ่งต้องตั้งรัฐบาลได้ พูดตรงไปตรงมามีพรรคเดียวเท่านั้นถ้าพรรคเดียวชนะจะไม่ได้ตั้งรัฐบาลคือพรรคเพื่อไทย.. ชาติไทยพัฒนาชนะ ภูมิใจไทยชนะ ประชาธิปัตย์ชนะ ได้เป็นรัฐบาลหมด โดยคุณชำนิแย้งว่า “…ถ้าเพื่อไทยชนะก็ตั้งรัฐบาล แต่ประชาธิปัตย์จะไม่ตั้งแข่งได้อย่างไร คุณเกิน 251 หรือเปล่า ถ้าคุณเกิน 251 ผมก็ไม่แข่ง จะไปแข่งได้อย่างไรในเมื่อผมมี 249 ถ้าวันนี้ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากก็เป็นความชอบธรรมของสภา เพราะฉะนั้นปัญหาอยู่ที่เมื่อเลือกตั้งจบแล้ว กลัวอย่างเดียว เวลาคนอื่นจะตั้งรัฐบาลทุกเสื้อจะออกมาขัดขวาง เคลื่อนไหวอีก ดังนั้น ต้องยอมรับตรงนี้ก่อน…”

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า “คุณชำนิว่าอะไรก็แล้วแต่มันอยู่ที่ใครสามารถรวมได้เกินครึ่ง หลักอยู่ตรงนี้ อีกฝั่งต้องยอมรับ” นายชำนิตอบว่า “แน่นอน ถูกต้องครับ”

และเมื่อคุณสรยุทธถามสรุปชี้ให้ชัดไปอีกว่า “…คุณณัฐวุฒิบอกว่าพรรคการเมืองอันดับหนึ่งคือเสียงประชาชนบอกว่าคุณเป็น รัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์กำลังบอกว่าใครก็ตามที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้เกิน ครึ่งในสภานั่นคือเสียงประชาชนให้เป็นรัฐบาล มันคนละหลักใช่ไหมครับ” คุณชำนิตอบว่า “ถูกต้อง เราเลือกผู้แทนนี่ครับ”

นอกจากเวทีนี้แล้ว ขอยกข้อมูลจากเว็บไซต์ในโลกอินเทอร์เน็ตที่ยังมีคนตั้งกระทู้เกี่ยวกับ เรื่องดังกล่าว มีผู้ใช้ Username ว่า “ทนทำใจ” ให้ความเห็นว่า “…ฟัง 5 รอบ ต้องขอบคุณสรยุทธเปิดช่องให้ณัฐวุฒิสอนประชาธิปไตย ชอบใจ…  อยากให้คนใหญ่ๆและอยากใหญ่ครอบประเทศได้เก็บไปคิดประชาธิปไตยเป็นอย่างไร และกองทัพควรอยู่อย่างไร กองทัพอเมริกายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ยิ่งใหญ่ในกองทัพอเมริกาไม่เคยยึดอำนาจ ไม่เคยประกาศตนเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ และศาลอเมริกาก็ไม่เคยรับองค์รัฏฐาธิปัตย์ดังเช่นประเทศเล็กๆอย่างประเทศ ไทย…”

หรือผู้ใช้ Username ว่า “คนคนนึงในประเทศ” ให้ความเห็นว่า “…ประเทศไทยจะสงบได้ต้องเริ่มจากการได้รัฐบาลที่มาอย่างขาวสะอาดและเป็น สุภาพบุรุษ พรรคที่ได้เสียงรองควรรักษามารยาททางการเมือง ไม่แย่งจัดตั้งรัฐบาลก่อน ควรให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากลองพยายามจัดตั้งก่อน และต้องไม่มีขบวนการใดๆเข้ามาแทรกแซงขัดขวางไม่ให้พรรคที่ได้เสียงข้างมาก จัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วห้ามมีการชุมนุมไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้จะเป็นสิทธิของบุคคลในประเทศประชาธิปไตยก็ตาม ใครออกมาชุมนุมหลังการเลือกตั้งถือว่าไม่รักแผ่นดิน ไม่รักประเทศไทย ปล่อยทุกอย่างให้เป็นกลไกของการปกครองและกฎหมาย…”

