หยุดพ.ร.ก.ฉกฉวย หยุดข่มขืนประเทศไทย

หยุดพ.ร.ก.ฉกฉวย หยุดข่มขืนประเทศไทย
เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
ที่มา: โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 263 วันที่ 12-18 มิถุนายน 2553 หน้า 8


“ต่อไปนี้จะไม่ตอบคำถามเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วนะครับ เพราะถามทุกวัน”
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตอบผู้สื่อข่าว ถึงความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่ามี 3-4 จังหวัดที่อาจยกเลิกได้ก่อน โดยนายสุเทพให้เหตุผลที่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปว่า เป็นหน้าที่ที่จะทำให้บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย

จับกุมแล้ว 422 คน

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติเผย การจับกุมผู้กระทำผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น422 คน ส่วนใหญ่ถูกควบคุมในเรือนจำ ซึ่งถือว่าขัดกับ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และก่อนหน้านี้ก็ไม่เปิดเผยรายชื่อและสถานที่ควบคุมตัวอีกด้วย จนกระทั่งองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรในประเทศออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจึงเปิดเผยรายชื่อผู้ถูกจับกุมและสถานที่ควบคุมตัว

ส่วนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้ มีการโอนคดีข้อหาก่อการร้ายทั้งหมดมาอยู่กับดีเอสไอ 151 สำนวน แต่ยังไม่รวมสำนวนคดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษถาคมอีกกว่า 70 สำนวน นอกจากนี้ ยังรับข้อมูลชายชุดดำที่ก่อเหตุลอบยิงทหารและประชาชน (ไม่มีคดีทหารยิงประชาชน) เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำพยาน

พ.ร.ก.ฉุกเฉินผิดกฎหมาย?

อย่างไรก็ตาม มีการตีความและฟ้องร้องถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะในขณะนั้น ไม่ได้มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแต่อย่างใด แม้จะมีกลุ่ม นปช. จำนวนหนึ่ง บุกเข้าไปในรัฐสภาก็ตาม แต่หลังจากนั้นกลุ่ม นปช. ก็กลับออกมาโดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ

ขณะที่นายสุเทพกล่าวกับคณะรัฐมนตรี ถึงเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมายแก้ปัญหา โดยจะมีการยกระดับการใช้กฎหมายมากขึ้น โดยเริ่มจากเบาไปหาหนัก ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีแนวโน้มต้องใช้ในการสลายการชุมนุม เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมอาจยกระดับความเข้มข้นและความรุนแรง

แต่การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่นานกว่า 2 เดือน และมีแนวโน้มว่าจะยาวไปถึงปลายปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติก็ถือว่า ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะคำว่า “ฉุกเฉินร้ายแรง” บ่งบอกความหมายชัดเจนแล้ว ว่าบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง ถ้าไม่มีสถานการณ์ร้ายแรง รัฐบาลก็ต้องยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีอำนาจไม่ต่างจากอำนาจของคณะปฏิวัติรัฐประหาร

ข้องใจข้อหาก่อการร้าย

แต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ให้รัฐมนตรีทุกคน ลงชื่อขอแต่งตั้งทนาย เพื่อใช้ต่อสู้ในข้อกล่าวหาของกลุ่ม นปช. ที่ฟ้องร้องกรณีที่รัฐบาลสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีทีวี และการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังให้จัดทำเอกสารที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจประเด็นการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยกำชับให้รัฐมนตรีนำไปชี้แจง หากเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงกับบรรดาทูต นักธุรกิจ และสื่อต่างชาติไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังข้องใจ เรื่องการใช้กำลังสลายการชุมนุม การก่อตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย และที่มาของอาวุธจำนวนมาก

แม้นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่า ดำเนินการตามกฎหมายอาญาและตามคำจำกัดความ “ก่อการร้าย” ที่สอดคล้องกับกฎหมายของสหประชาชาติก็ตาม แต่การตั้งข้อหาดังกล่าวก็มาจากอำนาจในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับการกวาดล้างคนเสื้อแดง และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามในขณะนี้

ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดังนั้นหลายประเทศจึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เช่นเดียวกับองค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการจำนวนมากที่เห็นว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน นอกจากขัดกับรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการใช้อำนาจที่ครอบจักรวาลเพื่อสร้างความชอบธรรมและเสถียรภาพของรัฐบาล มากกว่าเพื่อความมั่นคงและประโยชน์สุขของประชาชน

อย่างองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเลิกควบคุมตัวแกนนำและผู้ประท้วง นปช. ในสถานที่ลับ เพราะเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังปราศจากการตั้งข้อหาที่มีหลักฐานชัดเจนอีกด้วย ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แทนที่จะนำตัวไปดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปรกติ หรือไม่ก็ปล่อยตัวไป

เช่นเดียวกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนในไทย และนักวิชาการต่อก็เรียกร้องให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนผู้ถูกจับกุมก็ต้องถือเป็น “ผู้มีความคิดเห็นทางการเมือง” แตกต่างจากรัฐ เป็น “นักโทษทางการเมือง” ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย

ย้อนจุดยืน “อภิสิทธิ์”

แม้แต่ศาลเองยังถูกตั้งคำถามการยอมรับอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากกว่ารัฐธรรมนูญและข้อบังคับของกฎหมายปรกติ เหมื่อนที่ศาลถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงยังยอมรับอำนาจการปฏิวัติรัฐประหารที่ถือเป็น โจราธิปัตย์ ซึ่งครั้งที่นายอภิสิทธ์ เป็นผู้นำฝ่ายค้านก็เคยต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่เห็นชอบพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นัยว่าเป็นกฎหมายเผด็จการ หรือต่อต้านการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศใช้เฉพาะบางพื้นที่ในกรุงเทพฯ หรือรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ประกาศใช้เฉพาะพื้นที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เข้าปิดล้อม

เช่นเดียวกับนักธุรกิจทั้งสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ นักวิชาการและสมาคมสื่อต่างๆ ก็ออกมาต่อต้านและโจมตีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในรัฐบาลนายสมัครและนายสมชาย แต่วันนี้ นอกจากไม่ต่อต้านแล้วยังสนับสนุนอีก ทั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ไม่ได้ฉุกเฉินเลวร้ายตามที่กำหนดไว้ในพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ซึ่งส่งผล กระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างมากมาย

กฎหมายติดหนวด

แต่ที่น่าวิตกคือการใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉินเกินกว่าเหตุ หรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลและพวกพ้องมากกว่าความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชน เพราะไม่มีสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ยอมยกเลิก กลับเร่งกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งพยายามปิดสื่อทุกชนิดที่เสนอข้อมูลข่าวสารตรงข้ามกับรัฐบาล ซึ่งไม่ต่างจากรัฐบาลเผด็จการ ที่วันนี้ปิดเว็บไซต์ ปิดพีทีวี ปิดสิ่งพิมพ์ และปิดวิทยุชุมชนไปแล้วมากมาย ทั้งที่รัฐธรรมนูญเองก็ไม่สามารถทำได้

ที่สำคัญ ยังเป็นการประจานแผนปรองดองของรัฐบาลเองว่าไม่มีควาจริงใจ หรือเป็นแค่การตีสองหน้า เพื่อสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ กับการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เกือบ 100 ราย แลบาดเจ็บกว่า2,000 ราย อย่างที่นายบุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ นักวิชาการคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ส่งแถลงการณ์เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออก

“ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกนำมารับโทษ นักวิชาการที่ออกมาสนับสนุนการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ”

พ.ร.ก.ฉกฉวย

สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ จึงไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เลย ที่รัฐบาลจะยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ยกเว้นแต่รัฐบาลต้องการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม

พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงต้องเรียกว่าพ.ร.ก.ฉกฉวย เพื่อให้รัฐบาลใช้กล่าวหาและกวาดล้างคนเสื้อแดง รวมถึงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเต็มที่แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ตาม แค่สงสัยหรือกล่าวหาก็สามารถจับกุมได้แล้ว แม้แต่การสั่งให้ทหารฆ่าและทำร้ายประชาชน

