เสียวไม่มีเลือกตั้ง

ระยะหลังกระแสเสียงความเสียววูบวาบเรื่อง ไม่มีการเลือกตั้ง เกิดกระชั้นขึ้นอย่างไรพิกล เหมือนเหตุเภทภัยน้ำท่วม-แผ่นดินไหว ที่เดี๋ยวมา เดี๋ยวไป ไม่มีสัญญาณเตือน

กระแสเสียงเรื่องไม่มีเลือกตั้งกระพือพัดถึงขนาดนักการเมืองคนหนึ่งทุบโต๊ะเปรี้ยง….วางเดิมพัน

ไม่มีการเลือกตั้งแน่!

แปลกไหม? ทั้งๆ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่แน่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันไม่มีปฏิวัติแน่นอน

คนหนึ่งเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร อีกคนหนึ่งมีอำนาจสูงสุดในกองทัพบก

บอกว่ามีเลือกตั้งแน่ แต่ก็ยังมีความเชื่อว่าไม่มีเลือกตั้งอยู่ดี

แต่เดิม คำว่า “ไม่มีการเลือกตั้ง” เป็นเพียงความรู้สึกของคนบางคนบางกลุ่ม

ระยะหลังคำคำเดียวกันนี้ ยังเป็นเพียงความรู้สึก แต่ที่แปลกคือเป็นความรู้สึกร่วมของคนหลายๆ กลุ่มขึ้น

เหตุผลที่สนับสนุนให้ผู้คนเชื่อว่าการเลือกตั้งจะไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุผลด้านความมั่นคง

เป็นเหตุผลที่ทุบโต๊ะว่านักการเมืองกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากคนเสื้อแดง จะขึ้นมาบริหารประเทศไม่ได้

กลัวว่าหากนักการเมืองกลุ่มที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ขึ้นมาบริหารประเทศ

ความไม่มั่นคงจะเกิดขึ้นในทุกระดับ!

ความไม่มั่นคงระดับชาติ เกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับมา ความไม่มั่นคงระดับบริหาร เกิดจากความลึกลับในคดี 91 ศพ จากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2553 ที่ค้างคาอยู่

และความไม่มั่นคงระดับปัจเจก คือ กลัวสูญเสียอำนาจ

ทั้งหมดเป็นความเชื่อ…ขอย้ำ

เป็นความเชื่อที่ทำให้หลายคนเห็นด้วยกับคำทำนายที่ว่า จะไม่มีการเลือกตั้ง เพราะมีกลุ่มคนที่หาเหตุไม่ให้อำนาจเปลี่ยนมือ

แต่ความเชื่อนั้นยังเป็นความเชื่อ

กระทั่งมีข่าวว่า คุณสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง มีแผนอำลา กกต.

กระแสข่าวดังกล่าวทำให้ความเชื่อที่เป็นความเชื่อ ถูกตั้งคำถามว่า มันจะเป็นจริงไหม?

เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวสะพัดออกมาว่า หลังยุบสภาจะมี กกต.ทยอยลาออก จนปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้

ทีแรก กกต.ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวอย่างแข็งขัน ยืนยันจะจัดการเลือกตั้งได้แน่

ข่าวที่สะพัดก็กลายเป็นข่าวลือ

ต่อมา พอคุณสดศรีแพลมออกมาว่ามีความคิดจะทิ้ง กกต.ไปทำงานที่แห่งใหม่จริง

ข้อมูลข่าวลือเดิมที่เคยสะพัด ก็กลายเป็นไฟที่โหมใส่การเมืองอีกยก

กลัวว่า ไทยจะไม่มีการเลือกตั้ง!

เพราะทฤษฎีบีบบังคับสถานการณ์ให้เลือกตั้งไม่ได้มันมักเริ่มต้นที่ กกต.

ทำให้ กกต.ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ การเลือกตั้งสะดุด กลายเป็นปัญหาทางตัน

จากนั้นก็ระดมข้อเสนอแปลกๆ เช่น ใช้มาตรา 7 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 คือให้ปฏิบัติตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข

หรือใช้กำลังทหารรัฐประหารเพื่อผ่าทางตัน

โดยคิดว่าวิธีการดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อความมั่นคง และเป็นผลดีต่อชาติ

หารู้ไม่ว่า วิธีที่คิดนั้นมันผิดยุคผิดธรรมชาติ

ธรรมชาติยุคนี้ สังคมต้องเป็นไปตามเสียงข้างมาก จะดีจะชั่วอย่างไร สังคมก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

การใช้วิธีทางเทคนิค เพื่อสกัด ยับยั้ง หรือแย่งชิงอำนาจ มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า สังคมส่วนรวมเสียหาย

เสียหายจนไม่อยากเสียหายอีกแล้ว

เสียหายจนกลัวว่าไทยจะไม่มีเลือกตั้ง

แม้นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก หรือแม้แต่ กกต.ที่เหลือ จะยืนยันความพร้อม

มีเลือกตั้งแน่ !

แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้…จะไม่มีการเลือกตั้ง…หวาดเสียว

ที่มา : คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 28 มีนาคม 2554

 


ประเด็นฝากให้คิด? ถ้าคิดจะรัฐประหารอีกสักรอบ?

ความจริงวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ แต่นึกไม่ออกที่จะเขียนอะไรให้เป็นความสดชื่นหรือดูดดื่มด้วยความสุขในโอกาส เช่นนี้?

สภาพแวดล้อมทั่วไปของบ้านเมืองคงต้องยอมรับถึงความตึงเครียดและคำถามข้อสงสัยซึ่งกังวลใจโดยมุ่งไปที่ “ข่าวรัฐประหาร” มีสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยรวมทั้งแหล่งข่าวทั้งวงการเมืองกับการทหารต่างเห็นสอดรับไปในทางเดียวกันว่า  “ปีกระต่ายทอง 2554 นี้ รับรองเห็นทีที่ประเทศไทยเราคงหนีไม่พ้นสถานการณ์ปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ กลายเป็นวงจรที่จะเพิ่มวิกฤตให้หนักหน่วงรุนแรงเข้าไปอีกระดับ” ยังมีบางคนซึ่งแทบหมดหวังกับความเป็นจริงในระบบอำนาจแห่งการผูกขาดทางการเมืองและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ หมดหวังต่อการแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองให้เป็นไปตามหลักการและระบบ จึงคล้ายเกิดอาการแดกดันทางการเมืองไปเสียเลย

