ถ้าวันนี้นายกรัฐมนตรี ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ มีผู้นำฝ่ายค้านชื่อ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’

ที่มา: มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1549 ประจำวันที่ 23-26 เมษายน 2553

ถึงวันนี้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คงรู้แล้วว่า “อำนาจ” นั้น มีพลานุภาพเพียงใด

“อำนาจ” นั้น ไม่ใช่เพียงแค่สามารถทำลายล้างผู้อื่นได้ แต่ยังเปลี่ยนแปลงตัว เราเองได้เช่นกัน เพราะนับตั้งแต่ “อภิสิทธิ์” ขึ้นดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” และเผชิญหน้ากับ “ม๊อบเสื้อแดง” อาวุธที่ทิ่มแทงความ น่าเชื่อถือของเขามากที่สุดคือ “คำพูด” และ “หลักการ” ของเขาในสมัยเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ลิ้นที่เคยปาดใส่ผู้อื่นได้ย้อนกลับมาเชือดคอตนเอง

นับตั้งแต่วันที่ “ม๊อบเสื้อแดง” ชุมนุมใหญ่ด้วยปริมาณคนนับแสนคน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พร้อมกับเรียกร้องให้ “อภิสิทธิ์” ยุบสภา คำพูดของ “อภิสิทธิ์” เมื่อครั้งเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” อภิปราย “สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2551 ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาทิ่มแทง “อภิสิทธิ์” ที่เป็น “นายกรัฐมนตรี” ครั้งนั้น “สมัคร” กำลังเผชิญกับ “ม๊อบพันธมิตร” ซึ่งมีจำนวนคนน้อยกว่า “ม๊อบเสื้อแดง” ในวันนี้ ในการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร “อภิสิทธิ์” ลุกขึ้นเสนอให้ “สมัคร” ยุบสภาฯ

“เมื่อมีประชาชนเพียง 1 คน หรือแสนคน มาเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเองนั้น ไม่ได้ขัดหลักการประชาธิปไตย โดยเฉพาะถ้ามีข้อสงสัย ว่าการบริหารประเทศนั้นละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิประชาชน หรือทุจริตคอร์รัปชั่น เรื่องเหล่านี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่รอให้กฎหมายจัดการ แต่จะมีสำนึกความรับผิดชอบทางการเมือง..”

“ในประเทศเกาหลี แค่คิดนโยบายเปิดการค้าเสรี เอาเนื้อวัวต่างประเทศเข้ามา คนลุกฮือมาเป็นแสน ก็ตัดสินใจลาออกทั้งคณะ ต้องยอมรับว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการที่ประชาชนสะสมความไม่พอใจมานาน ถึงจะจัดการขั้นเด็ดขาดก็ไม่อาจทำลายแนวคิดต่อต้านที่มีได้..”

“วันนี้ผมต้องพูดขัดใจลูกพรรค และสมาชิกหลายคน ที่มักไม่เสนอให้ยุบสภา แต่การยุบสภาจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบส่วนหนึ่ง ถ้านายกฯ ไม่อยากรับผิดชอบคนเดียว เราทั้งสภาจะเจ็บร่วมกัน..”

แต่ วันนี้ “อภิสิทธิ์” ยืนยันว่าการยุบสภาฯ ไม่ใช่การแก้ปัญหา

นอก จากนั้น “ช่อง 11” ในยุค “อภิสิทธิ์” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักยิ่ง หลังเหตุการณ์สลายม๊อบ 10 เมษายน “ช่อง 11” ยิ่งถูกโจมตีถึงความไม่เป็นกลางมากยิ่งขึ้น เมื่อนำเสนอข้อมูลจากฝั่งรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ไม่มี “ความคิด” ที่แตกต่างจากรัฐบาลปรากฏอยู่บนจอช่อง 11 เลย

