ธงชัย วินิจจะกูล: “ระบอบอภิสิทธิ์” คืออะไร? มาร์ค = มาร์คอส?

ที่มา : มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หมายเหตุ ธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา ได้เขียนบทความชิ้นนี้และนำเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ประชาไทเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา มติชนออนไลน์เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้

สัญญาณหลายอย่างเผยตัวออกมาชัดเจนขึ้นทุกทีว่า “ระบอบ อภิสิทธิ์” คืออะไร?

รัฐบาลนี้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแบบไม่สนใจรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่ฝ่ายตนร่างขึ้นมาเอง ในทางปฏิบัติ คือการงดใช้รัฐธรรมนูญตามใจชอบ และทำให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายสูงสุดยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ ควบคุมข่าวสารเด็ดขาด กวาดล้างจับกุมคุมขังผู้คนโดยไม่ต้องสนใจกระบวนการยุติธรรมหรือสิทธิของผู้ คน ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไม่ต่างกับ (หรือยิ่งกว่า) เผด็จการทหาร โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล

รัฐบาลนี้เป็นเผด็จการมากถึงขนาดที่พูดข้างเดียวฟังพวกเดียวไม่แยแส ว่าสิ่งที่ตนพูดจะสมเหตุสมผลหรือไม่ โกหกก็ไม่ต้องแคร์ ถูๆ ไถๆ ข้างๆ คูๆ ก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะน่าเชื่อหรือไม่ อาศัยอำนาจ (ปืนและสื่อ) ยัดเยียดประเด็นและคำอธิบายของตนให้แก่สังคม ทำมากๆ เข้าจนความเท็จกลายเป็นความจริง เรื่องไม่มีมูลกลายเป็นประเด็น

หลังประหัตประหารผู้คนเสร็จ ในขณะที่ทำการกวาดล้างจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามอย่างหนัก ก็ปรึกษาพวกเดียวกันว่าจะ “ปรองดอง” คือทำยังไงไม่ให้มวลชนลุกฮือต่อต้านอีก

ความอยุติธรรมแบบ  “สองมาตรฐาน” ยิ่งหนักกว่าเดิม แถมทำกันอย่างโจ๋งครึ่มโดยไม่ต้องปฏิเสธหรือแก้ตัวอีกต่อไปแล้ว

ทั้งผีทักษิณและผู้ก่อการร้ายเป็นการหาเหตุเพื่อการปราบปราม แต่จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน เพื่อหาเหตุให้คงรักษาพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและชนบทที่เป็นฐานของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อความสงบหลังปราบปรามการชุมนุมเสื้อแดงเท่านั้น แต่เพื่อทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อรักษาอำนาจของระบอบอภิสิทธิ์ด้วย

ระบอบอภิสิทธิ์คืออะไร? คือระบอบค้ำจุน อภิชน ภายใต้รูปโฉมประชาธิปไตยอาศัยการเลือกตั้งและนิติรัฐเป็นความชอบธรรม อาศัยปืนและตุลาการเป็นอำนาจที่แท้จริง อาศัยประชาสังคมของอภิสิทธิชนเป็นฐานมวลชนโดยมีสื่อหลักๆ และนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนคนสำคัญๆ เป็นผู้ปฏิบัติงานทางการเมืองในประชาสังคมนั้น

ครั้นถูกต่อต้าน ระบอบอภิสิทธิ์ก็เผยตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นประชาธิปไตยแบบหนา ด้านได้อายอด เอาทั้งเล่ห์กล มนต์คาถา (โฆษณาชวนเชื่อ) สื่อเส้นหนาของอภิสิทธิชนประเภทต่างๆ (ปัญญาชน รัฐบาล และเหนือรัฐบาล) กฎหมายอัปลักษณ์ทั้งหลาย (กม.หมิ่นฯ,  พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นต้น) และนักสิทธิมนุษยชนกำมะลอ  มาช่วยกันยัดเยียดให้ประชาชนต้องทนรับ

พวกเขาพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2550 แต่ไม่สำเร็จ คราวนี้จึงต้องโหดกว่าเดิม เด็ดขาดกว่าเดิม เหวี่ยงแหกว่าเดิม ภายใต้ข้ออ้างเดิมๆ ว่าเพื่อต่อสู้กับการซื้อเสียงและผีทักษิณ