ผู้คนเหล่านี้มีความรู้สึกและทรรศนะประการหนึ่งที่น่าสนใจสรุปได้ว่า “ใครจะรัฐประหาร ยึดอำนาจ หรือกวาดล้างครั้งใหญ่ในแผ่นดินนี้ก็ขอให้จัดการทำไปเลย จะได้รู้แล้วรู้รอดกันไปเสียที ชาติบ้านเมืองคงได้เห็นหน้าเห็นหลังถึงอนาคตกับความเป็นไป จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก จะสงบราบคาบหรือกลายเป็นกลียุคคงได้รู้ในรอบนี้”

ข้อเขียนที่ผมจะกล่าวถึงคงมิใช่เป็นการให้กำลังใจ คือให้กำลังใจว่า “เขาคงไม่รัฐประหารกันหรอก” เพราะคนพวกนี้ถ้าคิดจะทำอะไรเห็นทีไม่มีใครไปห้ามหรือขวางกั้นอะไรได้ ฉะนั้นเราคงต้องวางเฉยต่อการคิดหรือตัดสินใจของพวกเขา… “พวกท่านจะทำอะไรก็ทำไปเลยครับ?” เพียงแต่อยากจะฝากให้คิดสักนิดถึงการก้าวถลำเป็นครั้งสุดท้ายของบ้านเมือง?

ท่านจะทำรัฐประหารในลักษณะไหน? เอากันถึงขั้น “ปิดประเทศ” ติดตามกวาดล้างจับกุมกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งล่าสังหารสัก 100,000 รายกระนั้นหรือ?

ผมไม่ค่อยเชื่อสำหรับการใช้แสนยานุภาพที่จะบดขยี้ได้เป็นหมื่นเป็นแสนโดย ปราศจากปฏิกิริยาทั้งของประชาชนทุกฝ่าย รวมทั้งแรงสะท้อนกดดันจากนานาชาติ แม้กระทั่งมหาอำนาจขี้เท่ออย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งว่ากันว่า “อิงอยู่กับอำนาจนิยมในประเทศไทย” ก็คงจำยอมรับสภาพไม่ได้ ถ้าเหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้นรับรองต้องมีการตัดสินใจด้วยระบบความคิดชุด ใหม่?

สูตรการคิดและทฤษฎีที่เอา “กลุ่มรับใช้เป็นเหยื่อ” สำหรับวิธีคิดเช่นนี้ผมว่ามหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็คงจะคิดได้ไม่แพ้ “ชนชั้นนำไทย” เราอาจยกตัวอย่างที่เห็นได้ถ้า “เกิดการรัฐประหารรอบใหม่” สิ่งที่ต้องเซ่นสังเวยให้แก่วิถีทางของอำนาจก็คงหนีไม่พ้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งดูเหมือนสถานะของเขากำลังอยู่ใกล้ความเสี่ยงในการเป็น “อดีตนายกรัฐมนตรี”

มันเป็นเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการเคลื่อนขบวนรัฐประหารโดย ปราศจากเหยื่อ แล้วบทนี้หนุ่มมาร์ครูปหล่ออาจต้องรับไปเต็มๆ?

มองเกมข้างหน้าไปอย่างไรสำหรับสูตรรัฐประหาร มิใช่เพียงคนเสื้อแดงหรือฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อและเป้า หมาย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงมีโอกาสสูงสำหรับการเป็นเหยื่อตัวใหญ่ที่สุด ลองพิจารณาว่าหากการรัฐประหารเกิดไปสัมพันธ์กับม็อบที่ชุมนุมขับไล่ สมมุติว่าม็อบนั้นจุดไฟติด? ชะตากรรมของนายอภิสิทธิ์จะเลวร้ายเพียงใด? เป็นไปได้ที่จะถูกขับไล่ออกนอกประเทศ กลายเป็นคนพลัดที่นาคาที่อยู่จนต้องร้องเพลง “นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย” ทฤษฎีและความเป็นเหยื่อเกี่ยวกับการรัฐประหารใครบอกว่าจะจำกัดขอบเขตที่ต้อง ทำลายเฉพาะอภิสิทธิ์

เป็นไปได้เช่นกันที่ผลแห่งการกระแทกทางอำนาจในเที่ยวนี้อาจส่งผลเข้าสู่ ความมีชีวิตที่โลดถลาของพรรคประชาธิปัตย์ไปอย่างช่วยไม่ได้เหมือนกัน? แล้วถึงที่สุดแหล่งหยัดยืนของพรรคการเมืองนี้จะเหลือพื้นที่อยู่ตรงไหน? เหยื่อจากรัฐประหารจึงมีเพียบ!

ในด้านของนายอภิสิทธิ์ ถ้าจะต้องเกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาลขึ้นมาจริงๆ สิ่งสำคัญอีกประการในการตัดสินใจของ “กลุ่มอำนาจจำบัง” ผมเล็งถึงความสัมพันธ์ที่โยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “สถานการณ์สลายการชุมนุมที่มีคนตาย 91 ศพ และบาดเจ็บร่วม 2,000 คน” เกมตรงนี้มันยั้งไม่หยุดอยู่แล้ว

ลงท้ายพลันกลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่ต้องลี้ภัย ข้อหา “สั่งฆาตกรรมของนายอภิสิทธิ์ต้องมีขึ้นแน่นอน” กลุ่มชนชั้นนำย่อมต้องหาเหยื่อเพื่อรับชะตากรรมเรื่องนี้ เบี่ยงเบนความเป็นจำเลยร่วมโยนทับถมเข้าใส่นายอภิสิทธิ์ ซึ่งก็มีความสมเหตุสมผล ปิดจ๊อบอภิสิทธิ์จึงเป็นเรื่องเดียวกันได้กับปิดจ๊อบ 91 ศพ?

เหยื่อจากการรัฐประหารยังมีผลเกี่ยวเนื่องอีกหลายอย่างนัก กระทั่ง “พวกแกนนำม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กลุ่มนี้เห็นจะตกต้องชะตากรรมที่วิถีแห่งอำนาจ “จำเป็นต้องจัดการ” มีอยู่หลายเหตุผลซึ่งต้องอธิบายให้ลึกกว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” ตั้งแต่การรู้ความลับตื้นลึกหนาบางเกินไป ด้วยหนทางเช่นนี้ “ถ้าอ่อนและต่อรองไม่ได้เมื่อไหร่โอกาสที่จะถูกทุบทิ้งเป็นไปได้”

ผลข้างเคียงของการรัฐประหารปิดประเทศยังมีอีกมาก อาจจะกดหัวใช้อำนาจเลียนแบบพม่าไปได้สักพัก สุดท้ายคนไทยทนไม่ได้หรอก ถึงตอนนั้นคงเละยิ่งกว่าตูนิเซีย, อียิปต์, เยเมน… จุดนั้นเขาเรียกให้เป็นการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง? ใครจะรัฐประหารห้ามไม่ได้? แต่ผมยังอยากเขียนให้เอาไปคิด คิดผิดคิดใหม่ได้?

