พินอคคิโอ ตอน แผนปูดองและศูนย์อับเฉา

พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศต่อต้าน เป็นกฎหมายเผด็จการ แต่วันนี้ นายอภิสิทธิ์กลับนำมาใช้ เหมือนเป็นดาบอาญาสิทธิ์ ที่คิดจะกล่าวหา ไล่ล่า กวาดล้าง หรือสั่งฆ่าใครก็ได้ พลอยให้แม้แต่ศาลยุติธรรมเอง ที่จะต้องพิพากษาคดีความด้วยหลักฐานและข้อเท็จจริง ก็ยังถูกมองว่าไร้ความยุติธรรมโลกวันนี้ วันสุข 5-11 มิถุนายน 2553 หน้า 9

จากบลอกก่อนหน้า เกี่ยวกับวาทะเด็ดๆ ที่อภิสิทธิ์เคยพ่นออกมา รวมทั้งการแสดงจุดยืนต่างๆ สมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้าน ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมวันนี้ นายอภิสิทธิ์จึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ทั้งแนวคิด ท่าทาง และคำพูด หรือจะเป็นเพราะว่า “อำนาจ” มันได้ครอบงำจิตใจ จนยากที่จะถอนตัวเสียแล้ว

ทั้งสมุนมือขวา ที่เป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ชื่อสุเทพคนนั้น ที่ได้แสดงทีท่าเกี่ยวกับคลิปวิดีโดเหตุการณ์ที่วัดปทุมวนาราม โดยในคลิปเป็นภาพที่ทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้า เล็งปืนและยิงเข้าไปใส่วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน และมีประชาชนผู้ชุมนุมได้หนีร้อนมาพึ่งเย็นอาศัยอยู่

นายสุเทพตอบว่า สถานที่นั้น ไม่ใช่วัดปทุมวนาราม..

แต่พอเห็นในคลิปชัดเจนว่าเป็นวัดปทุมวนาราม นายคนนี้ก็ตอบเลี่ยงว่า สงสัยจะคนละวัน ซึ่งตรงจุดนี้ ได้มีการอภิปรายและเปิดคลิป เท่าที่ได้รับชม พบว่า มีการตัดคลิปส่วนที่มีเปลวควัน ที่จะบอกได้ว่าเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 แต่จากการที่ได้รับชมทางสื่ออื่น เช่น อัลจาซีรา และซีเอ็นเอ็น พบว่าผู้ถ่ายมีการแพนกล้องไปมาให้เห็นควันไฟ และยืนยันได้ว่า ทหารที่มีฉลากชมพูแปะบนหมวกนั้น ยิงใส่ประชาชนในวัดปทุมวนารามเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จริงๆ

นายสุเทพตอบหน้าตาเฉยว่า เป็นฝีมือ “ไอ้โม่ง”..

พูดถึงการอภิปรายในสภา และคลิปภาพและเสียง ที่ต้องมีการให้คณะกรรมการอะไรซักอย่างมาตรวจดูก่อนนั้น มันก็น่าเกลียดไปหน่อย เหมือนเวลาเข้าสอบ คุณไปบังคับให้อาจารย์คุณเอาข้อสอบส่วนหนึ่งมาให้ดูก่อน ไอ้คำว่าน่าเกลียดอาจจะน้อยไปสำหรับบางคนด้วยซ้ำ

นี่พูดๆ ไป จะไม่พูดถึงรัฐมนตรีบอนไซที่คุมสื่อสารมวลชน ปิดหูปิดตาไม่ให้ประชาชนรู้เห็นความจริง กับนายโฆษกหัวเกรียนชื่อคล้ายๆ สัตว์ปีก ที่เขาทำโพลล์ออกมาว่าป๊อปกว่า “เคน – ธีรเดช” (สำนักไหนวะ) ก็ไม่ได้ เพราะหมอทั้งสองนั้น บอกได้เลย โกหกหน้าตาย มาก ทั้งไอ้เรื่อง ทหารมือเปล่าต้องมารับมือกับผู้ชุมนุมที่มีอาวุธสงคราม หรือเรื่องที่ทหารต้องใช้อาวุธจริงก็เพื่อป้องกันประชาชนจากการก่อการร้าย ซึ่งท่านโฆษกแกออกมากะต๊ากๆ ว่า ถ้าเมื่อตอนล้อมปราบที่คอกวัว ทหารได้ใช้อาวุธหละก็ อาจจะไม่มีการสูญเสียของผู้ชุมนุมเลย หรือล่าสุดก็เรื่องที่ช่องหอยม่วงตัดสัญญาณถ่ายทอดการอภิปราย ก็ปิดหูปิดตาประชาชน (อีกแล้ว) นายรัฐมนตรีสื่อก็ยืนบ๊อกๆ ว่า ไม่มีการตัดสัญญาณซะหน่อย พอโดนจี้หนักเข้า ก็เริ่มเปลี่ยนเหตุผล แบ๊กๆ ว่า เพราะคนเสื้อแดงเผาเสาส่งสัญญาณ จะเอาอะไรก็เอาซักอย่างเถอะครับ แหม..

ส่งท้าย ขอฝากคำพูดของ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ “ผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน” ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า

ถ้าสื่อมวลชนขาดจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานเสียแล้ว ก็กลายเป็นสื่อมวลสัตว์

พักเรื่องตอแหลของ พินอคคิโอ ตอน แผนปูดองและศูนย์อับเฉา ไว้ก่อน แล้วมาคุยเรื่องโร้ดแม็ปสร้างภาพ กับเรื่องสองมาตรฐานต่อกันในตอนหน้าดีกว่า..



Leave a comment