ดูคุณณัฐวุฒิดวลนโยบายกับคุณชำนิวันนั้นแล้วขอบอกว่ามันหยดติ๋ง หมดกังวลเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะคุณณัฐวุฒิปากดีตีสำนวนเก่งนะคะ แต่เพราะว่าคุณณัฐวุฒิยึดมั่นและแม่นหลักการประชาธิปไตยต่างหาก อีกฝ่ายพายเรือตะแคงออกทะเลเลยค่ะ

ประชาธิปไตย แปลตรงตัวคืออำนาจที่ประชาชนเป็นใหญ่ ประเทศประชาธิปไตยทั้งโลกเค้ายึดหลักการที่ว่า การเลือกตั้งลงคะแนนโดยประชาชนเป็นจุดเริ่มเป็นฐานล่างของอำนาจประชาธิปไตย

เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นในประเทศก็ใช้รัฐสภาที่มาจากอำนาจประชาชนเป็น เครื่องมือแก้ปัญหา ไม่ใช่เอะอะก็อ้างนู่นอ้างนี่เพื่อมาละเมิดอำนาจของประชาชนโดยใช้กำลังทหาร ที่คุณณัฐวุฒิเรียกว่า “กองกำลังทราบฝ่าย”

คุณชำนิคะ ในฐานะเพื่อนเก่าเรารู้จักกัน ฉันว่าคุณกลับใต้ไปคิดอ่านทบทวนต่อมสำนึกทางชนชั้นของคุณใหม่เถอะค่ะ เรามันไพร่ประเทศราชด้วยกันทั้งนั้น…

คุณณัฐวุฒิคะ ขอจับมือหน่อยค่ะ ขอบใจนะคะที่ช่วยกันอธิบายอะไรง่ายๆให้ง่ายขึ้นไปอีก

ฉันคิดว่าคุณชำนิเธอคงเข้าใจความหมายของคำว่าประชาธิปไตยขึ้นมามั่งแล้วล่ะค่ะ!

ที่มา : โลกวันนี้ 8 มิถุนายน คอลัมน์ โต๊ะกลมระดมความคิด
โดย : แขลดา วงศ์กสิกร


ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ “ไพร่” ตัวพ่อ

เป็นข่าวร้อนฉ่าตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าถึงการปะทะคารม กันผ่านทางเฟซบุ๊ก เมื่อ “อำมาตย์ชาย+อำมาตย์หญิง” กับ “ไพร่” ที่บังเอิญไปใช้บริการร้านอาหารเดียวกัน แม้จะไม่ได้ปะหน้ากันตรงๆ ก็ตาม

แต่แล้วเครื่องดื่มขวดเดียวก็ทำให้เรื่องไม่น่าจะเป็นเรื่องกลับเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

มติชน “อาทิตย์สุขสรรค์” มีโอกาสได้เป็นแขกรับเชิญที่บ้านเศรษฐสิริ ย่านสนามบินน้ำ เจ้าของบ้านไม่ใช่ใครอื่น คือ “ไพร่” ตัวพ่อ ที่กล่าวได้ว่ามีแม่ยกมากที่สุดในบรรดานักพูดเสื้อแดง

…ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือ เต้น

เป็น คนอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2518 เป็นลูกชายคนเล็กของนายสำเนา และนางปรียา ใสยเกื้อ มีพี่ชาย 1 คน ชื่อ นายเจตนันท์ สมรสกับ (แก้ม) สิริสกุล ใสยเกื้อ อดีตนางฟ้าสายการบินแห่งหนึ่ง มีทายาทเป็นชายหนึ่ง คือ ด.ช.นปก หรือ น้องช้างน้อย และหญิงหนึ่งคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ หรือ น้องตราตรึง

ชีวิตตั้งแต่เด็กเติบโตมาในครอบครัวผู้นำท้องถิ่น ที่มีปู่และตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน พออายุได้ไม่กี่เดือนพ่อแม่ก็แยกทางกัน เด็กชายเต้นจึงไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่