ที่มา : โลกวันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2554
โดย : เรืองยศ จันทรคีรี


รัฐประหารในไทย..ทำง่ายนิดเดียว? เปิด 10 ขั้นตอนในการทำ “coup d’etat”

แม้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.จะออกมากล่าวถึงกระแสข่าวยึดรัฐประหาร (coup d’etat) ที่ถูกเปิดเผยมาโดยคนชื่อ “ตู่” เช่นกัน อย่างจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) แกนนำคนเสื้อแดง ว่า “ยังไม่เห็นใครคิด ใครจะไปทำอะไร เพื่ออะไร ให้ใคร ผมไม่มีเวลาให้กับเรื่องไร้สาระนี้”

แต่เป็นที่น่า สังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยตอบตรงๆ กับคำถามที่ว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่ปฎิวัติ? โดยผู้สื่อข่าวสายทหารถามเรื่องนี้กับเจ้าตัว 2 ครั้ง นับแต่เข้ารับตำแหน่งผบ.ทบ.เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2553

จากครั้งแรก วันที่ 29 พ.ย.2553 “ผมไม่พูดว่าจะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติ แต่ประชาชนต้องไม่ตีกัน”

มาถึงครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2554 “ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ไม่เห็นต้องยืนยัน”

คล้ายกับ “เปิดช่อง” ไว้ หากเกิดเหตุจำเป็นในอนาคต..อย่าลืมว่า ในอดีต แม้แต่ผบ.ทบ.ที่ยืนยันต่อสาธารณชนว่าจะไม่

รัฐประหาร และจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ท้ายที่สุด ก็ยอม “เสียสัตย์เพื่อชาติ”

อาศัย “โมเดล” การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 จะเห็นได้ว่าการ “ยึดอำนาจ” ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมีเงื่อนไข ปัจจัย และช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น 1

ถ้ามี “ปรากฎการณ์” ดังที่จะกล่าวบรรทัดต่อไปนี้ ขอให้รู้ไว้ว่า “ท.ทหารกำลังมาแล้ว”!!

10ขั้นตอนในการทำรัฐประหาร

1. ชักชวน ผบ.ทบ.เข้าร่วม หรือให้เป็นผู้นำในการก่อการให้ได้ เพราะจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีความพยายามในการรัฐประหารครั้งใด ที่ผบ.ทบ.ไม่เข้าร่วมแล้วจะประสบความสำเร็จ

2. หา “เซฟเฮ้าส์” ไว้ประชุมลับ เพื่อวางแผน-เตรียมบท-กำหนดคน จะเป็นบ้านพักผบ.ทบ.แยกเกษะโกมลเหมือนที่ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน อดีตผบ.ทบ.ใช้ หรือจะเป็นร้านเคเอฟซีสักสาขา เหมือน “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา สมัยเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ไปวางแผน  หรือจะใช้บ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต ที่ “2 ป.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และพล.อ.ประยุทธ์ พำนักอยู่ในปัจจุบันก็ไม่เลว

3.นำแผนที่กรมยุทธการ ทหารบกเคยจัดเตรียมไว้รักษาความสงบเรียบร้อยใน กทม.หรือ เรียกง่ายๆว่า “แผนปราบม็อบ” ไม่ว่าจะชื่อ “แผนปฐพี 149” หรือในชื่ออื่นๆ เอามากาง เพื่อปรับใช้

4.รอจังหวะที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการตอบโต้

5.เมื่อ พร้อมก็ให้ส่งสัญญาณ นำกำลัง “ยึดอำนาจ” ทันที โดยช่วงเวลาที่เหมาะสม จะอยู่ในช่วงค่ำ นับตั้งแต่ 21.00 น.-24.00 น. ป้องกันรถติด จนทำให้เข้าถึงที่หมายบางจุดล่าช้า

6.ระลอกแรก ให้ส่งกำลังจากหน่วยในกทม.รวมทั้งกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.) จ.ลพบุรี เข้าปฏิบัติการต่อจุดศูนย์ดุล (ทำเนียบรัฐบาล, ถนนพิษณุโลก ,ถนนศรีอยุธยา, ถนนราชดำเนินนอก, ลานพระบรมรูปทรงม้า, วังปารุสกวัน, สำนักข่าวกรองแห่งชาติ)โดยให้นำรถถังจากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4 รอ.) เกียกกาย และกำลังจากกองพันสารวัตรทหารที่ 11 (พัน สห.11) ถนนศรีอยุธยา ปิดล้อมสถานที่สำคัญ โดยให้ ผบ.ม.พัน 4 รอ.เป็นบก.ควบคุม

นำ กำลังจาก ร.1 รอ.กระจายวางกำลังตามเส้นทางสำคัญที่เข้าสู่จุดศูนย์ดุล ดูแลเขตพระราชฐาน รปภ.สถานที่สำคัญ สถานีวิทยุโทรทัศน์ ระบบสาธารณูปโภค และระบบการสื่อสาร

ส่วนกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน รับผิดชอบพื้นที่สาธารณะ อาทิ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สนามม้านางเลิ้ง และบ้านพิษณุโลก

ให้กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) เกียกกาย และหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วางกำลังสกัดกั้น บก.สส., กสช. และสถานีไทยคม และให้ดูแลสะพานพระราม 7 ร่วมกับกองพันทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (ม.พัน 2 รอ.) สนามเป้า เพื่อป้องกันการตอบโต้จากฝ่ายตรงข้าม
7.ระลอกที่สอง ส่งกำลังจากต่างจังหวัด ประกอบด้วยกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จ.กาญจนบุรี ดูแลพื้นที่กทม.ฝั่งตะวันตก ตั้งแต่พุทธมณฑล มาจนถึงสนามหลวง ถนนพระอาทิตย์ ถนนราชดำเนินกลาง ศาลาว่าการกทม. กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย และให้กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จ.ปราจีนบุรี ดูแลพื้นที่กทม.ฝั่งตะวันออก ทั้งเส้นทางรังสิต-องครักษ์, มอเตอร์เวย์ และบางนา-สุวรรณภูมิ

8.ระลอก ที่สาม ให้กำลังจากกองทัพภาคที่ 2 กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยขึ้นตรงต่อกองทัพบก เข้ามาเสริม เพื่อป้องกันการตอบโต้ และเป็นกองหนุน เฝ้าระวัง และคลี่คลาย สถานการณ์ในพื้นที่รอบนอก

9.อย่า ลืมส่งกำลังเข้า ปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ช่องสำคัญๆ ทั้ง 3, 5, 7, โมเดิร์นไนน์ทีวีและเอ็นบีที โดยให้หน่วยที่จะเข้ายึดสถานีโทรทัศน์แต่ละช่อง ศึกษาเส้นทางก่อนล่วงหน้า จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์หน้าแตก เหมือนเหตุการณ์ 19 กันยาฯ ที่ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออนแอร์ออกคำสั่งปลดผบ.ทบ.ผ่านโมเดิร์นไนท์ทีวีได้ เพราะทหารที่จะต้องเข้าไปยึดไปผิดตึก!