ข้อเขียนของ “อภิสิทธิ์” สมัยเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ที่ปรากฏในหนังสือ “ร้อยฝันวันฟ้าใหม่” เรื่องการปฏิรูปช่อง 11 ให้เป็นทีวีสาธารณะ ก็ถูกหยิบยกมาเชือดคอ “นายกรัฐมนตรี” ที่ชื่อ “อภิสิทธิ์” อีกครั้งหนึ่ง

“สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ที่คนจำนวนมากมองว่าเป็นแค่กระบอกเสียงให้รัฐบาลทุกสมัย ผมเคยเป็นผู้ดำเนินรายการมองต่างมุมที่ออกอากาศทางช่อง 11 เคยมีเสรีภาพในการที่จะผลิตรายการที่เป็นเวทีความคิดเสรี ผมเห็นว่า โทรทัศน์ช่อง 11 ในอดีตเคยผลิตรายการที่มีสาระและคุณภาพ เป็นเวทีที่เปิดกว้างสามารถเอาคนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน หรือไม่ตรงกับรัฐบาลมานั่งโต๊ะเดียวกัน พูดให้ประชาชนฟังได้ พร้อมๆ กัน”

สะท้อนว่า แม้จะเป็นสถานีภายใต้สังกัดหน่วยงานของรัฐ แต่ก็สามารถทำหน้าที่สื่อมวลชนที่มีคุณภาพได้ หาก “ผู้มีอำนาจรัฐ” มีเจตนารมณ์แท้จริงและเคารพในการทำหน้าที่สื่อมวลชน ผมคิดว่าในเมื่อ ช่อง 11 ขึ้นอยู่กับรัฐ เป็นของรัฐ เพราะฉะนั้น มันก็อยู่ที่นโยบายของรัฐ

ประการ สำคัญ คือ รัฐบาลจะต้องตระหนักว่า “รัฐ” ไม่ใช่ “รัฐบาล” แล้วก็ต้องทำให้ชัดว่า “ช่อง 11 เป็นของรัฐ ไม่ใช่ของรัฐบาล” ใครจะ ไปนึกว่า “ช่อง 11” ในวันที่ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกรัฐมนตรี จะกลาย เป็นทีวีของ “รัฐบาล” ไม่ใช่ของ “รัฐ” ยิ่งกว่าวันที่ “อภิสิทธิ์” เป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” เสียอีก และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ “อภิสิทธิ์” สั่งสลายการชุมนุม “ม๊อบเสื้อแดง” ที่สะพานผ่านฟ้า จนมีคนเสียชีวิต 25 คน และบาดเจ็บ 800 กว่าคน

เงาของวาทศิลป์สมัยที่เป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ก็กลับมาหลอกหลอน “อภิสิทธิ์” อีกครั้ง

ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรี สั่งสลายการชุมนุม “ม๊อบพันธมิตร” ที่หน้ารัฐสภา มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บ 400 กว่าคน หลังจากนั้น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ชื่อ “อภิสิทธิ์” เปิดแถลงข่าวภายหลังการประชุมพรรคประชาธิปัตย์

“เหตุการณ์ทั้งหมด นายกฯ ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ ว่าเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ก็จงใจให้เหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ที่เลวร้ายกว่าการโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่คือ การใส่ร้ายประชาชน..”

“ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสแล้ว ยังมีรัฐที่ยัดเยียดความผิดให้ประชาชนอีก ถือเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้..”

“ผมเคยได้ยินฝ่ายรัฐบาลชอบถามคนนั้นคน นี้ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่พฤติกรรมที่ท่านทำอยู่ ไม่ใช่เป็นคนไทยหรือเปล่า แต่เป็นคนหรือเปล่า..”

“วันนี้ ในทางการเมืองหมดความชอบธรรมไปแล้ว เราเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกฯ จะลาออกหรือถ้ากลัวว่าลาออกแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะมีอำนาจ ท่านจะยุบสภาก็ได้ แต่ท่านไม่ควรเพิกเฉย เพราะถ้าไม่ทำอะไร ก็เท่ากับทำร้ายบ้านเมืองและกำลังทำร้ายระบบการเมือง”

“ระบบการเมือง ในวิถีระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐ แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”

“สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ รัฐบาลไม่ต้องมากล่าวหายัดเยียดว่าเพราะเราเห็นด้วยกับทุกเรื่องของพันธมิตรฯ เพราะถึงพันธมิตรฯ จะทำผิด แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายประชาชน..