จบชั้นประถมจากโรงเรียนวัด พระมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วมาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช ซึ่งที่โรงเรียนนี้เองที่เป็นสถานเพาะบ่มเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้กลายเป็นดาว เด่นคว้าแชมป์บนเวทีโต้คารมมัธยมศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นรายการที่โด่งดังมากในขณะนั้น

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ความที่เป็นนักกิจกรรม นักโต้วาทีเก่า ทำให้เขามีวาจาเป็นเสมือนมนตราเรียกคะแนนความรักจากบรรดาแม่ยกได้อย่างท่วมท้น

เขาย้อนอดีตเมื่อวันวาน ที่มาของความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎรในสภาว่า…

“ผม เป็นหลานผู้ใหญ่บ้าน เวลามีการทำถนนในหมู่บ้าน พวกคนขับรถดั๊มพ์ คนขับรถแทร็กเตอร์ก็จะกินมานอนที่บ้านผู้ใหญ่ มันกลายเป็นภาพที่ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เข้าใจว่าคนอยู่กับสังคมชนบท อยู่อย่างชาวบ้านอยู่อย่างไร

…ที่บ้านผมก็เป็นครอบครัวที่เป็นนักสู้ ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ผมผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมา ได้เผชิญหน้ากับอิทธิพล อำนาจมืดมาสารพัดรูปแบบ”

เขาสมัคร ส.ส.สองครั้งสองคราวเพราะชอบการเมือง ได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สมใจ แต่เป็นได้แค่ 7 วัน

และนี่เป็นอีกครั้งของการสมัครเป็นแคนดิเดต ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย

ค่ำวันหนึ่ง ณัฐวุฒิ สวมชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงขาสั้น ลายสก๊อตแบบสบายๆ ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งคุยแบบสบายๆ ภายในบ้าน พร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับภรรยาสุดที่รักและแก้วตาดวงใจทั้งสอง

ตามเข้ามารู้จักกับเรื่องราวของเขา…ผู้ชายที่ประกาศกับใครๆ ว่า เขาคือ ไพร่ ตัวจริง

– เป็นนักโต้วาทีตั้งแต่ยังอยู่ชั้นมัธยม?

ผมเป็นนักกิจกรรม เวลาในโรงเรียนมีงานอะไรผมจะทำหน้าที่เป็นโฆษกมาตั้งแต่เด็กๆ สมัยนั้นผมเกเรมาก กินเหล้า สูบบุหรี่ ตั้งแต่ ม.1 พอขึ้น ม.3 ก็ไปตีกับเด็ก ม.6 เป็นขาใหญ่ตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว

อย่างตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมปีใหม่ ผมก็บอกเพื่อนที่ห้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ไปปิดช่องหน้าต่างให้มืด แล้วเอาไฟมาติด เครื่องเสียงมาตั้ง เปิดเป็นดิสโก้เธคเต้นดื่มกันสนุกสนาน มีเพื่อนๆ มากันกว่า 300 คน สนุกกันมาก แต่เด็กผู้หญิงไม่เอาด้วยเพราะเหม็นควันบุหรี่ ออกไปร้องไห้หน้าห้องจนครูทราบเรื่อง ต้องเชิญผู้ปกครองมาพบครู ตอนนั้นผมพาแม่ไป แม่ผมร้องไห้เสียใจไม่คิดว่าให้ลูกมาโรงเรียนแล้วจะมาเป็นแบบนี้ ผมเลยได้คิดว่า ผมทำให้น้ำตาลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่รักเรายิ่งกว่าชีวิตไหล

หลังจากนั้นเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ลดกิจกรรมโลดโผน แล้วหันไปเริ่มสนใจกิจกรรมการเมืองในโรงเรียน พอมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน ผมทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ ช่วยหาเสียง ช่วยปราศรัยให้กับพรรคๆ หนึ่ง จนชนะได้เป็นกรรมการนักเรียน คราวนี้พอมีรายการโต้วาที อาจารย์จึงส่งไปแข่ง ตอนนั้นโต้วาทีดังมาก มีนักเรียนหญิงวิทยาลัยต่างๆ ขอเพลงให้ฟังทุกคืน รายการวิทยุดังๆ เชิญผมไปสัมภาษณ์ มีจดหมายจากทั่วประเทศเขียนมาถึงเป็นลังๆ

– มีครูสอนโต้คารม?