10.ร่างเหตุผลที่จะแถลงต่อ ประชาชนถึงการ รัฐประหารครั้งนี้ ถ้าไปศึกษาแถลงการณ์ฉบับแรกของทั้งรสช.ในปีพ.ศ.2534 หรือคปค.ในปีพ.ศ.2549 เหตุผลพื้นฐานที่จะต้องอ้างคือ รัฐบาล “คอร์รัปชั่น” ตามด้วยแทรกแซง “ข้าราชการ-องค์กรอิสระ” ทำให้ประชาชนเกิดความแตกแยก ที่สำคัญ จะต้องปิดท้ายด้วย “มีการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”

จาก นั้นให้เรียกมือกฎหมาย-เนติบริกร “ขาประจำ” มาทำหน้าที่ร่างแถลงการณ์ ประกาศ หรือคำสั่ง ที่จะออกต่อไป ยกตัวอย่าง คำสั่งเรียกตัว “นาย ส.” อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ “นาย น.” แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญให้มารายงานตัว

เมื่อมั่นใจว่าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้แล้ว ให้ออกแถลงการณ์ “ฉบับแรก” เพื่อประกาศชื่อคณะรัฐประหาร  พร้อมแจกแจงเหตุผล

———————————————————————————–
ล้อมกรอบ 1

“ทหารจะถูกกระชับวงล้อม”

นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิด นักเขียน และนักประวัติศาสตร์

กอง ทัพเป็นตัวละครหนึ่ง ซึ่งมีผลประโยชน์, ความต้องการ, ความใฝ่ฝัน ฯลฯ ที่เป็นของตัวเอง แต่ตัวละครตัวเดียวนี้ไม่สามารถปฏิบัติการทางการเมืองแต่ลำพังได้ ต้องเชื่อมโยงกับอำนาจอื่นๆ ทั้งที่อยู่ในระบบ, นอกระบบ, และปริ่มๆ ระบบ โดยหลายครั้งก็สถานการณ์ชักจูงไป

ประโยชน์ของการเข้ามามีอำนาจและ บทบาททางการเมือง 1.เป็นหลักประกันว่าจะได้งบประมาณจำนวนมาก 2.คงทรัพยากรทั้งที่ดินและคลื่นความถี่ไว้ในมือ ทั้งนี้ ไม่รวมผลประโยชน์อุดมการณ์ เช่นได้พิทักษ์ราชบัลลังก์ หรือคงความเป็นไทยไว้

นอก จากกองทัพแล้ว หุ้นส่วนการเมืองไทยปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.อำนาจนอกระบบ 2.ทุน 3.ข้าราชการพลเรือนหรือเทคโนแครต 4.เทคโนแครตนอกระบบราชการ ในตลาดหุ้น ในมหาวิทยาลัย หรือในเอกชน 5.ชนชั้นกลาง และ 6.สื่อ

ความเปลี่ยนแปลงในสังคม จะทำให้หุ้นส่วนข้างต้น ขยับความสัมพันธ์กับกองทัพไปด้วย

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวละครต่างๆ จะทำให้กองทัพอยู่ในฐานะลำบากพอสมควร เพราะกลุ่มที่เอาจริงเอาจัง

ด้วย มีเพียงชนชั้นกลางระดับบน ส่วนหุ้นส่วนอื่นๆ ทั้งทุน, สื่อ, ปัญญาชน, เทคโนแครต ข้าราชการพลเรือน ฯลฯ ล้วนวางใจไม่ได้ อย่างดีก็ให้กองทัพมีส่วนแบ่งทางการเมืองเท่าเดิม ไม่มากไปกว่านี้ หรืออาจทำให้น้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ

“เพราะภาวะผู้นำทางการเมืองที่กองทัพแสดงนั้นดูไร้เดียงสาเกินไป”

———————————————————————————–

ล้อมกรอบ 2

“จอมพลสฤษดิ์ 2 เกิดยาก”

สุรชาติ บำรุงสุข   คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์การทหาร

ที่ ผ่านมากองทัพไทยมักใช้ข้ออ้างพิทักษ์ราชบัลลังก์ เพื่อเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย โดยมีสาเหตุมาจากประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจจากรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ รัฐบาลของคณะราษฎรชุดสุดท้าย เมื่อปี พ.ศ.2490

หลังจากนั้น บรรดานายพลก็อาศัยเล่นการเมืองแบบนี้ โดยเฉพาะยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ระหว่างปี พ.ศ.2501-2506 มีการรื้อฟื้นราชประเพณีโบราณสำคัญหลายอย่าง อาทิ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีการเริ่มต้นพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ รวมทั้งการเปลี่ยนวันชาติจากเดิม 24 มิ.ย.ไปเป็นวันที่ 5 ธ.ค. ขณะเดียวกัน ก็มีการเผยแพร่แนวคิดว่าทหารเป็น “เทศบาลการเมือง” เมื่อใดก็ตาม ที่การเมืองอุดตัน ทหารจะต้องออกมาช่วยล้างท่อ

กองทัพจะยังเข้ามายุ่งกับการเมืองไทยต่อไป เพราะที่ผ่านมาพัวพันมากเกินไป จนถอนตัวออกไปลำบากมาก อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี

เหตุการณ์ 19 กันยาฯ ทำให้ประเทศเสียต้นทุนไปมาก หากเป็นบริษัทก็ต้องบอกว่าตัวเลขติดลบ ทว่ารูปแบบการรัฐประหารในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป คือมีทั้งรัฐประหาร “ดัง” เคลื่อนรถถังยึดสถานที่สำคัญ กับรัฐประหาร “เงียบ” เช่น ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

“ผมตอบไม่ได้ว่าจะมีการรัฐประหารอีกครั้งหรือ ไม่ แต่มองว่าการเลือกตั้งในปีพ.ศ.2554 นี้ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะหวยมันล็อคไว้หมดแล้ว ถ้าฝ่ายค้านแพ้ก็ง่ายหน่อย แต่ถ้าฝ่ายค้านชนะ ก็จะมีวิธีที่ทำให้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ใครก็ตามที่หวังจะเป็นสฤษดิ์ 2 หรือสฤษดิ์น้อย ขอเตือนไว้เลยว่า ไม่ง่าย”

ที่มา : มติชนออนไลน์ 6 กุมภาพันธ์ 2554
โดย : พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฎิรูปประเทศไทย สถาบันอิศรา


อย่านอกหน้าที่

การเมืองไทยเดินมาถึงจุดเขม็งเกลียวมากขึ้น

นักวิเคราะห์การเมืองที่เคยมั่นใจว่าประเทศไทยหมดยุคสมัยที่จะมีการปฏิวัติ อีก หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะในเร็ววันนี้

ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะ ประเทศไทยเพิ่งได้รับบทเรียนมาหมาดๆ

ว่าการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยาฯ 2549 สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมากขนาดไหน

ถึงตอนนี้พิษสงของปฏิบัติการลับ-ลวง-พราง ก็ยังถูกชำระล้างออกไปไม่หมด

แม้เศรษฐกิจจะได้รับการฟื้นฟูจนเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเติบโตได้ไม่เท่าเดิม

ด้านการเมืองไม่ต้องพูดถึง ไล่”ทักษิณ”ออกไปแล้วได้อะไรมาแทน?