และเมื่อนักข่าวถามว่า ทำไมสถานการณ์ในขณะนี้ที่ถือว่าวิกฤตสูงสุดแล้ว นายกรัฐมนตรียังอยู่ได้ คำตอบจาก “ผู้นำฝ่ายค้าน” ที่ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สั้นๆ แต่ชัดเจน

“ผมตอบไม่ได้ ผมก็ไม่เคยเห็นคนแบบนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผมรู้จักก็คงไม่เป็นแบบนี้..”

นั่นคือ ความคิดและการเรียกร้องความรับผิดชอบจากคนเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้นำฝ่ายค้าน ในวันที่มีคนเสียชีวิตจากการสลายม๊อบ 2 คน ช่างแตกต่างจากความคิดและความรับผิดชอบของ “อภิสิทธิ์” ที่ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ในวันที่มีผู้เสียชีวิตจากการสลายม๊อบ ถึง 25 คน

มีคนเคยพูดถึงนักการเมืองว่า “เมื่อท่านพูด เราจะฟัง แต่เมื่อท่านลงมือทำเราจะเชื่อ”

“อภิสิทธิ์” ในวันที่เป็น “ผู้วิจารณ์” ในตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้าน” หลักการของ เขาแหลมคมและเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ แต่เมื่อเขาเปลี่ยนไปสวมบท “นายกรัฐมนตรี” พลานุภาพแห่ง “อำนาจ” ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ “คำพูด” ในอดีต กับ “การกระทำ” ในปัจจุบันกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะเขาไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เขาเคยพูดเลย หรือว่าพูดในสิ่งที่เขาไม่เคยเชื่อมาตลอดชีวิต..


คนไทยโชคไม่ดี

“คนไทยโชคไม่ดี” คอลัมน์ เหล็กใน
ที่มา: ข่าวสดรายวัน วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7112

ถนอม-ประภาส-สุจินดา ผู้นำเผด็จการทหารในอดีต ยังต้องอายเมื่อเจอผู้นำพลเรือนที่ชื่ออภิสิทธิ์ ผู้นำทั้ง 3 คนแรกถูกจารึกชื่อไว้ในฐานะทรราช! ทว่าอภิสิทธิ์ใช้เวลาแค่ 40 วัน สร้างชื่อแซงหน้าอดีตผู้นำรุ่นปู่

จาก 10 เมษาฯถึงปัจจุบันที่สถานการณ์ยังไม่ยุติ เกือบ 80ศพ กับอีกเกือบ 2,000 คน คือตัวเลขคนตาย คนเจ็บมากกว่า 14 ตุลาฯ 16 กับพฤษภาฯ 35 ผู้นำสรรพนามนำหน้าว่า “นาย” ปราบประชาชนตายเจ็บมากกว่าผู้นำยศ (หรืออัตรา)”จอมพล”?!

ผู้นำทรราช รุ่นเก่าพยายามชี้แจงเพื่อแก้ตัวมาตลอด 14 ตุลาฯ มีกองกำลัง “เทพ 333″ สร้างสถานการณ์ พฤษภาทมิฬ มีกองกำลัง “โมโลตอฟ” ซ้ำเติมสถานการณ์ แต่ก็ไม่อาจลบล้างความผิด “มือเปื้อนเลือด” ลงได้ เพราะกำลังทหารที่ได้รับคำสั่งออกมานั้น ยิงจริง ใช้กระสุนจริง!!

เช่น เดียวกับอภิสิทธิ์และบริวารพยายามชี้แจง กลุ่มผู้ชุมนุมมีกองกำลังผู้ก่อการร้าย? จริง หรือ ไม่จริง เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ต่อไป แต่เรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ กำลังทหารที่ได้รับคำสั่งออกมา ยิงจริง ใช้กระสุนจริง??