มี อาจารย์ที่โรงเรียนช่วยสอนบ้าง เช่น อาจารย์ทวี แดงหวาน แต่จริงๆ แล้วผมสั่งสมประสบการณ์ในการพูดมาจากการปราศรัยช่วยน้าชายหาเสียงตอนสมัคร ส.จ.ที่อำเภอสิชล ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ยังพูดไม่ค่อยเป็น แต่ก็มีคนมาฟังกันมากคงเพราะบอกกันปากต่อปากว่ามีเด็กมาพูด ปรากฏว่า น้าชายผมชนะเลือกตั้ง

– ได้สัมผัสกับการเมืองเต็มๆ ด้วยตนเองครั้งแรกเมื่อไหร่?

ตอนอายุครบ 25 ปี ในปี 2544 รัฐธรรมนูญกำหนดให้คนอายุ 25 ปีลงสมัครเลือกตั้งได้ แบบลงเขตเดียวเบอร์เดียวจึงตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.สังกัดพรรคชาติพัฒนาโดยมี กร ทัพพะรังสี เป็นหัวหน้าพรรค

ตอนนั้นซื้อรถเก๋งมือสอง ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด ขับลงไปที่บ้านเปิดเวทีปราศรัยอย่างเดียว มีคนฟังเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มีคู่ต่อสู้คือ มาโนชย์ วิชัยกุล ของพรรคประชาธิปัตย์เป็น ส.ส.มาหลายสมัย ผมแพ้ได้คะแนนเป็นลำดับที่สอง แต่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของพรรคชาติพัฒนาในภาคใต้

– สอบตกส.ส.แล้วกลับไปทำอะไรต่อ?

พอสอบตกก็หมดตัว เหลือรถคันเดียวหมดไปหลายแสนบาท กลับมาบ้าน ตั้งหลักอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มมีงานทอล์คโชว์เข้ามา มีรายการโทรทัศน์ติดต่อเข้ามา อีกรายการรัฐบาลหุ่น ให้เลียนแบบเสียงของ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี พอทำไปๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน มีบางส่วนถอนตัว แล้วผมเข้าไปทำหน้าที่แทนเขียนบทล้อการเมือง รายการเริ่มดัง เงินก็เข้ามามาก เริ่มไปเรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่นิด้า คิดว่ายังไงก็ควรจะมีฐานทางการศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าจะอย่างไรก็ตามผมก็ต้องกลับไปการเมืองอีก และงานที่ผมทำเป็นนักพูด นักบรรยายก็จำเป็นจะต้องมีวิชาความรู้อะไรพอสมควร

ปี 2548 ผมก็ลงสมัคร ส.ส.อีกครั้งในนามพรรคไทยรักไทย เขต 4 จ.นครศรีธรรมราช มีคนสมัคร 4-5 คน มีการทำโพล ผมคะแนนดีกว่าเพื่อน แต่ก็แพ้อีกได้คะแนน 28,000 คะแนน หมดตัวอีกรอบ แถมยังเป็นหนี้อีก ผมหมกตัวอยู่ในคอนโดฯไม่ออกไปไหนเลยไม่มีเงิน ได้กินข้าววันละ 2 กล่องที่แฟนซื้อมาให้ เป็นอย่างนี้ประมาณครึ่งเดือน ตัดสินใจนำสร้อยทอง ที่มีคุณค่ากับผมมากที่สุดไปขาย เป็นสร้อยที่ได้มาตอนเป็นแชมป์โต้คารมจากสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมัธยม

– เลิกสนใจการเมือง ?