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรคงเห็นกันอยู่

ขณะที่ด้านสังคม ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ นักศึกษา ครูอาจารย์ พระสงฆ์ หมอ ฯลฯ ประชาชนเกิดความแตกแยกแบ่งฝ่ายอย่างลึกซึ้ง

บาดแผลจากเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 คือหลักฐานประจานความเลวร้ายไปทั่วโลก และยังไม่เห็นหนทางว่าจะเยียวยาปรองดองกันอย่างไร

แต่ปรากฏว่ามาตอนนี้หลายคนที่เคยเชื่อว่าไม่น่าจะมีการปฏิวัติอีกแล้วเสียง เริ่มเปลี่ยนไป

ความมั่นใจกลายเป็นความลังเล เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ด้วยเหตุเพราะมีปัจจัยแทรกซ้อนขึ้นมาใหม่ๆ หลายประการ

ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ยอมรับว่าเคลิ้มไปเหมือนกันกับข้อมูลจาก “นายทหารแตงโม” ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. ปล่อยออกมา

ทั้งพลเอก “ป” พลเอก “ด” ที่ไปร่วมหารือจัดวางกำลังกันในเซฟเฮาส์

หรือล่าสุดกรณีอดีตนายทหาร “น.ต.” ที่ไม่ใช่ทหารม้า แต่ดอดไปร่วมงานวันทหารม้า ที่ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เดินทางไปร่วมงาน

บวกกับปฏิกิริยาบิ๊กๆ ในกองทัพหลายคนที่ออกมาปฏิเสธข่าวปฏิวัติด้วยท่าทีแข็งกร้าว เหมือนเด็กขโมยของแล้วถูกจับได้ เลยแกล้งทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน

อะไรต่อมิอะไรเลยดูเข้าเค้าไปหมด

สรุปดื้อๆ เลยแล้วกันว่าปัญหาไฟใต้ที่ปะทุรุนแรงต่อเนื่องช่วงนี้ หรืออย่างกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อุณหภูมิพุ่งสูงใกล้ถึงจุดเดือดอยู่รอมร่อ

เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพที่จะต้องเป็นหลักในการหาทางคลี่คลาย

ส่วนเรื่องการเมืองปล่อยให้นักการเมืองเขาแก้ปัญหากันเองตามวิถีทางประชาธิปไตย

จะดีกว่ามั้ย

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์  3 กุมภาพันธ์ 2554
คอลัมน์ : เหล็กใน

 


ความจริงที่ปิดไม่ได้อีกแล้ว!

เอกสารลับของ “วิกิลีกส์” ที่เปิดเผยโทรเลขของนายอีริค จี. จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ที่ส่งรายงานไปยังกรุงวอชิงตัน ฉบับลงวันที่ 20 กันยายน 2549, 1 ตุลาคม 2551, 6 พฤศจิกายน 2551, 25 มกราคม 2553 และมีการเสนอผ่านหนังสือพิมพ์ “เดอะการ์เดี้ยน” ของอังกฤษเมื่อกลางดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้การเมืองไทยสั่นสะเทือนอย่างมาก เพราะมีเนื้อหาที่สำคัญและน่าสนใจอย่าง ยิ่งเกี่ยวกับการเมืองไทยทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และมีการนำไปยึดโยงกับสถาบันเบื้องสูง

อย่างที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความ “บันทึกว่าด้วยโทรเลขวิกิลีกส์ (1) : พลเอกสนธิบอกทูตอเมริกันเรื่องเข้าเฝ้าฯคืนรัฐประหาร” ว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการประเมินสถานการณ์รัฐประหารของทูตสหรัฐ หลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร เข้าเฝ้าฯ ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์ ตีความ และนำเข้าสู่การเรียบเรียงเป็นการนำเสนอในรูปแบบงานเขียนหรือการพูดอภิปราย จึงจะมีความหมายสมบูรณ์โดยแท้จริง

“ในบันทึกสั้นๆข้างล่างนี้ (ต้นฉบับภาษาอังกฤษของสถานทูตสหรัฐ) และในบันทึกฉบับอื่นที่หวังว่าจะตามมาในอนาคตอันใกล้ ผมจะได้พยายามนำเสนอข้อความหรือเนื้อหาในโทรเลขวิกิลีกส์ทั้ง 4 ฉบับเท่าที่จะทำได้ ภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายที่เป็นอยู่ เริ่มต้นด้วยโทรเลขฉบับแรกที่กล่าวถึงการเข้าเฝ้าฯ ในคืนวันรัฐประหาร”

ความจริงแค่ 5-6 บรรทัด

นายสมศักดิ์ยังระบุว่า โทรเลขมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบเกือบจะโดย สิ้นเชิงอย่างที่เป็นอยู่ในสื่อสาธารณะขณะนี้ โดยโทรเลขลงวันที่ 20 กันยายน 2549 ทูตสหรัฐได้รายงานการพบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.สนธิเมื่อบ่ายวันที่ 20 กันยายน 2549 การสนทนาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันมีเพียงสั้นๆ 5-6 บรรทัด

“ผมได้เริ่มต้นด้วยการถามสนธิเกี่ยวกับการเข้าเฝ้าฯในหลวงเมื่อคืนนี้ มีใครเข้าเฝ้าฯบ้าง? สนธิกล่าวว่าประธานองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ ได้นำเขา ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรืองโรจน์ (พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์) และผู้บัญชาการทหารเรือ สถิรพันธุ์ (พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์) เข้าเฝ้าฯ สนธิเน้นว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกเรียกเข้าไปในวัง เขาไม่ได้เป็นฝ่ายพยายามขอเข้าเฝ้าฯ…เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม”

ทูตสหรัฐกับ 3 ผู้อาวุโส?