นายอภิสิทธิ์จึงไม่ใช่แค่ “ผู้นำมือเปื้อนเลือด” ธรรมดา แต่ต้องถือว่าเป็นผู้นำที่มีใจโหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่ารัฐบาลเผด็จการที่ผ่านมา แม้แต่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬยังต้องอาย

สังคมไทยวิปริต

และที่น่าวิตกอย่างยิ่งคือความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ นั้น แทบไม่พูดถึงประชาชนที่เสียชีวิต และบาดเจ็บมากมายในเหตุการณ์ 10 เมษายน และ 13-19 พฤษภาคมเลย แต่กลับให้ความสำคัญกับศูนย์การค้าและอาคารต่างๆ ที่ถูกเผา รวมทั้งสนุกสนานกับการช็อปปิ้งและดารได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างคนเมืองหลวงอีกครั้งเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่หลงปลาบปลื้มไปกับวาทกรรม “ศรีธนญชัย” ของนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความปรองดอง การปฏิรูปประเทศ หรือปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีอะไรชัดเจน หรือเป็นแค่การฟอกตัวและสร้างความชอบธรรมเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไปเท่านั้น

คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยโศกเศร้ากับการฆ่าที่โหดเหี้ยมหรือเรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพแสดงความรับผิดชอบ หรือเร่งสอบสวนเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ

ขณะที่รัฐบาลและศอฉ. ยังคงยัดเยียดข้อมูลข่าวสารด้านเดียวให้กับประชาชน พร้อมกับใช้อำนาจในพ.ร.ก.ฉุกเฉินเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ เพื่อเร่งกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยคนไทยส่วนใหญ่กลับนิ่งเฉย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวที่ถูกเรียงคิวข่มขืน โดยมีคนนั่งดูอยู่ทั่วบ้านเมืองเหมือนไม่มีอะไร เพราะคนข่มขืนบอกว่าตัวเองรูปหล่อและใช้ถุงยางป้องกันอย่างดี คนถูกข่มขืนจึงน่าจะมีความสุขอย่างเต็มใจ

ถือเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดเปรียบเสทอนผู้หญิงที่ถูกข่มขืน โดยสามีถูกจับมัดให้นั่งดู ส่วนลูกถูกปิดตาให้ฟังแต่เสียง แทนที่แม่จะร้องอย่างทุกข์ทรมานกลับร้องครวญครางอย่างมีความสุข เพราะสมยอมคนข่มขืนที่รูปหล่อและสัญญาอะไรก็ได้ที่จะทำให้มีความสุขแม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

หยุดข่มขืนชาติ

จึงเป็นความจริงที่เจ็บปวดและปวดร้าวของสังคมไทยที่ ถูกบังคับให้ละเลย ไร้สำนึก มองข้ามเหตุการณ์ความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นจากทหารนับหมื่นที่มีอาวุธสงคราม และรถถังดาหน้าเข้าล้อมปราบประชาชนผู้บริสุทธิ์ คิดถึงเพียงความสุขที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับขบวนการโกหก ตอแหล บิดเบือน อย่างหน้าชื่นตาบาน

สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่วิกฤต แต่ทั้งวิปริตและอาเพศ เพราะประชาชนหน้ายิ้มระรื่นยอมรับอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่รัฐบาลฉกฉวยมาใช้อย่างครอบจักรวาล ทั้งที่รัฐบาลก็แถลงเองว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้สามารถควบคุมได้ ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ไม่ได้ฉุกเฉินเลวร้าย ขนาดนายอภิสิทธิ์ยังได้ใช้เวทีต่างประเทศที่เวียดนามประกาศชัดเจนว่าประเทศ ไทยกลับสู่ความสงบเรียบร้อยแล้ว แต่คล้อยหลังไม่กี่วันกลับยืด พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปนานนับเดือน และไม่มีทีท่าว่าจะเลิกใช้แต่อย่างใด

พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเป็น พ.ร.ก.ฉกฉวย ที่ไม่ต่างอะไรกับการใช้อำนาจเผด็จการเพื่อกวาดล้างและปราบปรามประชาชนที่ เป็นฝ่ายตรงข้าม

หยุด พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที! หยุดข่มขืนประเทศไทยได้แล้ว!