เนื้อแท้ของระบอบอภิสิทธิ์คืออำนาจนิยมโดยอาศัย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎหมายอื่นๆ ที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลของอภิชนเหนือกว่ารัฐธรรมนูญใดๆ จะให้ได้ นี่แหละคือประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่พวกเขาพยายามสร้างขึ้นหลังการรัฐประหาร 2549 ทว่ายังไม่สำเร็จสักที

หากการเลือกตั้งคราวหน้า ยังไม่สามารถรับประกันชัยชนะของระบอบอภิสิทธิ์ได้ เขาก็จะอ้างความไม่สงบเรียบร้อยในการเลือกตั้งเป็นเหตุเพื่อ บิดเบือนผลการเลือกตั้งหรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจนกว่าจะชนะแน่ๆ เสียก่อน

นี่ไม่ใช่เส้นทางแบบพม่าดังที่มักกล่าวกัน แต่ตัวอย่างของอำนาจนิยมเบ็ดเสร็จของพลเรือนคือ “ระบอบมาร์คอส” ของฟิลิปปินส์

มาร์คอสไต่เต้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง แต่รักษาอำนาจด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินและอำนาจกองทัพ โดยอ้างว่าต้องรักษาความสงบต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เขาอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก. เหนือรัฐธรรมนูญ เข้ากวาดล้างจับกุมทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเด็ดขาดโหดร้าย แต่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจในระยะแรกทำให้ระบอบมาร์คอสได้รับความสนับสนุนจาก สาธารณชนโดยเฉพาะคนเมืองผู้มีอันจะกินอย่างมาก

ครั้นใกล้หมดเทอมของตน เขาก็แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดโอกาสให้ระบอบของเขามีอำนาจต่อไปได้ ด้วยการอ้างผู้ก่อการร้ายเช่นเคย

มาร์คกับมาร์คอส  คือชื่อเดียวกัน ในคนละภาษาเท่านั้นเอง

ประเด็นสำคัญ มิได้อยู่ที่ระบอบอภิสิทธิ์ใกล้เคียงหรือต่างกับระบอบมาร์คอสมากน้อยแค่ไหน เพราะแต่ละประเทศย่อมมีเงื่อนไขแตกต่างกันออกไปตัวอย่างเช่น ลัทธิบูชาบุคคลของระบอบมาร์คอสบูชาตัวมาร์คอสเอง แต่นายมาร์คเป็นเพียงผู้รับใช้คนหนึ่งเท่านั้น

ประเด็นน่าคิดก็คือ ถ้าอภิสิทธ์ชนของไทยหน้ามืดตามัวถึง ขนาดเลือกทางเดินเดียวกับระบอบมาร์คอส เพื่อต่ออายุอำนาจของตนไว้ในระยะใกล้ น่าคิดว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆ (หรือฟิลิปปินส์ๆ) จะเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของอภิชนาธิปไตยไทยจริงๆ

ปัญญาชน นักวิชาการ บรรณาธิการผู้ทรงอิทธิพล  ผู้ประกาศข่าว อันมีชื่อเสียงทั้งหลาย  จงช่วยกันเร่งฟืน เพิ่มความร้อนแรงของรถขบวนสุดท้ายนี้เข้าไปเถิด แล้วอย่ามาร้องหาความยุติธรรมในวันที่รถไฟตกรางก็แล้วกัน

เพราะรถไฟสายอภิชนกำลังวิ่งสวนทางกับรถไฟสาย “ความ เปลี่ยนแปลง”และไม่มีทางหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่ออกจากสถานีมาแล้ว

เพราะพวกท่านทำให้สังคมมืดบอดกันไปหมดอันจะทำให้รถไฟอภิชน ตกรางอย่างรุนแรงพวกท่านขาดสติยั้งคิดถึงอนาคตเสียจนท่านเองเป็นผู้ทำร้าย สิ่งที่พวกท่านบูชา

เพราะ “ระบอบอภิสิทธิ์” จะกัดกร่อนทำลายอภิชนเองในที่สุด..