ไม่ครับ จากนั้นเริ่มมีคนติดต่อให้ไปพูดอีก เริ่มมีรายได้ ผมเริ่มสนิทกับพี่ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ (พ.ศ.2548) พี่ตู่มักจะโทร.มาชวนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มคบกันมาอยู่ด้วยกันตลอด จนมีการตั้งรัฐบาล

มาคิดทำ โทรทัศน์ช่องเอ็มวี 1 โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาจัดรายการก่อนที่จะเป็นเอ็มวี 1 ก็มีผมกับพี่ตู่ ไปจัดรายการทางยูบีซี 9 ชื่อรายการ “คุยข่าวมันวันอาทิตย์” ทำสักพัก ก็ไปทำเอ็มวี 1 โทรทัศน์ดาวเทียม

จากนั้นวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้เป็นผู้แทนสมใจ หลังสมัครลงปาร์ตี้ลิสต์ อยู่ลำดับดีมากคือ 98 ส่วนพี่ตู่ลำดับ 97 เข้าไปรายงานตัว ได้บัตรผู้แทนราษฎร แต่การเลือกตั้งครั้งประกาศเป็นโมฆะ เป็น ส.ส.ได้เพียง 7 วัน

จนมาถึงวันที่ 20 กันยายน 2549 หลังเกิดการปฏิวัติ ผมกับพี่ตู่ โทร.หาพี่วีระ (วีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.) พี่วีระก็บอกให้ไปเจอกันที่พรรคไทยรักไทยเปิดแถลงข่าวสู้ว่าไม่ยอมรับการปฏิวัติ

ก็ไปที่พรรคไทยรักไทย ผมไม่รู้เรื่องไม่เคยสู้กับคณะปฏิวัติ ผมนึกไม่ออกเลย ผมอยากเป็นผู้แทนฯเฉยๆ จะสู้อย่างไรกับการปฏิวัติ แต่ผมเคยเป็นผู้ชุมนุมตอนเดือนพฤษภา สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีการตั้งเวทีขับไล่เผด็จการ ไม่รู้จักแกนนำ และคิดอยู่ในใจแล้วว่าผมไม่เอาการรัฐประหารตั้งแต่พฤษภาคม ปี 2535

– พอการต่อสู้ดุเดือดขึ้นกลัวบ้างหรือเปล่า?

ผมเป็นคนไม่กลัวคน ผมเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ถ้าพูดเอาฮาก็พูดได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าข่มเหงกันไม่ได้รังแกกันไม่ได้ ไม่กลัว ไม่เคยวิตกกังวลกับเรื่องว่าเขาจะเอาไปขังหรือไปฆ่าเวลาสู้

เพราะถ้าสู้แล้วมันคิดเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้าคิดเรื่องนั้นก็ไม่ต้องสู้ แต่ไม่ใช่มุทะลุจนไม่รอบคอบ พรรคพวกก็บอกว่าผมได้ทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ผมว่าจริงๆ ไม่ใช่ แต่ว่ามันอยู่ที่สถานการณ์ไหนควรทำอย่างไรจะไม่บู๊เพราะอารมณ์ โมโห แต่จะบู๊เพราะจำเป็นเท่านั้น และต้องให้ชนะเท่านั้น รวมทั้งต้องมีวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด สมัยเด็กผมไม่เคยตีใครด้วยความโมโห ผมตีให้เพื่อนทั้งนั้นจริงๆ

– ในช่วงการต่อสู้ที่รุนแรง คิดถึงลูก?

ห่วง คิดว่าลูกไม่ควรมารับผิดชอบหรือเผชิญอะไรกับสิ่งที่เราสู้ ไม่แฟร์ เพราะว่าลูกควรจะมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ควรมีชีวิตผ่านความทุกข์และความกด ดัน แต่ว่าเมื่อเราออกมาสู้ลูกก็หลีกเลี่ยงผลกระทบพวกนี้ไม่พ้น ตอนถูกขังก็เป็นห่วง ห่วงมากเข้าก็เลยปรับวิธีคิดใหม่ ถ้าคิดว่าสามคนเป็นแค่ลูกเมีย มันห่วงไม่จบ ผมก็เลยคิดว่าเขาสามคนเป็นเสื้อแดง เมื่อสามคนเป็นคนเสื้อแดงเขาจะต้องสู้เขาก็ต้องผ่านความเจ็บปวดพวกนี้มาให้ ได้ เพราะครอบครัวเสื้อแดงหลายครอบครัว เจ็บปวดกว่านี้อีกคนที่เขารักตาย พิการ บาดเจ็บ ผมแค่ถูกขังก็มีวันออก เห็นหน้ากันได้ทุกวันเวลาไปเยี่ยม

– เข้าไปอยู่ในคุกได้อะไรบ้าง?