แต่บันทึกที่สำคัญคือฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2553 จำนวน 15 ย่อหน้า ที่เป็นบันทึกภายหลังจากทูตสหรัฐพบกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และมีการนำไปรายงานผ่านหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนนั้น เป็นเอกสารที่วิกิลีกส์เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ตามเอกสารหมายเลข “S E C R E T SECTION 01 OF 03 BANGKOK 000192” ซึ่งทูตสหรัฐระบุว่าได้สนทนากับ พล.อ.เปรมในระหว่างการรับประทานอาหารกลางวันเมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2553 โดยก่อนหน้านี้ได้สนทนากับ พล.อ.อ.สิทธิที่บ้านพักเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553 และ สนทนากับนายอานันท์เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2552

ในเอกสารการสนทนามีหัวข้อสำคัญหลายหัวข้อ ทั้งเรื่องการตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่องอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ข้อมูลดังกล่าวจะจริงเท็จอย่างไร บุคคลที่อยู่ใน บันทึกทั้ง 4 คนคือ ทูตสหรัฐ พล.อ.เปรม พล.อ.อ.สิทธิ และนายอานันท์ ต้องตอบสังคมเอง แต่ในทางการเมืองแล้วถือว่าบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองที่นำมาซึ่งเหตุผลในการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ การทำรัฐประหาร 19 กันยายน การผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแกนนำสำคัญ

พันธมิตรฯยั่วยุให้รัฐประหาร

ขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนได้เผยแพร่เอกสารหมายเลข “S E C R E T SECTION 01 OF 03 BANG- KOK 003317” ซึ่งเป็นบันทึกลับทางการของทูตสหรัฐ ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ที่ได้จากวิกิลีกส์มีเนื้อความ ตอนหนึ่งระบุว่า แหล่งข่าวของเอกอัครราชทูตสหรัฐผู้หนึ่ง ซึ่งในบันทึกที่เผยแพร่ได้ลบชื่อออก และใส่ชื่อว่า “XXXXXXXXXXXX” เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มุ่งทำให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรงเพื่อจุดชนวนการรัฐประหาร

แหล่งข่าวผู้นี้อ้างว่า เขาได้รับประทานอาหารค่ำกับแกนนำพันธมิตรฯผู้หนึ่งในวันที่ 6 ตุลาคม 2551 แกนนำผู้นี้เล่าว่า พันธมิตรฯจะยั่วยุให้เกิดเหตุรุนแรงในการประท้วงในวันที่ 7 ตุลาคม ที่หน้าอาคารรัฐสภาและได้คาดการณ์ว่ากองทัพจะเข้ายึดอำนาจในวันที่ 7 ตุลาคม

“แหล่งข่าวผู้นี้ยืนยันกับเราว่าพันธมิตรฯ ยังคงมีเจตนาที่จะสร้างเหตุขัดแย้งเพื่อให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 คน ซึ่งจะทำให้การเข้าแทรกแซงของทหารดูเป็นสิ่งจำเป็นและมีความชอบธรรม” บันทึกระบุ

พันธมิตรฯอัด “วิกิลีกส์” เต้าข่าว

ขณะที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงข้อมูลของวิกีลิกส์ว่า เต้าข่าวขึ้นมาโดยไม่มีมูลความจริง เพราะไม่มีการให้สัมภาษณ์หรือการนัดรับประทานอาหารระหว่างแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับทูตสหรัฐ และกลุ่มพันธมิตรฯไม่มีทางพูดในลักษณะนั้นอยู่แล้ว ข่าวดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพันธมิตรฯ เพราะมวลชนรู้จักเราดีพอ ในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวทุกคนอยู่ด้วยกัน รู้ว่าใครเป็นอย่างไร

“ผมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่เรื่องทั้ง หมดที่เสนอในเว็บไซต์เป็นเรื่องเท็จ ใช้ข้อมูลที่คิดขึ้นมาแล้วมาพูดเองเออเอง ทั้งนี้ ข้อมูลที่ผ่านมาในเว็บไซต์ดังกล่าวก็ถือว่ามั่วอยู่แล้ว เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ไม่น่าเชื่อถือ”

ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า ไม่มีแกนนำพันธมิตรฯคนไหนเคยไปเจอนายอีริค จี. จอห์น และเหตุการณ์ 7 ตุลาคมเป็นเหตุการณ์ที่รัฐเข้าล้อมปราบปรามประชาชน ทำให้ประชาชนบริสุทธิ์ต้องล้มตาย ตอนนี้ยังหาตัวคนทำผิดไม่ได้

“ส่วนจะมองว่าเป็นการดิสเครดิตกลุ่มพันธมิตรฯหรือไม่นั้น ผมคิดว่าไม่มีใครวางแผนอะไรแบบนั้นหรอก ส่วนเจตนาของวิกิลีกส์ก็แล้วแต่คนจะคิด มันตลกและเป็นไปไม่ได้ คิดว่ามีเจตนาจะโปรโมตเว็บไซต์ตัวเอง โดยการหยิบเอาเรื่องที่เป็นที่สนใจของสังคมมานำเสนอ เป็นเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ”

อัดสื่อ “หมาข้างถนนงับคริสปี้”

ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถึงเว็บไซต์วิกิลีกส์กรณีเผยแพร่เอกสารลับ ซึ่งตอนหนึ่งพาดพิงถึง พล.อ.เปรมว่า ไม่มีทางที่ พล.อ.เปรมจะกล่าวกับนักการทูตแน่นอน

“ตอนที่เมืองไทยมีปฏิวัติ 19 กันยา พวกนี้จะหาเหตุว่าใครเป็นคนทำให้มีการปฏิวัติ ใครเป็นคนสั่ง ใครอย่างโน้นอย่างนี้ แต่คนพวกนี้เนื่องจากว่าเป็นเอกสารที่เหมือนผมไปคุยกับแอน (พิธีกรร่วม) สมมุติว่าแอนสนิทสนมกับนายพลคนหนึ่งซึ่งมีอำนาจ ผมคุยกับแอนเสร็จก็มาพิมพ์รายงาน ระหว่างที่ผมพิมพ์ผมไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อว่าผมคุยกับแอน ผมสามารถใส่ว่าผมคุยกับนายแอน ใครจะรู้ล่ะ เพราะเอกสารนี้ถูกส่งโดยตรงผ่านเอกอัครราชทูตเอ็นคริป ใส่รหัส เข้าสเตท ดีพาร์ตเมนต์ ก็คือกระทรวงต่างประเทศเขา มีแต่พวกเขารู้เท่านั้นเอง ฉะนั้นแล้วมันจึงเป็นเอกสาร ซึ่งพอวิกิลีกส์แฉออกมา มันไปแฮคข้อมูลออกมา เลยกลายเป็นว่าทูตคนนี้คุยกับ พล.อ.เปรม ทูตคนนี้คุยกับ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา ผมจะบอกให้ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราไม่ซี้ซั้ว อย่าง พล.อ.เปรมท่านไม่ซี้ซั้วคุยอย่างนี้หรอก ธรรมดาคนใกล้ชิดท่านยังไม่คุยเลย”

