ผู้นำ 2 สัญชาติ!

ปีเสือดุ (2553) “หล่อหลักลอย” จีบปากจีบคำกรณี “โดเรแม้ว” ได้สิทธิเป็นพลเมืองของ “ยูโร” ให้ตอบว่าจะยกเลิกสัญชาติไทยหรือไม่ เพราะตามเจตนารมณ์ของ “กฎหมาย” ไม่ใช่ “กฎหมา(ย)” ให้มีสัญชาติเดียว ซึ่งเจ้าตัวต้องเลือก

เช่นเดียวกับคนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีผู้ถือ 2 สัญชาติก็ต้องเป็นไปตาม “กฎหมาย” เพราะใครก็ตามเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะไม่ให้ถือ 2 สัญชาติ ต้องเลือกว่าจะถือสัญชาติใด

วันนี้ปีกระต่ายอับเฉา (2554) “หล่อหลักลอย” จนมุม ต้องยอมรับกลางสภาว่าวันนี้ตนเองถือ 2 สัญชาติ หลังจากตะแบงตีกรรเชียงไม่ยอมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา ไม่รู้ว่ากลัวความจริงหรือกลัวผีสางนางไม้

คำพูดที่ออกมากลางสภาของ “หล่อหลักลอย” ทำให้เห็นวิญญาณ “ศรีธนญชัย” มากกว่าความเป็น “ผู้นำ” เพราะแทนที่จะสารภาพบาปและกลับตัวกลับใจเป็น “พลเมืองดี” ไม่ใช่เป็นแค่ “คนดี” ของ “อีแอบ” และเคารพ “กฎหมาย” อย่างที่เคยพูดไว้เมื่อปีเสือดุว่าตามเจตนารมณ์ของ “กฎหมาย” ให้มีสัญชาติเดียว

โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำของบ้านเมืองกลับตะแบงหน้าด้านๆอย่างไม่อายฟ้าอาย ดิน ไม่ยอมถือสัญชาติเดียว ยังแดกดันเป็น “นักเลงโต” ตาม “สันดอน” ที่แท้จริงว่าต้องให้คนอื่นที่ถือ 2 สัญชาติสละสัญชาติ “อีแอบ” ให้เหลือสัญชาติเดียวด้วย

ถามเรื่องสัญชาติตัวเอง แต่ตะแบงตอแหลไปด่าเรื่องสัญชาติของคนอื่น!

ถ้าบ้านเมืองมี “ผู้นำ” ที่ไม่เคารพแม้แต่ “กฎหมาย” แล้วจะให้ประชาชนเคารพกฎหมายได้อย่างไร?

คนเป็น “ผู้นำ” ซึ่งจีบปากจีบคำรับใช้ประเทศชาติและประชาชนนั้นไม่ใช่แค่ต้องเป็นผู้ที่มี คุณธรรมและจริยธรรมสูงกว่าคนทั่วไปแล้ว ยังต้องพร้อมแสดงความโปร่งใสและให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อเป็น “ตัวอย่างที่ดี” ไม่ใช่ “ตัวอย่างที่เลว” เหมือนตัวเอง “ทำชั่ว” ได้ “ไม่ผิด”!

สันดอนโกหกตอแหลเยี่ยง “ศรีธนญชัย” หรือ “พินอคคิโอ” ของ “หล่อหลักลอย” นั้นยิ่งนานวันยิ่งปรากฏ เหมือน “เด็กเลี้ยงแกะ” ที่โกหกจนไม่มีใครเชื่อ อย่างที่ถูกตีแผ่หราบนปก “โลกวันนี้วันสุข”

แม้วาทกรรมโกหกตอแหลจะไม่ทำให้ “จมูกยาว” แต่ทำให้บ้านเมืองยิ่งหายนะ เพราะมีแต่คนโกหกตอแหลและถืออำนาจเป็นใหญ่ บ้านเมืองมี “กฎหมาย” ก็เหมือน “กฎหมา(ย)”

มี “ท่านเปา” ก็เหมือน “ซาลาเปา” ที่ติดสัญลักษณ์ “2 มาตรฐาน” บน “ศาลาโกหก”

วันนี้คนทั้งแผ่นดินถามว่าทำไม “หล่อหลักลอย” จึงไม่ยอมสละสัญชาติ “เมืองผู้ดี” จะมีไว้เพื่อใช้ “อภิสิทธิ์” หรือเพื่อ “ลี้ภัย” ในข้อหา “ฆาตกร”!