ผมอ่านหนังสือเป็นลังๆ มีญาติพี่น้องส่งให้ คิดว่าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบันจนหมดและประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมหาตมะ คานธี เหมา เจ๋อ ตุง ดร.ซุน ยัด เซ็น การปฏิวัติ ชนชั้นนายทุนในอังกฤษการปฏิวัติฝรั่งเศส การต่อสู้ในปากีสถาน การต่อสู้ของโฮจิมินห์ ฯลฯ

อ่านแล้วเอามาเทียบ เคียงกับการต่อสู้ของเราจะเห็นมิติของการตัดสินใจมิติการประเมินสถานการณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น บางเรื่องเทียบเคียงกันได้เลยบางเรื่องเป็นความแตกต่างที่เราเก็บไว้ในคลัง ของความรู้เผื่อว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ เผื่อว่าสถานการณ์การต่อสู้ของประชาชนมันมีลักษณะคล้ายคลึงกันเทียบเคียงกัน มันอยู่ที่เราจะจับอะไรมาพูด

– ทำไมจึงหยิบคำว่า “ไพร่” มาใช้ในการต่อสู้?

ผมเพียงแค่ต้องการสื่อสารกับคนทั้งสังคม ที่ผมเรียกตัวเองว่า “ไพร่” เพื่อจะสื่อว่าที่พวกคุณทำกับเราทุกอย่างเพราะไม่ได้เห็นเราเป็นประชาชนใช่ หรือไม่ เพราะเห็นเราเป็นไพร่ใช่ไหม จึงทำกับเราแบบนี้ ถ้าเห็นเราเป็นประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าเห็นเราเป็นไพร่จะจิกหัวใช้ยังไงก็ได้ จะรังแกจะกดขี่ทำอะไรก็ได้

ความหมายของคำว่า “ไพร่” ของผมคือ ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าคนจน-คนรวย เรื่องสูง-เรื่องต่ำ แต่เป็นเรื่องของคนที่ถูกกดขี่ ถูกลดทอนความเป็นประชาชน ผมต้องการสื่อสารสิ่งนี้

คำว่า “ไพร่” ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งบัญญัติขึ้นมีการใช้มาชั่วนาตาปี แต่ผมต้องการจับคู่คำ จะเรียกว่า “ขี้ข้า” (หัวเราะ) มันก็ดูจะไม่เข้าเท่าไร ครั้นจะไปเรียกว่า “พี่น้องขี้ข้าทั้งหลาย” มันก็ไม่ได้ หาอยู่หลายคำ จนกระทั่งสุดท้ายมาใช้คำว่า “ไพร่” นำมาสร้างเรื่องราวเป็นสนามการต่อสู้ระหว่างอะไรกับอะไร ไม่เชิงประชดแต่ต้องการจะทิ่มแทงไปตรงใจกลางของปัญหา ส่วนคำว่าอำมาตย์ก็มาจากอำมาตยาธิปไตย ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน

ผมเชื่อว่าปัญหาทางชนชั้นของประเทศนี้มีจริง แล้วนายกรณ์ ก็ได้ยืนยันอีกครั้งว่ามีจริง ผมไม่คิดว่าปี 2554 จะมีคนคิดแบบนี้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สังคมได้เห็นแล้ว

– วางอนาคตของครอบครัวไว้อย่างไร?

ผมว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงอีก 3-5 ปีน่าจะได้ข้อยุติและหลังจากนั้นผมจะอยู่ในฐานะใดไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตก กังวล ผมก็ดูแลครอบครัวให้เติบโตเป็นชีวิตที่มีความสุขที่เขาต้องการเท่านั้น

คือทำบ้านเมืองให้น่าอยู่เสียก่อน แล้วค่อยทำบ้านเราให้น่าอยู่สำหรับลูกเมียของเราเอง ถ้าไม่ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่สำหรับทุกคน มันหันมามองลูกเมียข้างหลังมันหันมองไม่เต็มตา เพราะหันไปมองข้างหน้ามันยังมีความเจ็บปวดมันยังมีการกดขี่เอารัดเอาเปรียบกันอยู่แบบนี้

ที่มา : มติชน 22 พฤษภาคม 2554
โดย : ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