นายสนธิยังกล่าวว่า มีคนอยู่ประเภทหนึ่งในทุกสังคม สังคมไทยก็มี ประเภทสอดรู้สอดเห็น เสือกทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซึ่งเคยอยู่ในรัฐบาล คนซึ่งเคยมีชื่อเสียง มีความรู้สึกว่าทูตอเมริกันมาคุยกับฉันสุดยอด เป็นคนสำคัญ พอมาคุยแล้วทูตอเมริกันหรือซีไอเอก็จะรู้ว่าไอ้หมอนี่สนิทสนมกับรัฐบุรุษคน นี้ อาจจะสนิทกับ พล.อ.เปรมหรือ พล.อ.สนธิ “เฮ้ย 19 กันยา สนธิเขาว่าอย่างไร อ๋อ นายผมเหรอ เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ทีนี้เวลารายงานมันจะรายงานว่ามันคุยกับลูกน้อง พล.อ.สนธิเหรอ มันก็บอกว่ามันคุยกับ พล.อ.สนธิ นี่คือที่มา ทีนี้ไอ้คนไทยที่มันยังไม่ฉลาด ไม่ลึกซึ้ง ไม่รู้วิธีการทำงานเขา พอเห็นข้อมูลมาก็กระโดดงับเลย เหมือนหมาข้างถนนงับคริสปี้

พอมันเป็นเคเบิลมาจากสเตทดีพาร์ตเมนต์ แล้ววิกิลีกส์มันแฉออกมา ทุกคนที่ได้บอกว่าของจริง โดยไม่คิดว่าที่มาของข้อมูลเป็นอย่างไร วิธีการหาข้อมูลของเขา เป็นอย่างไร พอรู้เรื่องกระบวนการทั้งหมดแล้วถึงจะเข้าใจว่าข้อมูลทั้งหมดที่ส่งไปผมว่า จริงอย่างมากไม่เกิน 20-30%”

ความจริงที่ต้องทำเป็นมองไม่เห็น

เอกสารลับดังกล่าวจะจริงหรือเท็จอย่างไร ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคงต้องออกมาชี้แจงหรือตอบสังคมเอง อย่างที่แกนนำพันธมิตรฯตอบโต้ดังกล่าว แต่อย่างน้อยวิกีลิกส์ก็ทำให้ผู้มีอำนาจในประเทศไทยต้องตระหนักถึงการกระทำ ต่างๆที่ไม่ชอบธรรมและการประพฤติชั่วต่างๆ โดยเฉพาะพวก “หน้าไหว้หลังหลอก” หรือ “โจรในคราบผู้ดี” ที่ทำให้คนไทย “ตาสว่าง” และรู้ถึงความน่ากลัวของการเมืองไทยที่มีทั้งมุมมืดและมุมสว่าง ซึ่งไม่สามารถนำมาเปิดเผยหรือพูดในพื้นที่สาธารณะได้ รวมทั้งสื่อเองก็ต้องทำเป็นตาบอด เป็นใบ้ หูหนวก แต่กลับถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างตรงไปตรงมาตามเว็บไซต์ต่างๆ ในขณะที่คนไทยต้องทำเป็น “ปิดตาข้างเดียว” หรือมองอะไรไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยเป็นสำคัญ

เช่นเดียวกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เปิดเผยบันทึกการสอบสวนและสำนวนชันสูตรพลิกศพเหตุการณ์สลายการชุมนุม ระหว่างวันที่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม 2553 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 4 กรณีคือ 1.การตายของประชาชนในวัดปทุมวนาราม 2.การตายของผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น 3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต 4.การตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ซึ่งมีหลักฐานระบุชัดเจนทั้งหัวกระสุนและพยานบุคคลว่ามีเจ้า-หน้าที่รัฐ เกี่ยวข้อง

แม้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะออกมาปฏิเสธและกล่าวหาว่านายจตุพรมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานและ ขัดขวางการทำงานของพนักงานสอบสวน ทั้งที่ครั้งแรกยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนสอบสวนจริง แต่เป็นเพียงบางส่วนในสำนวนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเว็บไซต์ประชาไท (www. prachatai3.info) ได้ตีพิมพ์เอกสารดังกล่าว โดยระบุว่าได้รับจากแหล่งข่าวที่ไม่อาจเปิดเผย เป็นบันทึกการสอบปากคำพยานและผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์สังหารประชาชน 6 ศพภายในวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยหัวกระดาษระบุว่าเป็นเอกสารของดีเอสไอ แต่จะเป็นเอกสารฉบับเดียวกับที่นายจตุพรกล่าว อ้างและนายธาริตปฏิเสธหรือไม่นั้น เอกสารดังกล่าวก็ทำให้เห็นปัญหาสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมของประชาชนที่ กลายเป็นเหยื่อของผู้มีอำนาจ ซึ่งเอกสารดังกล่าวยังระบุถึงพยานเอกสาร เช่น รายงานการชันสูตรพลิกศพ หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ คำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ สำเนาบัญชีเบิกจ่ายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ฯลฯ แผ่นซีดีจากพยานและพยานวัตถุ เช่น ปลอกกระสุนและกระสุนปืน ฯลฯ

ความจริง 91 ศพ

เอกสารหลักฐานการชันสูตรศพดังกล่าวที่ระบุว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาล ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และผู้นำกองทัพต่างพยายามให้ข่าวและยืนยันตลอดมาว่าทหารไม่ได้ยิงประชาชน ไม่ได้ฆ่าประชาชน แต่ระบุว่าผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งเกิดจาก “ไอ้โม่งชุดดำ” และใช้กล่าวหาแกนนำ นปช. รวมถึงคนเสื้อแดงหลายร้อยคน ก่อนจับมาดำเนินคดีและคุมขังนั้น ความจริงต่างๆกำลังจะถูกเปิดเผยและปิดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากรัฐบาลไม่เคยจับ “ไอ้โม่งชุดดำ” ได้ ทั้งข้อสงสัยเรื่อง “ใครเผาเซ็นทรัลเวิลด์กันแน่” กำลังเป็นหอกคำถามที่พุ่งกลับเข้าใส่รัฐบาลอภิสิทธิ์

เหมือนเอกสารลับของวิกีลิกส์เกี่ยวกับการทำรัฐประหาร 19 กันยา และการยึดกุมอำนาจต่างๆไม่เพียงทำให้สังคมไทยมีคำถามกับผู้อาวุโสต่างๆ ที่มีอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบว่าจริงหรือเท็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือเป็นประชาธิปไตยภายใต้ “รัฐทหาร” ที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ

ใครคุมใคร?