นี่คือสิ่งที่ผู้สั่งการต้องยอมรับ และรับผิดชอบ เมื่อมีความสูญเสียเกิดขึ้น โดยเฉพาะชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ ประวัติศาสตร์ฝากบทเรียนไว้มากมาย ตอนนั้น ถนอม-ประภาส-สุจินดา สามารถหลีกเลี่ยง 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ได้หลายทาง แต่เมื่อตัดสินใจอย่างที่ตัดสินใจไปแล้ว ต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์ ไม่ว่า มือที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 หรือบรรดาผู้หวังดี ไม่หวังดีทั้งหลาย

สงครามกลางเมืองกรุงขณะนี้ ถ้ามีตัวสอดแทรกแปลกปลอม ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นฝ่ายผู้ชุมนุมเท่านั้น

กรณี ยิงเอ็ม 79 ถล่มสน.ลุมพินี ตำรวจทั้งโรงพักรู้ดีฝีมือสีไหน?
กรณีกอง กำลังไม่ทราบฝ่าย ถ้าหน่วยข่าวกรองแม่นยำจริงต้องรู้ว่าไม่ได้มีแค่ “นักรบโรนิน” ยังมี “นักรบสีน้ำเงิน” ผสมโรงด้วย!

ทั้งนี้ ทั้งนั้นเหตุการณ์สอดแทรก แปลกปลอม บานปลาย กลายเป็นจลาจล เผาบ้านเผาเมือง ทำลายข้าวของ ปล้นสะดม ฯลฯ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าผู้นำเลือกใช้วิธี “การเมืองแก้ด้วยการเมือง” หรือ “รบโดยไม่ต้องรบ” โดยเฉพาะผู้นำ พลเรือน ความอดทน อดกลั้น สำนึก สำเหนียก ควรสูงกว่าผู้นำเผด็จการทหาร แต่เมื่อผู้นำพลเรือนตัดสินใจเดินตามรอยเท้าผู้นำเผด็จการทหาร ทั้งๆที่ รู้ประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตาย บ้านเมืองย่อยยับเสียหาย และตัวเองต้องมือเปื้อนเลือด

ประเทศไทยโชคไม่ดีมีทรราชเพิ่มอีกคน!?..


เก็บตก ทวิตเตอร์..

เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ในนาม @Thaksinlive ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งคำถามว่าจะยอมเสียสละหรือยกเลิกสัญชาติไทยหรือไม่ ว่าคุณอภิสิทธิ์แนะให้ผมถอนสัญชาติไทยโถ!ผมเกิดเมืองไทยผมรัก แผ่นดินเกิดผมจะให้ถอนได้อย่างไงตัวคุณน่าจะถอนมากกว่าเพราะคุณเกิดอังกฤษ แต่สั่งฆ่าคนไทย

Thaksinlive คุณอภิสิทธิ์แนะให้ผมถอนสัญชาติไทยโถ!ผมเกิด เมืองไทยผมรักแผ่นดินเกิดผมจะให้ถอนได้อย่างไงตัวคุณน่าจะถอนมากกว่าเพราะ คุณเกิดอังกฤษแต่สั่งฆ่าคนไทย about 9 hours ago via web

จาก มติชนออนไลน์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พท.แขวะ”มาร์ค”เกิดอังกฤษ-สั่งปราบปชช. ริจี้”แม้ว”สละสัญชาติ

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคพท. แถลงถึงกรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ). และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาก่อการร้ายและต่อมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ออกมาแถลงท้าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถอนสัญชาติไทย เนื่องจากได้รับสัญชาติมอนเตเนโกรว่า คำพูดดังกล่าวของนายอภิสิทธิ์ เป็นการพูดที่โง่เขลาและไร้วุฒิภาวะการเป็นผู้นำ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด ถือเป็นคนไทย 100% ทางสายเลือดและแหล่งกำเนิด ซึ่งต่างกับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเกิดและโตที่ประเทศอังกฤษ ไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิด เพียงแต่ได้สัญชาติตามบิดามารดา และก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็นคุณูปการให้กับประเทศชาตินอกจากการเป็นนักการเมือง

“แต่ พ.ต.ท.ทักษิณรับราชการและประกอบธุรกิจที่สร้างประโยชน์และความเจริญ รุ่งเรืองให้กับประเทศชาติมากมาย จึงเทียบกันไม่ได้ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องความเป็นคนไทยและความรักชาติ นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังมีบรรพบุรุษเป็นชาวเวียดนาม ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ได้สั่งการให้ทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าปราบปราม ประชาชนที่มีสายเลือดไทย จนเป็นเหตุให้ประชาชนคนไทยต้องเสียชีวิต โดยไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านหรือขอโทษต่อผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บแม้แต่น้อย” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

“ฝากถามไปยังนายอภิสิทธิ์ว่า ยังเป็นคนไทยและมีสายเลือดไทยอยู่บ้างหรือเปล่า ที่มุ่งรักษาอำนาจของตนเองบนกองซากศพและเลือดเนื้อของคนไทย จึงไม่สมควรที่นายอภิสิทธิ์ จะไปเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สละสัญชาติไทย เพราะระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยมีจิตใจโหดร้ายเข่นฆ่าประชาชนแม้แต่คนเดียว ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ จึงควรส่องกระจกชะโงกดูเงาของตัวเอง และเลิกพูดจาให้ร้ายเสียดสีเย้ยหยันพ.ต.ท.ทักษิณ และขั้วการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามได้แล้ว หากยังมีเจตนาที่จะสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นภายในชาติ แต่ควรทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรมและออกมารับผิดชอบต่อการกระทำที่ผิดพลาด ของตนเองที่กระทำต่อคนไทยด้วยกันอย่างโหดร้ายทารุณ” นายพร้อมพงศ์กล่าว


Something from “V for Vendetta”.

“Good evening, London. Allow me first to apologize for this interruption. I do, like many of you, appreciate the comforts of the everyday routine, the security of the familiar, the tranquility of repetition. I enjoy them as much as any bloke. But in the spirit of commemoration – whereby those important events of the past, usually associated with someone’s death or the end of some awful bloody struggle, are celebrated with a nice holiday – I thought we could mark this November the fifth, a day that is sadly no longer remembered, by taking some time out of our daily lives to sit down and have a little chat.

There are, of course, those who do not want us to speak. I suspect even now orders are being shouted into telephones and men with guns will soon be on their way. Why? Because while the truncheon may be used in lieu of conversation, words will always retain their power. Words offer the means to meaning and for those who will listen, the enunciation of truth. And the truth is, there is something terribly wrong with this country, isn’t there? Cruelty and injustice…intolerance and oppression. And where once you had the freedom to object, to think and speak as you saw fit, you now have censors and systems of surveillance, coercing your conformity and soliciting your submission. How did this happen? Who’s to blame? Well certainly there are those who are more responsible than others, and they will be held accountable. But again, truth be told…if you’re looking for the guilty, you need only look into a mirror.

I know why you did it. I know you were afraid. Who wouldn’t be? War. Terror. Disease. There were a myriad of problems which conspired to corrupt your reason and rob you of your common sense. Fear got the best of you and in your panic, you turned to the now High Chancellor Adam Sutler. He promised you order. He promised you peace. And all he demanded in return was your silent, obedient consent.

Last night, I sought to end that silence. Last night, I destroyed the Old Bailey to remind this country of what it has forgotten. More than four hundred years ago, a great citizen wished to embed the fifth of November forever in our memory. His hope was to remind the world that fairness, justice and freedom are more than words – they are perspectives. So if you’ve seen nothing, if the crimes of this government remain unknown to you, then I would suggest that you allow the fifth of November to pass unmarked. But if you see what I see, if you feel as I feel, and if you would seek as I seek…then I ask you to stand beside me, one year from tonight, outside the gates of Parliament. And together, we shall give them a fifth of November that shall never, ever, be forgot!..”

-V during the capture of TV station..-