น่าอับอายสิ้นดี!

ที่มา : โลกวันนี้ 4 มีนาคม 2554

 


ว่าด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

วันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมานี้ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ รักษาการโฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้นำคณะจำนวนหนึ่งไปยื่นหนังสือขอให้ดำเนินคดี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี และนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ข้อหาหมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูงและดูหมิ่นองค์รัชทายาท โดยอ้างอิงถึงข้อมูลจากเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” ที่ได้เผยแพร่เนื้อหาโทรเลขของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐที่ส่งไปยังกระทรวง ต่างประเทศของประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างบุคคลทั้งสามกับนายอีริค จี. จอห์น อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐ โดยมีความจงใจพาดพิงต่อองค์รัชยาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดร้ายแรง

หลังจากนั้นได้มีแถลงการณ์ของสมัชชาสังคมก้าวหน้าแสดงการคัดค้าน โดยเสนอให้ นปช. ทบทวนและยุติการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการกล่าวร้ายคนอื่น โดยเสนอว่าแม้ในระยะเวลาที่ผ่านมาขบวนการ นปช. ต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ โดยถูกกล่าวร้ายในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและล้มเจ้า แต่ไม่มีความจำเป็นใดที่ฝ่าย นปช. จะใช้ข้อหาเดียวกันมาเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ในเมื่อข้อหาเช่นนี้เป็นเครื่องมือที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และฝ่ายสมัชชาสังคมก้าวหน้าเสนอว่า นปช. ไม่ควรเคลื่อนไหวด้วยการใช้วิธีการอะไรก็ได้ เพียงแต่ขอให้ได้รับชัยชนะเป็นพอ โดยไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย

โดยความเป็นมาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งมีสาระสำคัญว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่การใช้ข้อหาตามนัยมาตรานี้เป็นเครื่องมือในการทำลาย ศัตรูทางการเมือง ซึ่งก่อให้เกิดการใส่ร้ายป้ายสีและสร้างความเสียหายอย่างมากแก่การเมืองใน แบบประชาธิปไตย ดังจะเห็นได้จากในประวัติศาสตร์เมื่อเกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมใส่ร้ายนายปรีดี พนมยงค์ ว่าอยู่เบี้องหลังกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และนำเรื่องนี้ไปสร้างความชอบธรรมให้แก่คณะรัฐประหาร สร้างภาพจนนายปรีดีกลายเป็นปิศาจร้าย ทั้งที่นายปรีดีเคยสร้างคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมากมาย ผลของการใส่ร้ายป้ายสีทำให้มีมหาดเล็กผู้บริสุทธิ์ 3 คนถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2498 ซึ่งกลายเป็นจุดด่างในประวัติศาสตร์ของขบวนการตุลาการไทย และเรื่องนี้ยังทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยในต่างประเทศ ไม่ได้กลับประเทศไทยเลย

ต่อมากรณี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 กลุ่มอนุรักษ์นิยมก็ก่อเรื่องใส่ร้ายป้ายสีขบวนการนักศึกษาว่าหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพองค์รัชทายาท แต่ก่อนจะมีการนำตัวนักศึกษาที่ถูกกล่าวหามาดำเนินคดีตามมาตรา 112 กลับนำประเด็นนี้มาเป็นเครื่องมือสร้างกระแสปราบปรามนักศึกษา ประชาชน จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จากนั้นได้สนับสนุนให้คณะทหารก่อการยึดอำนาจ สถาปนาระบอบเผด็จการ โดยให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร มาเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่ระบอบเผด็จการนั้นอยู่ได้เพียงปีเดียวก็ถูกคณะทหารโค่นแล้วนำมาสู่ การฟื้นฟูประชาธิปไตย

ในกรณี 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะทหาร รสช. นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้อ้างเหตุเรื่องกรณีปลงพระชนม์เบื้องสูงมาใส่ร้ายรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งกลายเป็นเรื่องไร้สาระที่สุด เพราะกรณีนี้สืบเนื่องมาจาก พล.ต.มนูญ รูปขจร ถูกกล่าวหากรณีลอบปลงพระชนม์ โดยมีเป้าหมายที่บุคคลเบื้องสูง ทั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อน พล.อ.ชาติชายจะรับตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่มีหลักฐานใดเลยว่า พล.อ.ชาติชายจะไปเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม คณะทหารใช้โอกาสอันคลุมเครือก่อการรัฐประหารล้มล้างระบอบประชาธิปไตยแล้วนำ คณะทหารมาสู่อำนาจ แต่ในที่สุดก็เหตุการณ์พฤษภาประชาธรรมใน พ.ศ. 2535 แม้ว่าพลังอำนาจของฝ่ายประชาชนจะโค่นเผด็จการของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้แต่ก็แลกด้วยการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนจำนวนมากเช่นกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ามีการใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการ เมืองเพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า และในกรณีบุคคลก็มี เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้กล่าวในการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2529 ก็ถูกฝ่ายทหารอนุรักษ์นิยมไปฟ้องศาลว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และทำให้นายวีระต้องถูกตัดสินลงโทษ

พรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยตกเป็นเหยื่อในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช กรรมการพรรค นำพระราชดำรัสมาพิมพ์เป็นข้อความหาเสียงเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2548 ปรากฏว่าคุณหญิงกัลยาและคณะ 5 คนถูกฟ้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งแทบจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ได้มีการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เป็นประโยชน์ในการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมืองแล้ว ยังก่อให้เกิดการรัฐประหารทำลายประชาธิปไตยหลายครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุดคือ รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ก็มีการใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเล่น งานฝ่ายประชาชนเสื้อแดง หรือกลุ่มที่ต่อต้านการทำรัฐประหารหลายสิบคดี ที่ทราบกันดี เช่น คดี “ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล” หรือ “ดา ตอร์ปิโด” กล่าวที่สนามหลวงในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 โจมตีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ชอบอ้างอิงพระบรมเดชานุภาพมาเป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง ซึ่งนายสนธิได้นำข้อความนั้นมาเผยแพร่ต่อทางสื่อมวลชนให้แพร่หลายไปทั่ว ประเทศ ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก “ดา ตอร์ปิโด” ถึง 18 ปี และขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นศาลอุทธรณ์

บางคดีก็เป็นเรื่องของการตีความอันเหลือเชื่อ เช่น คดี “ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์” หรือ “เจ๊แดง” แกนนำกลุ่มคนของแผ่นดินลูกหลานย่าโม ถูกฟ้องสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552 ได้นำกลุ่มเสื้อแดงโคราชไปประท้วงที่บริเวณลานข้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดยมีการเผาโลงศพจำลองระบุข้อความข้างโลงศพที่มีคำว่า “พระองค์ท่าน” รวมทั้งชื่อของ พล.อ.เปรม พันธมิตรฯ และรัฐบาลโจร โดยมีภาพใบหน้า พล.อ.เปรมและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยู่ข้างโลงศพจำลอง โดยคำฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตีความคำว่า “พระองค์ท่าน” หมายถึงเบื้องสูง ซึ่งศาลชั้นต้นนครราชสีมาตัดสินให้ “ปภัสชนัญญ์” มีความผิดจริงตามการตีความ

นอกจากนี้ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมารัฐบาลอภิสิทธิ์โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เผยแพร่แผนผังล้มเจ้ากล่าวร้ายว่ามีเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าอย่างเป็น ระบบ ซึ่งมีชื่อทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ นปช. เพื่อให้การใส่ร้ายป้ายสีกลายเป็นความชอบธรรม

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกลายเป็นเครื่องมือในการหาเหตุควบคุม และลงโทษประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายอำมาตย์และต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน การที่ฝ่าย นปช. ยื่นให้ดำเนินคดี พล.อ.เปรม พล.อ.อ.สิทธิ และนายอานันท์คงจะไม่ประสบผลในทางปฏิบัติ แต่จะเป็นการย้ำถึงลักษณะ “สองมาตรฐาน” ในสังคมไทยอีกครั้งหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไปอย่าง “ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล” หรือ “ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์” ที่ต้องถูกดำเนินคดี แต่บุคคลทั้ง 3 ท่านจะถูกดำเนินคดีหรือไม่?

ดังนั้น ในกรณีนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับฝ่ายสมัชชาสังคมก้าวหน้าว่าถ้าหากข้อหาตาม มาตรา 112 เป็นเครื่องมือของชนชั้นนำที่สร้างความชั่วช้าในสังคม ฝ่ายประชาชนคนเสื้อแดงก็ไม่ควรที่จะใช้เครื่องมืออันเดียวกัน ในทางตรงข้ามคนเสื้อแดงควรจะร่วมรณรงค์ให้เลิกการใช้ข้อหาดังกล่าวและคืนสิทธิมนุษยชนอันสมบูรณ์แก่ประชาชนจะดีกว่า

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 14-20  มกราคม พ.ศ. 2554 หน้า 9 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย



โลกแบน!

อยู่ “ไทยแลนด์” ไม่ว่าจะ “ยิ้ม” หรือ “แยกเขี้ยว” ก็ต้องทำใจ “เชื่อ” ทุกสิ่งที่ “ผู้มีอำนาจ” พูด เพราะมิฉะนั้นอาจกลายเป็นพวก “ไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน”

ข้อหาเป็นพวกนอกคอก ป่วนเมือง หรือก่อการร้าย จึงอยู่ที่ “ผู้มีอำนาจ” จะประเคนหรือยัดเยียดให้ เหมือน “ไพร่ไม่มีเส้น” ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรม กลับกลายเป็นพวกก่อการร้ายและล้มสถาบัน

เพราะ “ศูนย์อับเฉา” มีอำนาจตาม “พ.ร.ก.ฉกฉวย” จะเรียกใคร จะกล่าวหาใคร จะระงับยับยั้งไม่ให้ใครเดินทาง ไม่ให้ใครใช้เงิน ก็ทำได้ แค่ “คิดว่า” หรือ “สงสัย” ว่าใครก็ตามที่เข้าข่ายเป็น “ภัย” กับความมั่นคง “ของกูและพวกกู”

อยู่ “ไทยแลนด์” จึงต้องเชื่อว่า “โลกแบน” อย่างพาดปก “โลกวันนี้วันสุข”!

ใครอยู่ประเทศนี้หากบังอาจเชื่อว่า “โลกกลม” ก็เท่ากับทำตัวเป็น “ภัย” กับความมั่นคง เป็นพวกไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน!

จึงไม่แปลกที่ “บิ๊กดีแต่ไอ” คิดจะเปลี่ยนข้อหา “ไพร่กลุ่มฮาร์ดคอร์” จากความผิด “พ.ร.ก.ฉกฉวย” ที่ติดคุกแค่ 2 ปี เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่มีโทษถึงประหารชีวิต แค่เพราะจะเลิกใช้ “พ.ร.ก.ฉกฉวย” และกลัว “คนไม่ได้ฆ่าคน ไม่ได้ทำร้ายคน” จะลอยนวล!

แต่ “บิ๊กดีแต่ไอ” กลับทำเหมือนคนตาบอดหูหนวกปล่อยให้ “คนสั่งฆ่าลอยหน้า คนฆ่าลอยนวล”

ถ้าบ้านเมืองที่มี “เสาหลักปักคอนกรีต” ไม่ได้เป็น “เสาหลักปักขี้เลน” ก็ต้อง “งง” เป็น “ไก่ตาแตก” ถึงอำนาจที่ล้นฟ้าคับแผ่นดิน จะกล่าวหา ใส่ร้าย ให้ “ใครเป็น-ใครตาย” ก็ได้ในพริบตา

ทำเหมือนบ้านเมืองมีแต่ “ศาลพระภูมิ”!

“ผู้มีอำนาจ” ใน “ไทยแลนด์” จึงเปรียบเหมือน “เทวดา” ที่อยู่เหนือ “มนุษย์ขี้เหม็น”

ดังนั้น พวกหัวแดง หัวดำ หัวทอง ตาตี่ ตาโต ถ้าเข้ามาอยู่บนแผ่นดิน “ไทยแลนด์” จึงต้องท่องจำ “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” จะทำอะไรอย่างที่เคยอยู่บ้านเกิดเมืองนอนตัวเองไม่ได้

อย่างที่ “เทพอมสาก”แสดงบารมี “ใหญ่คับแผ่นดิน” เตือน “บิ๊กอาทิตย์อุทัย” อย่าคิดเป็น “มหาอำนาจ” แล้วจะเอาอะไรให้ได้ดังใจทุกอย่าง!

แค่ “ตายคนเดียว” จะโวยวายไปทำไม เพราะเพิ่งผ่านไปแค่ 6 เดือนจะเอาหลักฐาน “กระสุน” ว่ายิงจากทิศทางไหน ชนิดอะไร และยิงจากอาวุธอะไร?

ขนาด “6 ตุลาคม 2519” คนตายเป็นเบือ ผ่านมากว่า 34 ปีทุกคนที่อยู่ “ไทยแลนด์” ยังยิ้มและหน้าชื่นตาบาน ไม่มีใครสนใจว่า “มีคนตายเท่าไร”

เพราะ “ศาลพระภูมิ” ไม่ได้บอกว่าใครผิด ใครสั่งฆ่า และใครฆ่า?

เพราะที่นี่คือ “ไทยแลนด์” ทุกคนต้องเชื่อว่า “โลกแบน” และต้องยอมรับว่า “กฎหมาย” ที่นี่ไม่มี “ย.ยักษ์”

อยู่ที่นี่…จึงต้องเคารพ “กฎหมา (ย)” และ “ศาลพระภูมิ”!

ที่มา : โลกวันนี้ 17 ธันวาคม 2553

 


แดงนอนคุก

“ปล่อยคนผิดสิบคนดีกว่าจับกุมผู้บริสุทธิ์เพียงคนเดียว”

ใครเคยดูละครเปาบุ้นจิ้นคงได้ยินประโยคนี้อยู่บ่อยๆ

โดยเฉพาะตอน ‘ท่านเปา’ ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาตัดสินได้ว่าคดีที่เกิดขึ้น คนกระทำความผิดแท้จริงคือใคร ก็เลยจำเป็นต้องปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไปก่อนเพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์

เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมและหลังจากนั้นเป็นต้นมา

ศอฉ.เหวี่ยงแหจับกุมประชาชนยัดใส่คุกตะรางจำนวนมาก

โดยไม่มีการสอบสวนใดๆ ให้แน่ชัดเสียก่อนว่าคนที่ติดร่างแหมานั้น มีส่วนก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงจริงหรือไม่

ผลคือมีผู้บริสุทธิ์หลายคนต้องติดคุก อีกทั้งไม่ได้รับการประกันตัวตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมปกติ

ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่นานถึงครึ่งปีเลยทีเดียว

ล่าสุด นายนที สรวารี นายกสมาคมสร้างสรรค์ กิจกรรมอิสรชน ซึ่งเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพให้คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ตามเรือนจําทั่วประเทศกว่า 100 คน ออกมาเผยข้อมูลศาลแขวงปทุมวัน มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา

ให้ยกฟ้องกรณี นายสมพล แวงประเสริฐ ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ตามประกาศของศอฉ.และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากการไต่สวนของศาลพบว่าเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่

การลงบันทึกจับกุมหลายประเด็นบ่งชี้ว่าเป็นการจับกุมโดยใช้อำนาจหน้าที่มิชอบและกระทำการเกินกว่าเหตุ

นายสมพล เป็นแค่คนเร่ร่อน อาชีพเก็บขยะขาย อาศัยอยู่ใต้ทางด่วนแถวๆ ปทุมวัน ช่วงชุลมุนดันไปอยู่ผิดที่ผิดทางก็เลยตกเป็นเหยื่อกวาดจับมั่วของศอฉ.

คำถามคือยังมีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกจากการกระทำอันเกินกว่าเหตุของศอฉ. ภายใต้กฎหมายเผด็จการอย่างพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีกจำนวนเท่าไหร่?

ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือบางคนที่ได้รับเงื่อนไขให้ประกันตัวออกมา

ยังต้องไปรายงานตัวเพื่อขอบคุณนายกฯ ที่เป็นคนสั่งการให้จับกุมอีกต่างหาก

กับหลักความยุติธรรมกลับหัวกลับหาง

จับผู้บริสุทธิ์สิบคน ดีกว่าปล่อยคนผิดหนึ่งคน

ถ้าเปาบุ้นจิ้นยังอยู่แล้วบังเอิญผ่านมาประเทศไทยในยุคนี้ คงกระอักเลือดตายก่อนได้กลับศาลไคฟง

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ 6 ธันวาคม 2553
โดย : เหล็กใน


โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนาย”แม้ว”เปิดแผนแก้ข้อกล่าวหา

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนาย”แม้ว”เปิดแผนแก้ข้อกล่าวหา
ที่มา : ข่าวสดรายวันวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7186

เป็นทนายที่มีชื่อระดับโลก ว่าคดีความใหญ่ๆ ในหลายประ เทศ แต่คนไทยเพิ่งจะรู้จัก โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ในฐานะทนายส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และที่ปรึกษากฎหมายของกลุ่มนปช. รับว่าจ้างมาทำคดีนี้ได้อย่างไร ตั้งเป้าความสำเร็จแค่ไหน ทำไมรับว่าแต่คดีที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล รวมถึงข้อกล่าวหาพยายามล้มรัฐบาล รัสเซีย นายโรเบิร์ตให้สัมภาษณ์พิเศษกับข่าวสด ไว้ดังนี้

ประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงาน

ผมเกิดที่บร็องซ์ นิวยอร์ก แต่เติบโตและศึกษาที่ออนตาริโอ แคนาดา ในช่วงวัยเด็ก ผมได้เดินทางท่องเที่ยวและศึกษาที่แอฟริกาและรัสเซีย ก่อนจะกลับไปศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยควีนส์ แคนาดา ผมได้ร่วมหุ้นเปิดสำนักงานกฎหมาย กับคุณดีน พีรอฟฟ์ ในปี 2523 เราได้มีโอกาสทำคดีหลายคดี ตั้งแต่คดีที่เกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ และคดีทางการเมืองที่มีความซับซ้อน

ประสบการณ์การทำงาน ทางด้านกฎหมายที่โดดเด่น

คดีส่วนใหญ่ที่ผมทำจะเกี่ยวกับการจัดการกับบุคคลที่กระทำความผิดโดยไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย เพราะมีอิทธิพลทางการเมือง จากประสบการณ์ของผม บุคคลที่แสดงกิริยารุนแรงก้าวร้าว มักจะต้องพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลักการทางกฎหมาย การทำงานในปีแรก ผมเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของลูกค้า ซึ่งถูกคุกคามจากบริษัทคู่แข่งที่มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองในไนจีเรีย ครั้งหนึ่งคนเหล่านี้พร้อมกับทีมคุ้มกันอาวุธครบมือได้บุกรุก เข้ามาในห้องพิจารณาคดีและบังคับให้เราถอนคดีความ แต่เราปฏิเสธ

ในช่วงเวลาสำคัญที่ผมทำคดีให้กับนายมิคาอิล คอร์โดคอฟสกี้ ผมถูกจับกุมตอนกลางคืนโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนอกเครื่องแบบของรัฐบาลรัสเซีย เพียงเพราะผมกล่าวในที่สาธารณะว่า คณะอัยการละเมิดกระบวนการทางกฎหมาย เป็นเพียงเหตุการณ์เด่นๆ บางส่วนที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ผมไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเรารับทำคดีประเภทนี้อย่างเดียว เพราะสำนักงานกฎหมายของผมได้พัฒนาประสบการณ์การทำงานทางด้านกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศเป็นระยะเวลาหลายปี โดยทำงานให้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เช่นกัน เช่น กลุ่มไพรซ์วอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส (Pricewater house Coopers) และเดอะโฟร์ซีซันส์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต กรุ๊ป (The Four Seasons Hotel and Resort Group)

คดีความส่วนใหญ่ที่รับทำ เป็นการทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

จริงๆ แล้วผมไม่ได้เพียงแต่ทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเท่านั้น ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาให้หลายรัฐบาล และหน่วยงานรัฐบาลอีกหลายหน่วยงานที่ประสบกับปัญหาที่ถูกคุกคามจากภาคเอกชน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผมถูกขอให้ไปช่วยเมื่อมีความอยุติธรรมและไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ระหว่างผู้มีอำนาจและผู้ที่ไม่มีอำนาจ เป็นที่น่าเสียดายว่าประวัติศาสตร์โลกในปัจจุบัน เต็มไปด้วยบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ชอบยึดถืออำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง และทำลายฝ่ายตรงข้าม ทั้งในภาคการเมืองและธุรกิจ

นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมส่วนใหญ่ผมเลือกจะทำงานให้ฝ่ายตรงข้าม ทางการเมืองในหลายๆ ประเทศ

เข้ามาทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างไร

ผมได้ติดตามการบริหารงานของคุณทักษิณอย่างห่างๆ โดยใกล้ชิดมาเป็นเวลาหลายปี เพราะสำนักงานของเราสนใจเรื่องกฎหมายธุรกิจที่กำลังเติบโตในตลาดเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ต้นปีนี้ผมได้พบคุณทักษิณ และอธิบายว่าการกระทำของรัฐบาลไทยนั้นผิดกฎหมาย และไม่มีความชอบธรรมภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร และเพราะเหตุใด และเราอาจจะสามารถเอาผิดรัฐบาลไทยได้

ผมรับรู้ตั้งแต่แรกว่าคดีนี้มีความยากและซับซ้อน แต่ผมเชื่อมั่นว่าการพยายามหาแนวทางนำประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศไทยนั้นคือสิ่งที่ดีและควรทำ

คิดว่าจะประสบความสำเร็จในงานนี้ หรือ ไม่ และใช้เวลานานเท่าไร

สิ่งที่เราร้องขอคือให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามกฎหมายของไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศ หากคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี) และผู้นำทางทหารเลือกที่จะไม่ป ฏิบัติตามและใช้นโยบายโดดเดี่ยวประเทศแบบพม่า และคนในประเทศไม่ต้องการเช่นนั้น เราจึงร้องขอให้ประชาคมโลกเห็นว่ามีสิ่งที่ผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนี้ และประชาคมโลกสมควรจะรับทราบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ท้ายที่สุด ประชาชนไทยไม่ว่าเสื้อสีอะไร ต้องการที่จะเห็นประเทศก้าวหน้า มีความเป็นธรรม สงบและประสบความสำเร็จ และสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศไทยมีระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีการจัดตั้งระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาความแตกแยก

ซึ่งเป็นวิธีการเดียวที่จะนำมาซึ่งความเป็นอิสระของสถาบันต่างๆ จากรัฐบาล และสร้างระบบนิติรัฐอันแท้จริงเพื่อนำความยุติธรรมมาให้คนทุกคนไม่ใช่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

แผนงานที่จะเดินไปสู่เป้าหมายของงานนี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง

เรากำลังเตรียมและประเมินแนวทาง การดำเนินคดีระหว่างประเทศ ผมไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลมากก ว่านี้ได้

สมุดปกขาวเป็น ส่วนหนึ่งของแผนการหรือไม่

สมุดปกขาวเขียนขึ้นเพื่อนำเสนอความจริงอีกด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างความรุนแรงทางด้านการเมืองในปีนี้ และบริบททั่วไปทางการเมือง เพื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจว่ากลุ่มอำมาตย์จัดการควบคุมให้เกิดการปล้นสิทธิ์การเลือกตั้งไปจากประชาชนชาวไทยอย่างไร เราวางแผนว่าจะมีการจัดพิมพ์และเผยแพร่เอกสารชิ้นนี้อย่างกว้างขวาง สมุดปกขาวจะใช้เป็นพื้นฐานการทำงานของเราในลำดับต่อไป แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น

ระหว่างดำเนินงานตามแผน พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง

ผมเป็นหนึ่งในนักกฎหมายที่ทำงานให้คุณทักษิณ และผมได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนแก้ต่างให้กับเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ดังนั้น ผมเป็นผู้รับผิดชอบต่อคำพูดและการกระทำของผมในกิจกรรมรายวัน ส่วนเรื่องดำเนินการทางกฎหมายที่สำคัญผมปรึกษาและขอความเห็นชอบจากคุณทักษิณ

พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือวางแผนล้มล้างสถาบัน นี่คือข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงใน ประเทศไทย จะต่อสู้อย่างไร

ข้อกล่าวหาต่อคุณทักษิณดังกล่าวนั้นบิดเบือนไม่มีมูลความจริง คู่แข่งขันทางการเมืองใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวกลั่นแกล้งคุณทักษิณ เราขอปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และข้อกล่าวหาที่บิดเบือนอื่นๆ

รัฐบาลไทยวิจารณ์ว่าการทำคดีของ มิคาอิล คอร์โดคอฟสกี้ และของคุณทักษิณคล้ายกัน โดยเฉพาะการโน้มน้าวให้สหรัฐเข้ามามีส่วนเกี่ยว ข้อง คิดอย่างไรกับข้อวิจารณ์นี้

ก่อนอื่นผมขอชี้แจงว่าทั้งสองคดีนี้ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะทั้งสองประเทศและสถานการณ์ทางการเมืองมีความแตกต่างกันอย่างมาก อย่างที่สองคือ ทีมงานของคุณคอร์โดคอฟสกี้ได้กล่าวว่าการฟ้องร้องนั้นเป็นเรื่องทางการเมืองทั้งหมด เราพ่ายแพ้ทุกศาลในรัสเซีย แต่นั่นทำให้ทั่วโลกได้รับรู้ถึงมะเร็งร้ายของการคอร์รัปชั่นในรัสเซีย ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน และผมคิดว่าการที่ทั่วโลกให้ความสนใจในคดีคอร์โดคอฟสกี้นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในการทำงานนี้

คดีนี้ ประเด็นหลักคือเราต้องการเปิดเผยให้เห็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ผิดๆ ของเหล่าอำมาตย์ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ชอบระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนการยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำผิด ผมประสบความสำเร็จในการท้าทายเรื่อง การยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำผิดนี้ในไนจีเรีย เวเนซุเอลา และอีกหลายประเทศ แต่กระนั้นผมแทบจะไม่เคยเห็นสถานการณ์ทางการเมืองที่ไหนที่คนส่วนใหญ่ของประเทศถูกกดขี่ และปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางประชาธิปไตย เพราะโครงสร้างทางกฎหมายที่กดขี่อย่างแท้จริง

เราสามารถกล่าวได้อย่างไม่ต้อง สงสัยเลยว่าคุณทักษิณ คือผู้นำคนเพียงเดียวที่ชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงในปัจจุบัน และคนที่กล่าวหาคุณทักษิณว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คือกลุ่มคนที่ขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่มีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย สิ่งหนึ่งที่ผมต้องการชี้แจงคือการที่ผมเป็นตัวแทนแก้ต่างให้คุณทักษิณและคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการทำร้าย แต่ตรงกันข้าม กลับเป็นการปกป้องประเทศไทยจากกลุ่มคนที่อ้างความเป็นเจ้าของประเทศและไม่ฟังเสียงของคนส่วนใหญ่

ในกรณีของท่าทีที่สหรัฐที่มีต่อรัสเซียนั้น สหรัฐไม่เคยพยายามโดยตรงที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนในรัสเซีย และยิ่งน้อยมากในกรณีของนายคอร์โดคอฟสกี้

จุดมุ่งหมายในการทำคดีของประเทศไทยนี้ เราไม่ได้ต้องการให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ แม้เราคิดว่าประเทศพันธมิตรควรจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจน

จุดมุ่งหมายระยะสั้นคือเราต้องการให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศตนเองและพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐบาลกำลังละเมิดอยู่ในขณะนี้ ข้อเรียกร้องของเราไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินจริง และไม่ควรจะต้องให้ประเทศอื่นเข้า มาแทรกแซงเลย

หากรัฐบาลไทยยังยืนยันที่จะละเมิดข้อกฎหมายเหล่านี้อีกต่อไป ทางเราจะมีการดำเนินการตอบโต้ที่มากกว่านี้