เพราะวันนี้เสียงของผู้นำรัฐบาลกับเสียงของผู้นำกองทัพแตกต่างกันสิ้นเชิง แม้นายอภิสิทธิ์จะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดหรือรัฐบาลนอมินี อย่างที่ให้สัมภาษณ์ “เอเชียไทม์ออนไลน์” เมื่อไม่นานมานี้ว่ากองทัพไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน

แต่ประชาชนส่วนใหญ่ นักวิชาการ และสื่อต่างชาติเห็นว่าเป็นคำพูดที่เพ้อฝัน เพราะนายอภิสิทธิ์เป็นหนี้บุญคุณกองทัพ ไม่ใช่แค่การจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเท่านั้น แต่ยังคอยปกป้องนายอภิสิทธิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหมือน “ไข่ในหิน” ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารของทูตสหรัฐที่วิกิลีกส์เผยแพร่

ขณะที่คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ให้สัมภาษณ์นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดในกองทัพ แสดงให้เห็นถึงความแข็ง กร้าวและตรงไปตรงมา อย่างความเห็นเกี่ยวกับการที่คนเสื้อแดงจะยกระดับการชุมนุมประท้วงหลังยก เลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า “ทหารมีความพร้อม” ต้องไปตีความกันเองว่าพร้อมจะดูแลความสงบเรียบร้อยตามคำสั่งรัฐบาล หรือพร้อมจะใช้กำลังและอำนาจเหมือนผู้นำกองทัพที่ผ่านมา

อำนาจของกองทัพ

ที่ผ่านมาจึงไม่มีใครปฏิเสธว่ากองทัพแทบไม่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือนเลย ดังนั้น นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมากว่า 78 ปี ประเทศไทยจึงมีการทำรัฐประหารมากที่สุดในโลก แม้แต่ปัจจุบันกองทัพไทยก็มีอำนาจทั้งทางตรงและทางอ้อมในการเมืองไทย

จึงไม่แปลกที่นายอภิสิทธิ์จะอยู่ในอำนาจมากว่า 2 ปีได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่มีปัญหามากมาย ทั้งความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน และการกดดันจากภาคประชาชน

อย่างที่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ บอกว่า ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ล้วนยอมรับว่ากองทัพมีบทบาทสำคัญทางการเมืองอย่างยิ่ง จนกลายเป็นหัวข้อศึกษาที่นักวิชาการเฝ้าศึกษาวิเคราะห์มานาน และมักจะวิเคราะห์อำนาจของกองทัพกับกลุ่มอำนาจต่างๆในสังคม ซึ่งการเมืองไทยมักถูกวิเคราะห์ในแนวว่ามีอำนาจนอกระบบ มือที่มองไม่เห็น หรือเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นปัจจัยชี้ขาด จนกระทั่งบางครั้งลืมอำนาจของกองทัพ ทั้งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดทางการเมือง

“อำนาจของกองทัพเหนือการเมืองนั้นไม่ได้มาจากรถถัง ทหารป่าหวาย หรือปืนยิงเร็ว ฯลฯ นั่นก็ใช่ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ส่วนสำคัญ กองทัพจะยึดอำนาจหรือรักษาอำนาจของตนในการเมืองไว้ได้ก็เพราะกองทัพได้รับความเห็นชอบจากส่วนอื่นๆ ที่มีพลังในสังคม เมื่อตอนที่กองทัพทำรัฐประหารสำเร็จ นายแบงก์และนายทุนธุรกิจพากันหิ้วกระเช้าไปแสดงความยินดีกับหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่จริงแล้วเขาพากันไปแสดงความยินดีกับตนเองไปพร้อมกันด้วย เพราะการยึดอำนาจครั้งนั้นเขาเห็นชอบ และบางครั้งถึงกับเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินอยู่เบื้องหลังบางส่วนด้วยซ้ำ”

ความจริงที่ปิดไม่ได้

อย่างไรก็ตาม อำนาจของกองทัพไม่ต่างกับการรัฐประหารที่นับวันมีแต่จะเสื่อมถอยไปตามกระแสโลก ซึ่งส่วนใหญ่รังเกียจและต่อต้านอำนาจเผด็จการ แม้แต่รัฐบาลทหารพม่าที่ถือเป็นเผด็จการสุดขั้วยังต้องยอมอ่อนโอน เพื่อไม่ให้ถูกกดดันจนไม่มีทางออก

โดยเฉพาะการเมืองไทยที่ประกาศเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่กลับวนเวียนอยู่ภายใต้กองทัพ หรือ “รัฐทหาร” ในที่สุดก็ไม่อาจต้านกระแสประชาชนและสังคมโลกได้ ไม่ว่าจะพยายามบิดเบือนหรือโฆษณาชวนเชื่อใดๆ เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น

อย่างที่นายบัณฑร อ่อนดำ หนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) กล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปราชการ 10 ปียังทำไม่สำเร็จ ภาพร้ายของประเทศไทยจึงมีทั้งการเมืองแย่งชิงและทำลายกันเอง ระบบราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน การค้าการลงทุนถูกครอบงำจากกลุ่มทุนข้ามชาติ การศึกษาก็ย่ำแย่

“ถ้าปฏิรูปไม่ได้จะเกิดปฏิวัติโดยประชาชน ไม่ต้องรอใครมาจัดการแล้ว ชาวบ้านจะฟันเอง เหมือนหมาจนตรอก จะเป็นอย่างนั้น อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ก็วิเคราะห์ไว้ ชาวบ้านไม่มีอะไรจะเสียแล้ว คนจนไม่มีทางออก อยู่เฉยๆก็ตาย อย่างคนอยู่ภาคใต้ก็พูดอย่างนี้ ภาคอื่นๆก็จะมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ถ้าถูกกระทำทุกทาง มีชีวิตแบบตายทั้งเป็น อยู่ทำไม สู้ตายดีกว่า”

ดังนั้น ไม่ว่าการเมืองไทยที่อยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพหรือ “มือที่มองไม่เห็น” แต่ในที่สุด “ความจริง” ก็ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป เหมือนเอกสาร “วิกิลีกส์” ที่ประจานอำนาจนอกระบบในประเทศไทยไปทั่วโลก เช่นเดียวกับหลักฐานการสังหารโหด 91 ศพในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”

แม้สังคมไทยจะ (ทำเป็น) ไม่เห็น ยอมก้มหัวให้อำนาจเผด็จการและความอยุติธรรม แต่ไม่อาจปิดบังความจริงที่คนทั้งโลกเห็นได้!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6  ฉบับ 292 วันที่ 1 – 7 มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน